Ark The Legend - ตอนที่ 430 : ผู้กล้ามาบัน!
ตอนที่ 430 : ผู้กล้ามาบัน!
นาฬิกาทรายปีศาจ (พิเศษ)
วิญญาณของคาร์ม่าสามารถใช้งานเวทมนต์กาลเวลาได้ เพราะอุปกรณ์ชิ้นนี้ แม้ต้นกําเนิดของนาฬิกาทรายจะไม่ทราบที่มา แต่ทรายก็ยังคงไหลเวียนต่อไปเนื่องด้วยการไหลของกระแสกาลเวลา
เมื่อใช้งานนาฬิกาทรายปีศาจ เวทมนตร์กาลเวลาจะทําให้ท่านสามารถย้อนเวลาหรือเร่งเวลาไปในอนาคตได้
แต่จะไม่สามารถส่งผลกระทบกับสิ่งมีชีวิต
“โห แบบนี้เหรอเนี่ย?”
อาร์คจ้องมองนาฬิกาทราย มันเป็นของจากบอสมอนสเตอร์ แน่นอนว่าเขาต้องคาดหวังอุปกรณ์สวมใสเบียมคุณภาพ แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นวัตถุใช้แล้วหมดไป นาฬิกาทรายปีศาจมันคือวัตถุที่มีพลังอํานาจควบคุมเวลา แม้ก่อนหน้านี้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลําบากเพราะมัน แต่เขาก็ได้พบวิธีการใช้งานจากการต่อสู้กับคาร์ม่า นอกจากนี้ คู่ต่อสู้ส่วนใหญ่ของอาร์คยังเป็นมอนสเตอร์ มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ มีชุดเกราะกับอาวุธให้เขาเร่งหรือย้อนเวลาตรงไหนกัน? มันจะใช้งานได้ก็คงตอนที่มีไอเทมเก่าเก็บจํานวนมากแล้วต้องการแปรสภาพ
“แถมยังใช้ได้แค่ห้าครั้ง”
สิ่งตอบแทนครั้งนี้คือไอเทมเอาไว้ใช้รีไซเคิลขยะได้ตั้งห้าครั้งกับการล้มบอสเลเวลสูงตัวหนึ่งมาได้? อาร์คอดไม่ได้ที่จะต้องเผยสีหน้าผิดหวัง
“บอสนี่สภาพก็น่าเวทนา…”
รางวัลก็ยิ่งน่าเวทนาไม่ต่างกัน
“เอาเถอะ ยังไงของชิ้นนี้ก็มีประโยชน์เฉพาะทาง น่าจะมีวิธีใช้งานภายหลัง ถ้าเราเจอบอสที่แข็งแกร่งค่อยใช้มันทําลายชุดเกราะและอาวุธของมัน ใช่แล้ว ไม่ต้องผิดหวังไป เราไม่ได้เข้ามาที่นี่เพราะหวังของแต่แรกแล้ว”
อาร์คเก็บนาฬิกาทรายปีศาจและเริ่มสํารวจพื้นที่ เขาเดินไปทั่วทั้งหลุมฝังศพใต้ดินและล้มบอสได้แล้ว สิ่งที่เหลือตอนนี้คือหาเบาะแสของภารกิจเปลี่ยนอาชีพขั้นที่สอง ขณะยังยืนมองอยู่นั้น ดวงตาของบุคซิลก็เข้ามาใกล้และพูดขึ้นมา
“อาร์คนิม มีทางไปต่อตรงด้านนั้นครับ”
ดวงตาของเขาหันมองตามไปจึงพบว่ามีเส้นทางขนาดเล็กซ่อนอยู่ด้านหลังบริเวณที่คาร์ม่าเคยอยู่ในตอนแรก ไม่มีเหตุผลให้ต้องคิดมากแต่อย่างใด อาร์คเดินเข้าทางเดินดังกล่าวโดยทันที เขาเดินเข้าไปกว่าห้าสิบเมตร แต่แล้วกลับต้องโดนโครงกระดูกโผล่พรวดออกมาขวางทาง ยังมีมอนสเตอร์อื่นให้ต้องจัดการหลังโค่นล้มบอสอีก? อาร์คเตรียมต่อสู้โดยทันทีที่พบเห็นโครงกระดูก แต่ไม่ว่าเขาจะรอคอยยังไง โคร งกระดูกนั้นไม่คล้ายจะมีการเคลื่อนไหวเลยสักนิด
“แค่รูปปั้น?”
