Ark The Legend - ตอนที่ 398 : เผ่าพันธุ์สัตว์อสูร?
ตอนที่ 398 : เผ่าพันธุ์สัตว์อสูร?
เดดริคถอนหายใจโล่งอกกับคําพูดของอาร์ค โชคดีสําหรับพวกมันนัก ไม่เช่นนั้นชีวิตของค้างคาวพวกนี้คงไม่รอดพ้น
“ว่าอะไรนะ! แล้วบรรยากาศแปลกประหลาดนี้มันอะไร?”
“พวกเราเป็นรุ่นพี่ เจ้าต้องเรียกหาพวกเราด้วยความนบนอบนับจากนี้!”
“พะ-พอได้แล้ว!”
เดดริคเร่งร้อนวิ่งเข้าไปตะครุบปากพวกค้างคาว ตรงหน้าหลังได้เห็นสีหน้าของอาร์ค อันที่จริงสีหน้าเขาก็ไม่ได้แสดงออกว่าโกรธเคืองถึงขนาดนั้น
“ยะ-ยกโทษให้พวกมันด้วย เจ้าพวกนี้ยังไม่รู้ความ…”
“ไม่เป็นไร ช่วยไม่ได้นะ ยังไงฉันก็เป็นผู้ใต้บัญชาเดดริคนิมนี่นะ รายละเอียดไว้ค่อยคุยกันทีหลัง เหอะเหอะ”
อาร์คยกยิ้มขณะตอบกลับไปพร้อมสะกดความโกรธภายในหัวตัวเอง อย่างไรแล้วสถานการณ์นี้ได้คลี่คลายเป็นการชั่วคราว อาร์คกําลังมุ่งหน้าไปยังปราสาทของเดดริค(?) ซึ่งก็ไม่ไกลนัก เพียงแค่สิบเมตรก็ถึงปราสาทของเดดริคแล้ว ไม่ถูกต้อง ปราสาทของเดดริคขนาดเพียงแค่สิบเมตรต่างหาก ปราสาทนี้ไม่ต่างอะไรกับกระท่อมขอทานที่ถูกสร้างขึ้นใต้สะพาน มันเป็นการนําไม้มาสานกันเอาไว้เพื่อกันลมแต่ก็ยังมีของอยู่บ้าง ทว่าภายในก็มีการแยกห้องเอาไว้ หนึ่งจะเป็นพวกค้างคาวใช้งาน อีกหนึ่งเป็นห้องทํางานของเดดริค ห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องครัว
“ท่านลอร์ดของเรามั่งคั่งเพียงใดจงรับรู้”
“ถูกต้องแล้ว ท่านยังคิดวางแผนยึดครองอาณาเขตจากแวมไพร์อื่น”
พวกค้างคาวกล่าวกันอย่างภูมิอกภูมิใจ เพราะแบบนั้น แผนการที่อาร์คคิดฝึกระเบียบวินัยให้เดดริคอีกครั้งพลันเพื่อนหาย อาร์คครุ่นคิดไปพักขณะเดินเข้าบ้านของเดดริค มันเหมือนกับตอนที่มีครูมาเยี่ยมบ้านนักเรียนและได้เห็นสภาพบ้านซอมซ่อ กระทั่งถุงเท้ายังขาดเป็นรูอย่างไรอย่างนั้น เห็นแบบนี้แล้วจะให้เขายังโกรธอยู่ได้ยังไง?
อย่างไรแล้ว ลูกสมุนของเดดริคยังคงเป็นค้างคาวเด็ก ไม่ช้าเมื่อถึงที่หลับนอนพวกมันก็หลับกันไปอย่างรวดเร็ว เดดริคจึงเข้ามาหาพร้อมเปลี่ยนท่าทีโดยพลัน มันนั่งลงกับพื้นอย่างสํานึกผิดต่อหน้าอาร์ค
“จะ-เจ้านาย ขอบคุณขอรับ หลังจากนี้จะทุบตีข้ายังไงก็ได้ ข้าจะทํางานอย่างหนักตามที่เจ้านายต้องการต่อให้ต้องตายก็ตาม”
อาร์คมองเดดริคก่อนจะถอนหายใจกล่าวถามออกไป
“นายไม่ได้สืบทอดมรดกของดันพิลเหรอ?”
