Ark The Legend - ตอนที่ 394 : รู้สึกขอบคุณ?
ตอนที่ 394 : รู้สึกขอบคุณ?
‘แฮ่ก แฮ่ก แฮก! ทําไมต้องมาขุดไอ้พวกดินบ้า ๆ นี้ด้วย? ขุดไปก็มีแต่ดินไม่ใช่หรือยังไง? พวกมันจะทําไปเพื่ออะไร? มอนสเตอร์ที่ถูกจับมาต้องมาขุดดินอยู่ตรงนี้เพื่ออะไรกันแน่?’
เขาที่เป็นถึงผู้กล้าแห่งซอแทนดาล ตอนนี้กลับโดนแวมไพร์จับตัวมาทั้งโดนบังคับให้ขุดดินไม่หยุดหย่อน อาร์คพยายามระงับความโกรธขณะขุดดินต่อไป แต่แล้วฉับพลันนั้นเอง ฟลิบพลันคว้าเอากรวดก้อนหนึ่งจากดินและทรายออกมา
“นี่…นี่คือสิ่งที่พวกเรากําลังหาอยู่…”
หินที่ฟลิบหยิบขึ้นมาส่องแสงเจือจางเล็กน้อย
ห็นดวงจันทร์ (แก่นหิน)
แก่นหินที่ดูดซับพลังเวทจากดวงจันทร์เป็นระยะเวลานาน
ในนิวเวิลด์ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาหินลึกลับซึ่งดูดซับพลังเวทมนตร์จากโดยรอบได้ ธรรมชาติของหินจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสถานที่ซึ่งถูกฝังเอาไว้ หินที่ถูกฝังเอาไว้ ใกล้ภูเขาไฟจะได้รับธาตุไฟ หินที่ถูกฝังไว้ในภูเขาหิมะจะได้รับความเย็นจากน้ําแข็ง หินที่ดูดซับธาตุเข้ามาได้จะถูกเรียกว่าแก่นหิน
หินดวงจันทร์ก็เป็นหนึ่งในแก่นหินชนิดหนึ่ง หินดวงจันทร์ที่ดูดซับพลังของดวงจันทร์มาไว้ในตัวมีความสามารถเสริมพลังธาตุให้กับเวทมนตร์ได้ ทั้งยังมีผลช่วยฟื้นคืนพลังมานา เพื่อใช้ในฐานะวัตถุดิบวิเศษ นอกจากนี้ ถ้าหากนําไปติดตั้งกับไอเทมที่มีช่องจะเสริมพลังอันลึกลับเข้าไปได้
‘มันคืออะไร? แก่นหิน?’
ดวงตาของอาร์คเบิกออกกว้างขณะจ้องมองหินตรงหน้าเขาได้รับไอเทมที่มีช่องเมื่อไม่นานมานี้ เขาไม่คิดเลยว่าสิ่งของที่สามารถติดตั้งในช่องกลวงดังกล่าวได้จะถูกพบเจอในสถานการณ์เช่นนี้
‘เราสามารถเอาหินนี้ไปใส่ในดาบแห่งพันธสัญญาได้’
ทว่าอาร์คก็ต้องเผยสีหน้าผิดหวังออกมาหลังตรวจสอบ หินดวงจันทร์โดยละเอียด หากนําไปใส่ช่องของอุปกรณ์ก็จะส่งผลได้แค่เพิ่มอัตราฟื้นฟูพลังมานา +2% ดาบแห่งพันธสัญญามีช่องอยู่สี่ แบบนั้นรวมแล้วได้มากสุดก็แค่ 8% เท่านั้นเอง แน่นอนว่ามันดีกว่าไม่มีอะไรแต่ไม่ใช่ว่าเขาสามารถ หาแก่นหินที่ดีกว่านี้ได้งนหรือ? แต่อย่างไรแล้วกระเป๋าก็โดนจํากัดการใช้งานเขาจึงไม่สามารถเก็บมันได้
‘คงไม่ใช่ว่าแก่นหินทั้งหมดจะมีประสิทธิภาพดาษดื่นแค่นี้หรอกมั้ง?’