ดวงตาลอยได้พึมพําออกมาก่อนจะบินสํารวจรอบโครงกระดูกตรงหน้า ก็เหมือนที่ว่า โครงกระดูกนี่เป็นแค่รูปปั้น รูปปั้นที่มีสภาพน่าเกรงขามเพียงแค่ยืนอยู่เฉยก็ข่มขวัญเขาได้แล้ว มันมีเอาไว้หยุดผู้คนที่เข้ามาจากภายนอก ไม่สิ โครงกระดูกนี่มันขวางเส้นทางไปต่อเอาไว้ต่างหาก แม้จะเห็นเส้นทางด้านหลังชัดเจน แต่ก็ไม่มีทางผ่านรูปปั้นนี้ไปได้
“ยังไงดีล่ะเนี่ย?
ไม่ว่าจะลองผลักหรือว่าดึง รูปปั้นนี้ไม่ขยับสักนิด แม้จะไม่เหมือนเป็นโลหะ แต่พอเคาะดูก็มีเสียงสะท้อน
“ทําไมถึงมีรูปปั้นในที่แบบนี้? หรือจะเป็นอีกเบาะแสของภารกิจเปลี่ยนอาชีพขั้นสอง?”
เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่รูปปั้นจะมาอยู่ที่นี่ อาร์คเริ่มทําการสํารวจทั่วรูปปั้น แต่สิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือพื้นผิวของรูปปั้นที่ค่อนข้างผุพังก็เท่านั้นเอง
“รูปปั้นนี่จะเป็นเบาะแสของภารกิจเปลี่ยนอาชีพเราจริงเหรอเนี่ย? หรือรูปปั้นนี้มีเอาไว้แค่ขวางทาง? แล้วเราก็เข้าไปไม่ได้ด้วย อา จริงด้วยสิ”
“บุคซิล เข้าไปดูข้างในหน่อยว่ามีอะไร”
รูปปั้นขวางเส้นทางเล็กแคบไว้ กระทั่งราคาร์ดเปลี่ยนร่างเป็นค้างคาวยังผ่านไปไม่ได้ แต่มันมีพื้นที่พอที่จะให้ดวงตาข้างหนึ่งผ่านไปได้ บุคซิลถึงกับต้องรวบรวมความกล้าเมื่อได้รับคําสั่งแล้วลอดผ่านช่องว่างเข้าไป ไม่สิ มันพยายามจะเข้าไป ฉับพลันนั้นเองเปลวเพลิงสีแดงก็ลุกพรึ่บออกจากดวงตาของรูปปั้นแล้วเข้าโจมตีทั้งอาร์คและดวงตาของบุคซิล
“เดี๋ยวสิ อะไรกัน? เจ้านี่ มีชีวิต?”
อาร์คที่หย่อนความระวังไปแล้วถึงกับต้องสะท้านเพราะ โดนการโจมตีคริติคอลแบบที่เผลอ พร้อมกันนั้น อะไรบางอย่างคล้ายผงโลหะก็เริ่มร่วงหล่นจากพื้นผิวของรูปปั้น เมื่อพวกมันร่วงหล่นจนหมด รูปลักษณ์อันสมบูรณ์ของโครงกระดูกก็เผยให้เห็น แม้ร่างนั้นจะเป็นกระดูก แต่มันก็เป็นกระดูกที่ดูแข็งแรงและเปี่ยมไปด้วยพลัง ไม่เหมือนอันเดตตัวใดที่เขาเคยพบเจอมาก่อน โครงกระดูกจ้องมองอาร์คด้วยดวงตาแดงฉานแล้วเข้ามาใกล้
กรั่ก กรั่ก กรั่ก กรั่ก!
