Ark The Legend - ตอนที่ 390 : มนุษย์กับแวมไพร์?
ตอนที่ 390 : มนุษย์กับแวมไพร์?
“อา ปวดเอวชะมัด”
อาร์คร้องครางออกมาหลังลงจากปลาโลมา การขี่ปลาโลมาก็ดีอยู่เพราะไม่ต้องจ่ายเป็นเงินแต่อย่างใด แต่มันก็คนละเรื่องกับการได้นั่งเรือสุขแสนสบายเลยจริง ๆ มันแทบทําเอากระดูกสันหลังของเขาโค้งงอได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ เขายังต้องขี่มันในระยะทางค่อนข้างไกลมากอีกต่างหาก ยูซูเรียกล่าวไว้ว่าชิ้นส่วนสุดท้ายของสามสิ่งมหัศจรรย์อยู่ในรัศมีเจ็ดร้อยกิโลเมตรจากต้นของเธอเป็นเส้นตรง ทว่า อาร์คต้องเดินทางผ่านชายหาดเพราะงั้นแล้วจึงต้องอ้อมไปไม่น้อยกว่าหนึ่งพันกิโลเมตร ดังนั้นแล้วระยะห่างในความเป็นจริงจึงเกิดความต่างจนทําให้ต้องใช้เวลาเพิ่มอีกห้าชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย
“เฮ้อ ดีนะที่มาถึงก่อนกระดูกเอวจะหัก”
อาร์คมองไปรอบด้วยสายตาเพ่งมอง ตอนออกมาก็ช่วงเย็นแล้ว ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นห้าชั่วโมงหรือเกือบครึ่งวัน ดินแดนตรงหน้าเขาตอนนี้ปกคลุมด้วยความมืดมิดค่อนข้างหนาแน่น หน้าต่างข้อมูลก็ปรากฏขึ้นตั้งแต่เขาเข้าใกล้ชายหาดแล้ว
ท่านได้เข้าสู่อาณาเขต “โลกมืด”
ท่านได้รับผลจากพลังเวทมนตร์ลึกลับ “โลหิตมืด” ที่สร้างขึ้นจากแหล่งพลังงานซึ่งไม่รู้จัก!
พื้นที่ตรงหน้าตอนนี้ที่เห็นก็มีแต่หมอกสีดําขมุกขมัว กระทั่งแสงจันทร์ยังไม่สามารถส่งผ่านความมืดที่หนาแน่นนี้เข้ามาได้ สมแล้วที่เป็นแดนแห่งแวมไพร์
“จะยังไงก็เถอะ มันอยู่ใต้จมูกแค่นี้เองเหรอเนี่ย…”
ใครกันจะคิดว่าชิ้นส่วนสุดท้ายของสามสิ่งมหัศจรรย์จะถูกซ่อนเอาไว้ในสถานที่ซึ่งเดดริคใช้ชีวิตอาศัย?
“ก็นะ อย่างน้อยก็ดี ถ้าเราเจอเดดริคแบบนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาชิ้นส่วนสุดท้ายเจอ อย่างแรกต้องไปหาเดดริคก่อน แล้วก็ค่อยหาข้อมูลของภูมิประเทศแถบนี้”
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะวางใจอะไรได้จนกว่าจะหาเดดริคพบหากนี่เป็นแดนแห่งแวมไพร์ เช่นนั้นมันก็ต้องมีแวมไพร์ตนอื่นนอกจากเดดริคอาศัยอยู่ ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าแวมไพร์ตนอื่นจะเป็นมิตรกับอาร์ค ตามปกติในโลกแฟนตาซีแล้ว แวมไพร์จะเป็นผู้มีเวทมนตร์แก่กล้าและทรงปัญญายิ่ง โชคดีที่ตัวเขาสังกัดธาตุความมืด ดังนั้นแล้ว “โลหิตมืด” จึงไม่สามารถส่งผลอะไรกับเขา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทําให้หย่อนความระวัง
“เอ่อ อาร์คนิมครับ บรรยากาศนี่มันอะไรกัน? แถมค่าสถานะของผมยังลดลงอีก นี่มันที่ไหนของโลกกันเนี่ย?”
บุคซิลเอ่ยถามอาร์คด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่สบายใจนักตั้งแต่ลงจากหลังปลาโลมา
“หือ ไม่ใช่ฉันบอกแล้วเหรอ? ที่นี่คือแดนแห่งแวมไพร์”
“ครับ? วะ-แวมไพร์? ผะ-ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระด่วนต้องไปทํา”
“อยากหาเรื่องตายหรือไง?”