ฟลิบเห็นอาร์คจ้องมองแก่นหินจึงเริ่มกล่าวต่อไป
“เอิร์ลคาราคุล…หลังจากพวกเราล้มเหลวการเป็นปีศาจเลือดจึงถูกใช้งานเช่นนี้…เพื่อทําการขุดเหมืองหาหินพวกนี้…ข้าไม่อาจเข้าใจอะไรมากนัก…ใต้ดินของปราสาท… หินดวงจันทร์เหล่านี้มีพลังที่แตกต่างไปจากก้อนกรวดธรรมดา.. คาราคุลทราบวิธีการเสริมพลังเวทมนตร์ให้กับตนเอง ผ่านหินดวงจันทร์เหล่านี้”
“นั่นคือวิธีการเพิ่มความแข็งแกร่งของแวมไพร์เหรอครับ?”
“อืม…เจ้ายังไม่รู้อะไร…แต่ข้าก็กําลังเบื่ออยู่พอดีเพ ราะไม่มีผู้ใดให้สนทนาด้วย…ข้าจะเล่าให้ฟัง…ทว่าอย่าได้คิดหยุดมือเพราะปีศาจเลือดเฝ้าดูอยู่…”
ฟลิบยังคงก้มหน้าก้มตาขุดต่อไปขณะพึมพําไปด้วยคล้ายบ่นอะไรสักอย่าง
“เอิร์ลคาราคุล…ไม่สิ…ทุกแวมไพร์ที่ยังมีชีวิตอยู่…พวกมันกําลังรอคอยโอกาสที่จะเข้าโจมตีอาณาเขตซึ่งกันและกัน…พวกมันต้องการเสริมพลังเวทมนตร์ เพื่อสร้างปีศาจเลือดขึ้นจํานวนมาก…”
“ครับ? ไม่ใช่ว่าลอร์ดแห่งแวมไพร์เป็นผู้ปกครองที่นี่?”
“นั่นก็ถูก…ลอร์ดแห่งแวมไพร์เป็นผู้ควบคุมดินแดนแห่งนี้…”
“แต่แล้วเขากลับเฝ้าดูสมาชิกของเผ่าตนเองต่อสู้กันและกัน?”
“เรื่องนั้น…คือความน่ากลัวที่แวมไพร์เป็น…”
ฟลิบคล้ายเบื่อหน่ายมากที่ไม่มีใครคิดพูดกล่าวสนทนาด้วย เมื่อได้เอ่ยปากก็ไม่คล้ายจะหยุดยั้ง อันที่จริงเผ่าพันธุ์แวมไพร์เป็นผู้ที่มีพลังเวทมนตร์มหาศาลแต่ก็มีจุดอ่อน มหาศาลเช่นกัน หากเผชิญหน้ากับกางเขนหรือกลิ่นกระเทียมจะเกิดอาการสับสนขึ้น นอกจากนี้ผิวหนังยังมีความไวต่อแสงอาทิตย์ หากต้องแสงก็ต้องโดนเผาไหม้กันไม่น้อย ยังไม่เพียงเท่านั้น เพราะความที่เป็นเกมเลยมีอะไรที่สมกับเป็นเกม แม้ว่าที่นี่จะเป็นไปไม่ได้ แต่นักบวชสามารถใช้เวทมนตร์ธาตุแสงเข้าจัดการแวมไพร์ได้โดยง่าย
“ลอร์ดแห่งแวมไพร์คือผู้ที่มีชีวิตอยู่มานานกว่าหนึ่งพันปี…จึงถูกนับเป็นชนชั้นสูงที่อยู่ในจุดสูงสุด…ผู้ที่อ่อนแอกว่าต้องศิโรราบ…การต่อสู้กันเองจะยิ่งทําให้พวกแวมไพร์เติบโตกันมากขึ้น…เขาจะใช้พลังของตนก็ต่อเมื่อเผ่าพันธุ์แวมไพร์ตกอยู่ในอันตรายต่อการสูญพันธุ์…”
นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทําไมอีกฝ่ายจึงยอมสร้างเสาบัพขึ้นมาเพื่อคุ้มกันเผ่าพันธุ์แวมไพร์ เพราะลอร์ดแห่งแวมไพร์ พวกแวมไพร์ระดับต่ําลงมาจึงสามารถเพิ่มจํานวนได้เพราะไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมลอร์ดแห่งแวมไพร์จึงเมินเฉยการต่อสู้กันเองในเผ่าพันธุ์ แม้ว่าโลกมีดจะค่อนข้างกว้าง แต่มันก็ไม่ใช่ไร้ขีดจํากัด ในเมื่อแวมไพร์ แทบจะเป็นอมตะภายในโลกมืด การควบคุมจํานวนประชากรจะกลายเป็นมีปัญหา นอกจากนี้ชีวิตของแวมไพร์ยังยืนยาวหลายร้อยปี เพราะงั้นจึงถือเป็นเรื่องยากที่จะตายตามอายุชราภาพ