ราซาคโผล่พรวดเข้ามาขวางตรงหน้าอาร์คโดยใช้โล่ป้องกันไว้ อย่างกะทันหัน สะเก็ดไฟเริ่มสาดกระเซ็นเพราะโลหะปะทะกัน แต่ก็เพียงไม่นาน โครงกระดูกนั้นสามารถผลักดันโล่มาได้จนเกิดคลื่นกระแทกเป็นผลให้ราซาคกระเด็น
“ราซาค! บ้าฉิบ ราคาร์ดล่อมันไปหน่อย!”
“ขะ-ขอรับ ทางนี้โว้ยไอ้หน้าโง่!”
ราคาร์ดส่งเสียงตะโกนใส่โครงกระดูก โครงกระดูกก็หยุด เข้าหาราซาค มันหันมองทางราซาคและราคาร์ดสักพักก่อนหันมาทางอาร์คและพูด(?)ขึ้นมา
กรัก กรั่ก, กรั่ก กก กก? กก กก กก กรั่ก!
“เดี๋ยวนะ? เจ้านายหยุดมือก่อน!”
ราคาร์ดตะโกนด้วยสีหน้าแตกตื่น
“ว่าอะไร? ไอ้หมอนี่มันจะฆ่าเรานะ”
“หมอนี่ถามว่า ถ้าหากเจ้านายเป็นผู้ค้นหาความจริง หากใช่ หมอนี่ก็ไม่ใช่ศัตรูของพวกเราขอรับ หมอนี่เป็นสมุนอัญเชิญของผู้กล้ามาบัน”
“ว่ายังไงนะ? สมุนอัญเชิญของผู้กล้ามาบัน?”
อาร์คชะงักการโจมตีแล้วเอ่ยถามด้วยความงงงัน
กรัก กก กก กก!
“หมอนี่คิดว่าพวกเราไร้มารยาทไม่รู้จักเคารพรุ่นพี่”
กรั่ก กก กก กรั่ก! กรั่ก กรัก? กก กก กรั่ก!
“ไร้มารยาทคืออะไร? พวกเราสู้เพื่อเจ้านายของเรา เพราะงั้นไม่จําเป็นต้องขออภัยแต่อย่างใด”
ราคาร์ดมองสองโครงกระดูกทําหน้าที่ล่ามสื่อสารอย่างไม่คิดเข้าขวางการสนทนานี้ อะไรก็ดี ราคาร์ดเป็นเพียงคนเดียวที่ฟังภาษาประหลาดนี้เข้าใจ นับว่าดีไม่น้อยที่มีล่ามคอยสื่อสารแทนตัวให้ อาร์คตอนนี้กําลังมองโครงกระดูกแล้วนึกย้อนไปถึงคําใบ้ที่ได้รับจากภารกิจเปลี่ยนอาชีพขั้นสอง “บุคคลผู้ซึ่งถูกลืมเลือนจากกระแสการเวลาในความมืดมิดอัน แท้จริงจะต้อนรับเจ้า” ความมืดมิดอันแท้จริงน่าจะหมายถึงหลุมฝังศพใต้ดินแห่งนี้ ผู้กล้ามาบันได้หลับใหลชั่วนิรันดร์หลายร้อยปีก่อนอาร์คจะปรากฏตรงหน้า เพราะแบบนั้นโครงกระดูกตรงหน้านี้จึงถูกลืมเลือนโดยกระแสกาลเวลา
“ทุกคําใบ้ของภารกิจกระจ่างหมดแล้ว ที่เหลือก็แค่การเปลี่ยนอาชีพ จะบอกว่าโครงกระดูกนี่คือผู้ถือกุญแจสู่อาชีพขั้นที่สอง?”
ขณะอาร์คกําลังครุ่นคิดก็โดนขัด ราซาคและโครงกระดูก ตรงหน้าพูดคุยกันสักพักแล้วค่อยหันมาทางด้านนี้แล้วถาม
กรั่ก กก กรั่กกก กก กรั่กกก กก กรั่กกก?
“หมอนี่ถามว่าได้เจอใครก่อนมาเจอพวกเราหรือเปล่าขอรับ?”
“เจอ? หรือหมายถึงคาร์ม่า?”
“ใช่ขอรับ คาร์ม่า หมอนี่ถามว่าพวกเราทํายังไงกับมัน?”