“เรื่องนั้น…”
เดดริคพลันสะอื้นไห้ขึ้นมาพร้อมสารภาพเรื่องราวที่เก็บจําเอาไว้ ท่ามกลางแวมไพร์ทั้งหมด ดันพิลแน่นอนว่าไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งแต่อย่างใด ทั้งไร้พรสวรรค์ ไม่อาจสร้างปีศาจเลือด แถมยังไม่มีความคิดเพิ่มพูนพลังเวทมนตร์ โชคยังดีสําหรับดันพิล ที่แวมไพร์ตนอื่นไม่เคยเข้ารุกรานอาณาเขตจึงอยู่รอดปลอดภัยมาได้
“แต่พอเอิร์ลคาราคุลเพิ่มพลังอํานาจและโค่นล้มอาณาเขตโดยรอบมาได้ ภัยก็มาเยือนถึงปลายจมูก ตอนนี้อาณาเขตของคาราคุลอยู่ใกล้แค่เอื้อม และอาณาเขตอื่นก็โดนจัดการจนสิ้น ดังนั้นแล้วดันพิลที่ขลาดเขลาจึงละทิ้งอาณาเขตและเสนอมอบให้คาราศุล”
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทําไมดันพิลจึงสามารถรอดพ้นจากแวมไพร์ที่แข็งแกร่งตนอื่น แต่หลังจากนั้นไม่นานก็โดนเดดริคจัดการจนคว้าอาณาเขตไปครอง
ดันพิลเป็นแวมไพร์ที่อ่อนแอ กระทั่งพ่ายแพ้ให้เดดริค ทางด้านคารากุลนั้นเราทราบดีแล้ว แต่ดันพิลนั้นไม่ใช่ว่าตอนแรกปรากฏตัวเต็มไปด้วยความยิ่งทะนงหรือยังไง? หรือนั่นเป็นท่าที่ตามปกติของพวกแวมไพร์อยู่แล้ว?
“แล้ว? ค้างคาวพวกนั้นเป็นลูกน้องของดันพิล?”
“ไม่ขอรับ เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าที่อาศัยอยู่ในถ้ําทางตะวันตกใกล้เคียงนี้”
เดดริคเผยความอับอายขณะเกาศีรษะไปด้วย
“หนทางดีที่สุดสําหรับพวกค้างคาวคือได้กลายเป็นลูกน้องของลอร์ดแวมไพร์ในอาณาเขตต่างๆ”
สําหรับพวกค้างคาวแล้ว เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะได้กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของแวมไพร์ในโลกมืด เพราะประสิทธิภาพการต่อสู้ต่ํายิ่งกว่าปีศาจเลือด พวกมันจึงถูกใช้งานเป็นผู้ส่งสารของพวกแวมไพร์เสียมากกว่า
“ในตอนนั้น ที่ข้าได้เป็นลูกน้องของดันพิล ทั้งครอบครัวแทบฉลองกันยกใหญ่”
เดดริคเริ่มนึกย้อนถึงความทรงจําช่วงที่ผ่านมา แต่แล้วไม่ช้าหลังเดดริคได้กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา มันก็โดนค้างคาวตัวอื่นรังแกจนกระทั่งโดนดันพิลขับไล่ออกมา ครอบครัวของเดดริคต่างแตกตื่นจนกระทั่งตายตก ระหว่างที่เดดริคโดนขับไล่ออกจากเผ่าพันธุ์เพราะเสื่อมเสียเกียรติ มันก็ถูกบังคับให้ไปหลบอาศัยอยู่ภายในถ้ํา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทําไมเดดริคถึงจงเกลียดจงชังดันพิลเป็นอย่างยิ่ง
“หลังจากนั้น ข้าก็โดดเดี่ยวไปมาเป็นเวลานาน”