“เอ่อ คือมันน่ากลัวนะครับ ผมกลัวพวกแวมไพร์หรือแดร็กคูล่าอะไรพวกนี้อยู่แล้วด้วย”
ความกลัวของบุคซิลก็พอเข้าใจได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเสียหน่อย แถมจะกลัวทําอะไรนักหนา อย่างไรแล้วแวมไพร์ก็เป็นมอนสเตอร์
เขาก็แค่ออกล่าพวกมันเหมือนตามปกติถ้าหากต้องเจอเท่านั้นก็พอ
“เลิกพูดจาไร้สาระแล้วตามมาก็พอ”
อาร์คใช้งานเนตรแห่งแมวขณะเข้าไปยังป่าที่อยู่ใกล้เคียงชายหาด แผนที่ของเขาเริ่มเด่นชัดขึ้นขณะได้ยืนยันว่าป่าแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกและค่อนข้างกว้างใหญ่ ต้นไม้ภายในป่าค่อนข้างหนาทึบเลยทีเดียว
“นอกจากหมอกดําพวกนี้แล้ว ยังจะมีอะไรอื่นพิเศษในแดนแห่งแวมไพร์อีกหรือเปล่านะ?”
ทว่าความรู้สึกไม่ใคร่สบายใจนักของอาร์คยิ่งมายิ่งเด่นชัดตั้งแต่เข้ามาในปา
“อะไรกัน? ความรู้สึกนี้มัน?”
เป็นอีกครั้งที่อาร์คต้องมองสภาพโดยรอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทว่าเขากลับไม่สามารถพบเห็นสิ่งใดผิดแผกไปได้นอกจากต้นไม้และต้นหญ้า มันก็เงียบดี ไม่สิ มันเงียบสงัดเกินไป ถูกต้องแล้ว สถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกไม่ใคร่สบายใจนักจริง ๆ ป่าแห่งนี้ค่อนข้างหนาทึบทําเอาเขาไม่สามารถพบเห็นชีวิตอื่นใดได้เลย ไม่ว่าเขาจะมองหาวี่แววของมอนสเตอร์ สัตว์เล็กน้อย หรือกระทั่งนก ทุกอย่างล้วนเงียบสงัดเกินไปจนเสียงกลืนน้ำลายของบุคซิลสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
“แปลก นี่มันแปลกเกินไปแล้ว”
“อะ….อะ! อาร์คนิม! อาร์คนิมครับ! ทางนั้น มีอะไรอยู่ทางนั้น!”
“อะไร? ไหนกัน?”
อาร์คที่ตึงเครียดอยู่จึงหันควับมองไปขณะชักดาบออกมา ทว่ามันไม่มีอะไรตรงที่บุคซิลชี้เลยแม้แต่น้อย
“ไม่เห็นมีอะไรนี่!”
“ตะ-ตะ-แต่ว่า มันมีอะไรสัมผัสที่หลังคอของผมนะครับ…”
“ใจเย็นลงก่อน นายจะแตกตื่นโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้นะ”
เป็นอีกครั้งที่อาร์คต้องเริ่มมองปาแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง เพราะบุคซิลเอ่ยถึง อาร์คจึงยิ่งตึงเครียดมากยิ่งขึ้น มันต้องมีอะไรตามพวกเขาอยู่ในป่าแห่งนี้แน่ มันเหมือนความรู้สึกที่กําลังเดินกลับบ้านตอนมืดคนเดียวแล้วรู้สึกว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น
ด้วยอาการของบุคซิลที่ตัวสั่นขาสั่นจนล้มลงไปกองกับพื้น ชัดเจนเลยว่าบุคซิลกลัวภูตผีปีศาจมากเอาเรื่อง บุคซิลน่าจะคิดว่าป่าแห่งนี้มีแวมไพร์หรือปีศาจอะไรพวกนี้อยู่
“แม้บุคซิลจะมีอาการเกินจริงไปบ้าง แต่มันต้องมีอะไรอยู่แน่”
ดังนั้นแล้วอาร์คจึงใช้ราดันให้ทําการสะกดรอยเพื่อตรวจสอบว่ามีร่องรอยอะไรแถวนี้บ้าง ทว่าเขากลับไม่พบอะไรเลย
“ตอนนี้เราไม่มีข้อมูลอะไรในมือเลย คงมีแต่ต้องใช้สะกดรอยต่อไปเรื่อย ๆ
อย่างไรแล้ว หากเขาสามารถกําจัดความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักไปได้ การเดินทางผ่านป่าก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะมันไม่มีทั้งมอนสเตอร์หรือว่าสัตว์เล็กน้อยเลยแม้สักตัวเดียว ป่าแห่งนี้อุดมสมบูรณ์มีทั้งพืชพรรณและผลไม้ อีกทั้งยังมีสมุนไพรอยู่มาก อาร์คพยายามจัดการสิ่งของไม่สําคัญในกระเป๋าทิ้งขณะเริ่มทําการรวบรวมวัตถุดิบ เขาวิ่งไปวิ่งมาในป่าอยู่หลายครั้งเพื่อเก็บพวกมัน จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้สักพักหนึ่ง
ซื่อ ซื่อ? ซื่อ ซื่อ ซื่อ!