“ก็จัดการไปยังไงล่ะ เดี๋ยวนะ? อย่าบอกนะว่าห้ามจัดการ?”
อาร์คถามพร้อมสีหน้าเป็นกังวล แต่โครงกระดูกส่ายกะโหลกตอบรับ หลังจากครุ่นคิดไปสักพัก โครงกระดูกก็เริ่มพูดคุยต่อ
“หมอนี่ถามว่า เจ้านายมีสิ่งยืนยันพิสูจน์ตัวตนว่าเป็นผู้สืบทอดของผู้กล้ามาบันหรือเปล่า”
“ของพวกนี้?”
อาร์คนําเอาสามสิ่งมหัศจรรย์ที่รวมกันเป็นจานแบนออกมา โครงกระดูกจ้องมองจานดังกล่าวคล้ายจมดิ่งลึกในความทรงจํา บรรยากาศเริ่มหนักถึงขณะราคาร์ดเอ่ยแทรกกลาง
“เรื่องมันยาวขอรับ แต่หมอนี่บอกว่าจะอธิบายถึงเหตุผลที่ผู้กล้ามาบันให้มาที่นี่”
โครงกระดูกได้พาอาร์คผ่านเส้นทางที่ถูกปิดกั้นเอาไว้เดินต่อไป เมื่อผ่านไปได้อีกสักห้าสิบเมตร พื้นที่ขนาดเล็กคล้ายห้องใช้อยู่อาศัยก็ปรากฏแก่สายตา ตรงมุมมันมีสิ่งของกับวัตถุดิบเก่าเก็บกองเอาไว้ ทั้งยังมีฝุ่นหนาเตอะฟังทั่วทั้งห้อง ร่องรอยที่เห็นนี้ชัดเจนว่าไม่มีใครแม้กระทั่งอันเดตใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ ตรงกลางของห้องมีใครบางคนกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ผู้ตายตรงหน้าเพียงแค่นั่งอยู่ในท่วงท่าดังกล่าวคล้ายมัมมี่ ใครกันที่ใช้ชีวิตที่นี่และเลือกจะตายที่นี่? นอกจากนี้ เพราะอะไรถึงตายในสภาพคล้ายดอกบัวประหนึ่งนักบวช? ขณะที่อาร์คสงสัยอยู่นั้นเอง โครงกระดูกก็เข้าไปใกล้แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าผู้ตายแล้วพูดกล่าว สิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมานั้นเป็นผลให้ราคาร์ดต้องร้องโพล่งออกมา
“จะ-เจ้านาย!”
“อะไร เป็นอะไร? หมอนี่พูดว่าอะไร?”
“มัมมีตรงหน้า… ผู้กล้ามาบัน!”
“ว่ายังไงนะ? ผะ-ผู้กล้ามาบัน? มัมมีนี่น่ะเหรอ?”
อาร์คมองไปยังมัมมี่ตรงหน้าด้วยความสับสน ชื่อนี้เป็นเขาได้ยินมาแทบจะตั้งแต่เริ่มเล่นเกมเลยทีเดียว ผู้กล้ามาบันหนึ่งในผู้กล้าทั้งเจ็ดและเป็นผู้ซึ่งเป็นเจ้าของอาชีพที่อาร์คเป็นอยู่ ผู้เดินทางแห่งความมืด ทว่าไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์สัตว์ อสูรใดหรือกระทั่งผู้เป็นที่รักอย่างอเดเลียนยังไม่ทราบว่าเขาเสียชีวิตที่ใด อีกฝ่ายถึงกับเป็นมัมมีอยู่ในหลุมฝังศพใต้ดินแห่งนี้
“ทําไมกันล่ะ? ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่ผู้กล้ามาบันเสียชีวิตและถูกเก็บเอาไว้ที่นี่”
กรั่ก กรั่กกก กก กรั่กกก…
“ยืนยันว่าเป็นผู้กล้ามาบันขอรับ”
ราคาร์ดเอ่ยขัดขณะโครงกระดูกนั้นถอนหายใจแล้วนั่งลง อาร์คก็นั่งลงเช่นกัน
เข้าคืออันกราดอน เป็น [อันเดตที่พิทักษ์ผู้กล้ามาบัน]
ราคาร์ดนั่งลงที่ไหล่ของอันกราดอนแล้วทําหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาให้ อันกูราดอนพยายามเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
[เจ้าได้ไปสํารวจดูเมืองซึ่งอยู่เหนือหลุมฝังศพใต้ดินแห่งนี้ หรือยัง?]