เดดริคสภาพเหมือนเด็กอายุสิบขวบ ทว่ากลับเล่าเรื่องราวในอดีตออกมาด้วยน้ําเสียงราวกับเป็นเรื่องเก่าเก็บ อย่างไรแล้ว เดดริคก็เตร็ดเตร่ไปมาจนกระทั่งได้กลายเป็นสมุนปีศาจของอาร์ค และนั่นก็ทําให้มันได้มีโอกาสสังหารดันพิล และกลายเป็นแวมไพร์ผู้สูงศักดิ์ มันยังเป็นลอร์ดแม้ว่าอาณาเขตที่อยู่จะไม่ต่างกับบ้านขอทาน แต่ไม่นานมานี้ มันที่เดินทางไปทั่วจึงได้พบว่าลุงได้จากไปและลูกพี่ลูกน้องกลาย เป็นเด็กกําพร้า นับว่าตระกูลค้างคาวนี้ประสบความยากลําบากกันไม่น้อยเลยทีเดียว
“ท่านลอร์ด
ข้าจะปกป้องอาณาเขตนี้ไว้”
ระหว่างพูดคุยกัน หนึ่งในพวกค้างคาวก็เตะผ้าห่มขณะละเมอออกมา เดดริคเข้าไปห่มผ้าให้อีกครั้งก่อนจะกลับมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“เจ้าพวกนี้คิดว่าข้าเก่งกาจ ข้าก็อยากทําอะไรให้สําเร็จ เป็นชิ้นเป็นอันเพื่อพวกมัน…”
ในที่สุดก็เข้าใจว่าทําไมเดดริคถึงยึดติดกับศักดิ์ฐานะขนาดนั้น จนกระทั่งถึงตอนนี้เราเพียงแต่คิดว่ามันเป็นสมุนปีศาจไร้มารยาท แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากมายขนาดนี้ มันดียิ่งกว่าใครหลายคนนัก”
เขากําลังนึกย้อนไปถึงลุงคนหนึ่งที่มักปรากฏตัวบ่อยครั้ง ซึ่งฮยอนอูไม่เคยพบเจอนานแล้ว ลุงคนนั้นบ่อยครั้งมักมาเพื่อขอยืมเงินจากพ่อของเขาแล้วก็จากไป และตอนพ่อของฮยอนอูเสียชีวิต ลุงคนนั้นกลับไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามางาน หรือเยี่ยมเยือนแม่ของเขาที่โรงพยาบาล ในนิวเวิลด์ กับตัวละครที่เป็นโปรแกรมชนิดหนึ่ง พวกเขากลับมีความสํานึกในเครือญาติทั้งที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ ดังนั้นแล้ว ทุกการกระทําของเดดริคจึงมีที่มาที่ไป ในกรณีนี้ ไม่ใช่ว่าเอ็นพีซีอย่างเดดริคมีความเป็นมนุษย์ยิ่งกว่าลุงของฮยอนอูอีกหรือ?
“ค้างคาวพวกนี้เป็นเหตุผลว่าทําไมเดดริคถึงอยากกลับมาบ้านงั้นสินะ?”
อาร์คนึกย้อนไปถึงตอนที่เดดริคบ่นกระปอดกระแปดที่โดนอัญเชิญออกมา
“ได้ ระหว่างที่เราอยู่ที่นี่ฉันจะปกป้องเกียรติของนายให้”
“จริงเหรอขอรับ?”
“แต่หลังจากนี้นายก็ช่วยทํางานให้ดีด้วยล่ะ”
“ขอบคุณขอรับ เจ้านายยังมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง!”
“ว่าอะไรนะ?”
“ไม่มีอะไรขอรับ!”
เดดริคพลันชะงักปากไปขณะส่ายหัวอย่างรุนแรง แต่ก่อน การกระทําเช่นนี้ออกจะน่าโมโหไปบ้าง แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีเหตุให้มองแต่ด้านลบซึ่งกันและกันอีก
“ว่าแต่เจ้านายขอรับ หลังซอแทนดาลยุดที่โลกกลางจะอัญเชิญข้าได้ยังไง?”