ราดันที่พยายามใช้การสะกดรอยมาตลอดพลันแลบลิ้นขณะนี้ไปยังตําแหน่งหนึ่ง มีรอยเท้าเจือจางปรากฏอยู่ระหว่างพุ่มไม้
ท่านได้ค้นพบข้อมูลรอยเท้าของเป้าหมาย
“เอ็นพีซึ่งั้นเหรอ? อะไรกัน? แถบนี้ก็มีประชากรทั่วไปอาศัยอยู่ด้วย?”
อาร์คมองไปรอบด้วยความระมัดระวัง ที่นี่คือแดนแห่งแวมไพร์ แต่แล้วกลับมีเอ็นพีซีทั่วไปอยู่ในพื้นที่แถบนี้? ไม่ใช่หมายความว่าเอ็นพีซีที่อาศัยอยู่แถวนี้จะกลายเป็นคลังเสบียงของแวมไพร์หรอกนะ?
“ถ้าหากมีเอ็นพีซีก็คงไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ถ้ามีเอ็นพีซีก็ต้องมีหมู่บ้าน แบบนั้นแล้วเราจะสามารถหาข้อมูลพวกแวมไพร์ผ่านช่องทางนี้ได้
“ราดัน ตามรอยเท้าไป”
ซื่อ ซื่อ ซื่อ!
อาร์คสั่งให้ราดันตามรอยเท้าซึ่งลัดผ่านป่าไป หลังจากพวกเขาเดินตัดผ่านปาหนาทึบมาได้ราวครึ่งชั่วโมง หมู่บ้านขนาดเล็กแห่งหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า
“อะไรกัน? ก็หมู่บ้านปกตินี่นา?”
มันเป็นหมู่บ้านที่มีประชากรราวหนึ่งร้อยคน อาร์คและบุคซิลถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะมองไปรอบหมู่บ้าน ทว่าบรรยากาศนั้นออกจะแปลกไปบ้าง ทั้งชายและหญิงต่างมีร่างกายกํายําแข็งแกร่ง ใบหน้าของพวกเขานั้นแข็งที่อไม่ต่างกับหินจนแทบจะเรียกว่าบูดบึ้ง
“พวกเขาสวมใส่ชุดหนัง? ไม่มีสัตว์ร้ายหรืออะไรอยู่แถวนี้สักหน่อยนี่ ทําไมถึงสวมใส่ชุดหนังกันล่ะ? แล้วสีหน้าของพวกเขานั่นอะไรกัน? อย่างกับพวกคนไร้ดวงวิญญาณ
อย่างไรแล้ว การพบเจอเอ็นพีซีในสถานที่เช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องหายาก ดังนั้นแล้วอาร์คจึงพยายามเข้าหมู่บ้านโดยการพูดคุยกับเอ็นพีซีบริเวณทางเข้า
“ขอโทษนะครับ”
“เจ้า!”
ชาวบ้านคล้ายมองเห็นอาร์คเป็นภูตผีขณะวิ่งหนีเข้าหมู่บ้านไป และหลังจากนั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเขาจะพยายามผูกมิตรด้วยเท่าไหร่เพื่อสอบถามถึงข้อมูล ผู้คนก็จะต่างเผยสีหน้าหวาดกลัวจนวิ่งหนีหาย
“ทําไมถึงเป็นแบบนี้ได้กันนะ? หรือพวกเขาจะคิดว่าเราจะมองพวกเขาเป็นหมูป่าแล้วจับมาต้มยําทําแกงหรือยังไง?”
“เอ่ออาร์คนิมครับ หมู่บ้านนี้ผมว่ามันมีอะไรแปลก ๆ นะครับ”
บุคซิลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“มันแปลกจริงแหละ ผู้หญิงก็ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์… จริงด้วยสิ”
“ครับ?”