“ครับ…. ผมได้หาเบาะแสเพื่อภารกิจเปลี่ยนอาชีพขั้นที่สอง”
[งั้นเรื่องก็ง่ายขึ้น มันคือเหตุผลว่าทําไมผู้กล้ามาบันเสียชีวิตที่นี่และเรียกผู้ค้นหาความจริงมา]
“เพราะเมืองนี้?”
อาร์คเอ่ยถาม ขณะอันกูราดอนเผยท่าที่คล้ายอารมณ์เสียไม่น้อย อันกูราดอนเริ่มอธิบายเรื่องที่น่าตกใจ เดิมที่เมืองแห่งคนตายมีชื่อว่า โอเบเรียม ก่อนหน้ายุคหนึ่งร้อยปีแห่ง ความมืดมิดมาเยือนเมืองแห่งนี้ในซอแทนดาลถูกปกครอง โดยนักรบผู้ห้าวหาญ เป็นผู้คนของโอเบเรียมที่เริ่มมีอารยธรรมแล้วขณะที่เผ่าบารันและนาคูจักยังคง เป็นคนเถื่อนในท้องทุ่ง มันมีเหตุผลว่าทําไมเรื่องนี้ไม่เคยมีบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของเผ่าบารัน เมื่อครั้งหนึ่งร้อยปีแห่งความมืดมิดเข้าสู่จุดสูงสุด อาณาจักรที่มีกําลังเข้มแข็งที่สุดคือโอเบเรียม เทียบกับอีกทวีปโอเบเรียมคือผู้บุกออกไปช่วยเหลือ แต่มันกลับต้องพังทลายเพราะพลังอํานาจของความมืด
“เพราะงั้นมันก็เลยเป็นแบบนี้”
[มันเป็นเพราะพลังอํานาจอันน่าสะพรึงของดาร์คลอร์ดที่คิดปกครองโลก ให้เจ้าได้รับชมด้วยตัวเองคงดีกว่าให้ข้าอธิบาย]
จากนั้น อันกูราดอนนําคริสตัลความทรงจําออกมา เมื่ออาร์ครับคริสตัลดังกล่าว ภาพฉายก็ปรากฏให้เห็นนี่มัน?”
ภาพอันไพศาลปรากฏตรงหน้าเขา มันเป็นสถานที่อันคุ้นเคย ใช่แล้ว ครั้งที่เขามองลงไปยังโอเบเรียมตอนอยู่ในเมืองแห่งคนตาย ภาพเศษซากของเมืองได้ปรากฏแก่สายตาเขาก็เหมือนกับเซเลบริดที่เป็นเมืองหลวงของชอร์เดนเบิร์ก โอเบเรียมเป็นเมืองขนาดใหญ่และมีความงดงามถึงที่สุด กําลังทหารนับพันของโอเบเรียมต่างสวมใส่ชุดเกราะเงางามเดินลาดตระเวน ช่วงเวลานี้คือช่วงใกล้สิ้นสุดยุคหนึ่งร้อยปีแห่งความมืดมิด กองกําลังทหารได้รวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือผู้กล้าทั้งเจ็ดต่อสู้กับดาร์คลอร์ด พวกเขาต่างสวมใส่อุปกรณ์ดีที่สุดเพื่อให้ชัยชนะตกมาอยู่ในกํามือ เพียงไม่นานก่อน พวกเขามุ่งหน้าไปยังอีกทวีป เงาอันดํามืดกลับปรากฎเหนือศีรษะพวกเขา ความกลัวได้แผ่ขยายปกคลุมใบหน้าของพวกนักรบที่เงยหน้ามองขึ้นไป ความสับสนเริ่มฉายผ่านใบหน้าของอาร์คแทน
“นะ… นั่นมัน เรือวิกเจนส์เบิร์ก!”