“ไม่ต้องห่วง ฉันเจอวิธีแล้ว”
อาร์คอธิบายเรื่องพอร์ตอัญเชิญให้ฟังและเดดริคก็พยักหน้ารับ
“งั้นพวกเราจะไปกันเลยหรือขอรับ?”
“ไม่ ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทํา”
“อะไรหรือขอรับ?”
“ต้องไปช่วยบุคซิล แต่ว่า… ก็ยังมีอีกเรื่อง มันสําคัญยิ่งกว่า คือการหาข้อมูลของสามสิ่งมหัศจรรย์”
แน่นอนว่าเขาต้องกลับไปช่วยบุคซิล และเขายังต้องตอบแทนหนี้น้ําใจที่ได้รับจากคาราคุล แม้การฆ่าคาราคุลออกจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ความภาคภูมิของเขานั้นโดนเหยียดหยามเกินกว่าจะปล่อยวาง อย่างน้อยต้องทําลายปีศาจเลือดทั้งหมดของคาราคุลให้จงได้ แต่เขาไม่มีความมั่นใจกับความสามารถที่มีในตอนนี้
ถ้าเราได้รับชิ้นส่วนสุดท้ายมาไว้ในมือและได้กลายเป็นอาชีพขั้นที่สอง มันก็พอจะเป็นไปได้บ้าง”
“ชิ้นส่วนสุดท้ายของสามสิ่งมหัศจรรย์อยู่ที่นี่?”
เดดริคเผยดวงตาเบิกออกกว้าง
“แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาว่าแถวนี้มีเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรนะขอรับ”
“ก็แค่การคาดเดาเป็นวงกว้างน่ะ ตอนนี้ให้ฉันลงทะเบียนอัญเชิญนายก่อน ไว้พวกเราค่อยไปด้วยกัน”
อาร์คหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาลงทะเบียนเดดริคกับ พอร์ตอัญเชิญและทําการอัญเชิญอีกครั้ง นอกจากแวมไพร์ระดับสูงในปราสาทแห่งความอมตะแล้ว แวมไพร์ตัวอื่นจะไม่อาจออกไปนอกอาณาเขตพํานักเดดริคก็เช่นกัน ทว่าเดดริคเป็นแวมไพร์และยังมีสถานะเป็นสัตว์อัญเชิญ ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลก มันสามารถร่วมทางกับอาร์คไปได้ทุกหนแห่ง
“พวกนั้นคือเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรหรือขอรับ?”
“ใช่ ถ้าฉันเดาถูกน่ะนะ…”
อาร์คพยักหน้ารับขณะมองไปที่หมู่บ้าน หมู่บ้านแห่งนี้คือสถานที่แรกซึ่งอาร์คมาถึงในโลกมืด ระหว่างที่อาร์คติดกับในปราสาท เขาก็ได้รับข้อมูลเรื่องโลกมืดหลายอย่างจากฟลิบ หลังนำหลายเบาะแสมารวมกัน เขาก็ได้ข้อสรุปว่าเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรสมควรอาศัยอยู่ที่นี่
“คนพวกนี้จะเป็นเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรได้อย่างไรขอรับ? ไม่ว่าจะมองยังไงก็มนุษย์ชัดๆเลยนะขอรับ แถวนี้ยังเป็นอาณาเขตของแวมไพร์ทรงพลังอํานาจอย่างคาราคุลที่ข้าเคยพูดถึงอีก ได้ยินมาว่ามันครอบครองความสามารถปลอมแปลงผู้ใต้บัญชาเป็นมนุษย์ได้”
“ฉันก็คิดถึงประเด็นนี้ เพราะฉันเคยเผชิญหน้ากับคาราๆ
มาแล้ว”
“ขอรับ? เผชิญหน้าคาราคุลมาแล้ว? แล้วทําไมไม่เล่าให้ข้าฟังล่ะขอรับ?”