“คนพวกนี้บางทีอาจโดนแวมไพร์ดูดเลือด ก็น่าจะเหมือนในหนังคนที่โดนแวมไพร์กัดจะเปลี่ยนร่างเป็นมอนสเตอร์ ใช่แล้ว น่าจะเป็นเพราะแบบนี้แหละ ไม่งั้นก็ไม่มีเหตุผลอื่นแล้วที่ผู้คนจะไปอาศัยใช้ชีวิตอยู่ใกล้กับแวมไพร์ แล้วพวกเขาก็ปิดซ่อนคอตัวเองกันด้วยหรือจะเพื่อปิดบังรอยกัด? แถมยังเหมือนจะเป็นโรคโลหิตจางกันอีก…. บางทีพวกเขาอาจจะโดนกัดกินเลือดตามกรุ๊ปเลือดอะไรทํานองนี้? อย่างพวกเราก็เป็นกรุ๊ปเลือดของมนุษย์ พวกแวมไพร์คงไม่ได้มีกรุ๊ปเลือดเหมือนมนุษย์ทั่วไปหรอกมั้ง?”
อา ยิ่งพูดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งคล้ายจะเลยเถิดมากขึ้นเท่านั้น อาร์คยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับพูดจาอะ ไรแบบนี้ออกมาในแดนแห่งแวมไพร์เข้าเสียแล้ว ช่างเป็นการพูดไม่ ระวังปาก
“พอมาคิดดูแล้ว เราเองก็รู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อยเลยนี่นา?”
“เจ้าคือผู้มาเยือนจากภายนอกสินะ”
ฉับพลันนั้นเอง เขาได้ยินเสียงใครคนหนึ่งจากทางด้านหลังอาร์คและบุคซิลหันควับกลับไปมองพร้อมตั้งท่าเตรียมพร้อม ทว่าเสียงนั้นกลับตอบรับด้วยการหัวเราะ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ทําพวกเจ้าตกใจแล้วสิ ต้องขออภัย”
“คุณคือ?”
“ข้าชื่ออัลเบิร์ต อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้”
บุคคลที่แนะนําตัวเองว่าชื่ออัลเบิร์ตเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบปี ใบหน้าค่อนข้างแข็งกระด้าง ดังนั้นอาร์คจึงเริ่มคาดเดาว่ายืนของคนในหมู่บ้านแห่งนี้คงมีปัญหากันแล้ว อัลเบิร์ตยิ้มให้เล็กน้อยก็จริงแต่ก็ยังดูน่ากลัวอยู่ดี
“โปรดอย่าได้ถือสาท่าที่ของผู้คนในหมู่บ้านเลย พวกเขาหวาดกลัวเพราะเห็นคนนอกอย่างพวกเจ้าเป็นครั้งแรก เจ้าดูแตกต่างจากพวกเรามากนัก”
“แล้วคุณล่ะ?”
“อืม ข้าก็ไหลไปเรื่อย”
อัลเบิร์ตไหวไหลให้ขณะตอบกลับ อาร์คคล้ายไม่พอใจกับคําตอบแต่ก็อดรู้สึกโชคดีไม่ได้ที่เจอคนซึ่งสามารถพูดคุยด้วยได้แล้ว
“ว่าแต่ ผมได้ยินว่าแถวนี้มีแวมไพร์…”
“ถูกต้องแล้ว เจ้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
อาร์คยิ่งเหวอมากขึ้นกับคําตอบของอัลเบิร์ต
“อะไรกัน? ท่าที่ตอบสนองแบบนั้นคือ? ก็แวมไพร์ไม่ใช่เหรอ? แวมไพร์ไม่ดูดเลือดมนุษย์หรือยังไง? แต่แล้วทําไมถึงพูดถึงแวมไพร์ได้หน้าตาเฉยแบบนั้นกันล่ะ? ที่นี่มันเป็นมายังไงกันแน่?
“งั้นคุณก็เป็นแวมไพร์งั้นเหรอ?”
บุคซิลพลันตอบสนองกับคําของอาร์คโดยทันที ทว่าอัลเบิร์ตเพียงหัวเราะก่อนส่ายศีรษะให้
“นั่นเป็นไปไม่ได้ แวมไพร์เป็นพวกเจ้ายศเจ้าอย่าง ไม่มีทางเลยที่จะอาศัยในหมู่บ้านแบบนี้ ถ้าเจ้าถามเช่นนี้ ข้าขอเดาว่าโลกภายนอกไม่มีแวมไพร์นั้นสินะ”
“งั้นจะบอกว่าคุณอาศัยอยู่ร่วมพื้นที่กับแวมไพร์?”
“เป็นตามนั้น”
อัลเบิร์ตพยักหน้ารับคํา
“นั่นสินะ เจ้าคงเพิ่งมาแถบนี้เป็นครั้งแรก งั้นให้ข้าอธิบายก็แล้วกัน ความจริงแล้วแวมไพร์คือผู้ช่วยชีวิตของพวกเรา ประชากรในหมู่บ้านแห่งนี้ทุกคนล้วนมีท่านลอร์ดคอยปกป้อง”
“ลอร์ด?”
“ลอร์ดแห่งแวมไพร์ยังไงล่ะ”