่ ่
“ฉันยังมีหนี้ค้างคากับมันที่ต้องชาระความ ฉันต้องกลับไปทวงคืน”
“ดะ-เดี๋ยวนะขอรับ? เจ้านายพูดถึงอะไรกัน? หรือว่าเจ้านาย ”
เดดริคพลันแตกตื่นขณะส่ายศีรษะทันทีเมื่อประเด็นเรื่องคาราคุกถูกหยิบยกขึ้นมากล่าว
“ข้าไม่ทราบหรอกนะขอรับความหมายถึงอะไร แต่คาราคุลคือผู้ปกครองพื้นที่ละแวกนี้ หากข้าไปตอแยกับมัน อาณาเขตของข้าสามารถเลือนหายได้แทบในทันที กล่าวตามตรง อาณาเขตของข้าอยู่ใกล้กับของคาราคุลมาก ถ้าพวกมันในหมู่บ้านตรงหน้านี้เป็นลูกน้องของคาราคุณล่ะก็…”
“เพราะแบบนั้นฉันถึงต้องมายืนยันยังไงล่ะ”
่ ่
“อีก ระ-รอเดี๋ยวสิขอรับ!”
เดดริคเร่งร้อนดึงคอเสื้อของอาร์คเอาไว้ ทว่าอาร์คเพียงลากเดดริคเข้าไปในหมู่บ้าน เป็นอีกครั้งที่ประชากรหมู่บ้านซึ่งนั่งอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้านพลันแข็งที่อคล้ายพบเห็นผีสางปรากฏจนต้องวิ่งหนี อาร์คเร่งร้อนพุ่งตัวเข้าไปขวางเส้นทางชาวบ้านคนนั้นก่อนหัวเราะออก
“ผมแค่อยากคุยด้วยเดี๋ยวเดียวครับ”
“จะ-เจ้าคิดทําอะไร? ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าไม่อยากรับรู้”
“ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย แล้วไม่รู้เรื่องอะไรกันครับ? ทําไมถึงไม่อยากรับรู้ล่ะ?”
“ระ-เรื่องนั้น…”
“เหมือนที่คิดไว้ ประชากรที่นี่ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของคาราคุลสิ้นะครับ”
ต่อให้เราคิดผิด หมู่บ้านนี้ก็อยู่ใกล้ชายหาด ยังมีทางให้เราใช้หลบหนีได้อยู่
ดังนั้นแล้วอาร์คจึงเล็งช่วงที่ชาวบ้านเบาบางก่อนจะเข้ามา
และนี่คือส่วนสําคัญ
“ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามครับ”
“อะ อะไรกันล่ะ?”
“เคยเห็นอะไรที่คล้ายกันนี้ไหมครับ?”
อาร์คนาเอาสองชิ้นส่วนของสามสิ่งมหัศจรรย์ออกจากกระเป๋า ชาวบ้านตรงหน้าถึงกับดวงตาแทบถลนออกมา
“นะ-นั่น เจ้าได้รับมายังไง? หรือว่าเจ้า…?”
“ผู้ค้นหาความจริง”
ชาวบ้านพลันสีหน้าซีดเผือดและตัวสั่นเทิ้มกับคําตอบของอาร์ค ชาวบ้านต่างเร่งร้อนมองรอบด้านก่อนเร่งกล่าวคํา
“ที่นี่อันตราย มาทางนี้”
ชาวบ้านพาอาร์คเข้าไปยังบ้านที่อยู่ใกล้เคียงชายชรา ภายในบ้านพลันลุกขึ้นยืนเมื่ออาร์คเข้ามา ทว่าชาวบ้านคนที่พามากลับเร่งร้อนเข้าไปใกล้ก่อนกระซิบพูดกล่าวคําใส่หู เป็นผลให้ดวงตาของชายชราเบิกออกกว้างขณะพิจารณา อาร์ค อีกฝ่ายลังเลครู่หนึ่งก่อนจะมองผ่านหน้าต่างออกไป ด้านนอกแล้วค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง
“โชคยังดี วันนี้มันไม่อยู่”
“หมายถึงอะไรกันครับ?”
“ดวงตาเนตรแห่งเอิร์ลคาราคุล เมื่อเจ้าเข้ามายังหมู่บ้านครั้งแรก กลิ่นอายของเจ้าคล้ายพวกของคาราคุล ดังนั้นพวกเราจึงคิดว่าเจ้าคือคนที่คาราคุลส่งมา พวกเราเพิ่งทราบว่าเข้าใจผิดไปก็ตอนที่อัลเบิร์ตปรากฏตัว ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยังรอดชีวิต”
“เอ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ?”
อาร์คพลันเข้าใจท่าที่ตอบสนองของชาวบ้าน ชายชราเพียงเผยท่าที่เสียใจก่อนจะเอ่ยถามอาร์คด้วยน้ําเสียงร้องขอ
“เจ้าช่วย…. แสดงชิ้นส่วนของสามสิ่งมหัศจรรย์อีกครั้งได้หรือไม่?”
อาร์คพยักหน้ารับก่อนจะเข้าใจอีกครั้ง ดวงตาของชายชราแทบปริ่มน้ําตาขณะจ้องมองสามสิ่งมหัศจรรย์พร้อมกล่าวพึมพําออกมา
“สวรรค์! เป็นของจริง นี่ไม่ผิดแน่ มันคือสามสิ่งมหัศจรรย์ ชัดเจนว่ามันคือชิ้นส่วนของดวงดาวและความมืด”
“ใช่ครับ นี่คือสามสิ่งมหัศจรรย์ และพวกท่านคือเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรที่คุ้มครองชิ้นส่วนสุดท้าย”
ชายชราถอนหายใจก่อนจะห่อไหล่
“เจ้าทราบได้อย่างไร?”
เหตุผลที่อาร์คมั่นใจว่าพวกเขาคือเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรนั้นง่ายดาย คาราศุลพูดเองว่าไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ในโลกมืด ทว่าฟลิบได้บอกว่าเคยเห็นมนุษย์มาครั้งหนึ่ง พวกเขาต่างมั่นใจในคํากล่าว ดังนั้นต้องมีจุดขัดแย้งว่าใครกันแน่ที่กล่าวความจริง? อาร์คจึงเริ่มทําการคาดเดาจนได้ข้อสรุปว่าทั้งสองต่างพูดความจริง หรือก็คือ พวกเขาอธิบายกันไปตามที่เข้าใจคนละทาง แวมไพร์เคยอยู่ใกล้ชิดกับทั้งมนุษย์และมอนสเตอร์ หากมองที่รูปลักษณ์ภายนอก แวมไพร์ไม่ค่อยแตกต่างอะไรจากมนุษย์หรือว่าออร์ค หากมองไปที่ชาวเหมียว ชาวเงือก หรือชาวแรคคูนแล้วล่ะก็ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองว่า พวกเขาคือ “มนุษย์” ดังนั้นแล้วในมุมมองของแวมไพร์ เผ่าพันธุ์สัตว์อสูรไม่ใช่มนุษย์ อีกทางหนึ่ง มอนสเตอร์จะมองอีกแบบว่าเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรล้วนก็เป็นมนุษย์ เพราะมีสายพันธุ์ ที่แตกต่างระหว่างมอนสเตอร์และมนุษย์ที่มองซึ่งกันและกัน ก็เหมือนกับการที่มนุษย์เรียกเหมารวมชาวเงือก ชาวเหมียว และชาวแรคคูนว่าสัตว์อสูร กับมอนสเตอร์ก็มองว่าอะไรที่รูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ก็ล้วนเป็นมนุษย์ จะยกเว้นก็แต่ แวมไพร์ที่พวกเขาใกล้ชิดด้วย ชายชราตอนนี้พยักหน้ารับอย่างขื่นขมขณะฟังคําอธิบายจากอาร์ค
“ถูกต้อง พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรดังเจ้าว่า”