“เมื่อโลกมืดถูกสร้างขึ้นในครั้งแรก…แวมไพร์ทุกตนได้อาศัยอยู่ในปราสาทของท่านลอร์ด…แต่เพราะจํานวนเพิ่มขึ้นเกินควบคุม ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่ชนชั้นสูงระดับสูงเท่านั้น ที่ได้รับอนุญาตให้คงอยู่ที่นั่น…ทุกคนต่างโดนขับไล่ออกมา…กระทั่งว่าเป็นแวมไพร์แต่ก็มีอายุขัยและสามารถตายได้ แต่ลอร์ดแห่งแวมไพร์ไม่ใช่ เขาเป็นอมตะอย่างแท้จริง…. และปราสาทแห่งความอมตะนั้นก็คือสถานที่ซึ่งพลังเวทมนตร์ควบแน่น…มันคือสถานที่ซึ่งแวมไพร์ตัวอื่นจะได้รับสิทธิ์การเป็นอมตะหากได้รับการคัดเลือก…”
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทําไมแวมไพร์ที่โดนขับไล่ออกมาจึงคิดกลับคืนสู่ที่แห่งนั้น เพื่อได้กลับไปยังปราสาท พวกเขาต้องโค่นล้มชนชั้นสูงของแวมไพร์เพื่อรับเอาอาณาเขตมายกระดับศักดิ์ฐานะ แวมไพร์ที่มีพลังเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสูงได้จะได้รับอนุญาตเข้าสู่ปราสาทของท่านลอร์ด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทําไมแวมไพร์ด้วยกันเองจึงคิดก่อสงครามกันครั้งแล้วครั้งเล่า
‘อะไรกัน? ที่ลอร์ดแห่งแวมไพร์ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นเพราะมีปัญหาการควบคุมจํานวนประชากร?’
นับว่าไร้สาระ แต่มันก็เพียงพอที่จะให้แวมไพร์ต่อสู้กันได้จริง
“การต่อสู้กันเองระหว่างแวมไพร์…มันซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิด…”
“หมายความว่ายังไงกันครับ?”
การต่อสู้ระหว่างแวมไพร์นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสงครามเผ่าพันธุ์มนุษย์ แวมไพร์ที่ต่อสู้ในโลกมืดจะได้เป็นผู้ปกครองแท้จริงในอาณาเขตและมีผู้ติดตาม มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขับไล่แวมไพร์ออกจากปราสาทในอาณาเขตที่ยึดครองมาได้ เพื่อควบคุมจํานวนอาณาเขตให้ได้ แวมไพร์จะต้องมีการควบคุมอาณาเขตที่มีไว้ในครอบครอง หรือก็คือ ต้องครอบครองพื้นดินจึงเกิดขึ้นเป็นที่ดิน นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทําไมยิ่งมีปีศาจเลือดมากยิ่งมีโอกาสชนะมากขึ้น
“นั่นเป็นเพราะปีศาจเลือดสามารถต่อสู้ในโลกมืด…ปีศาจเลือดไม่ติดข้อจํากัดใด… เพื่อโจมตีปราสาทแห่งอื่นหรือ เพื่อยับยั้งการโจมตี…แวมไพร์ต้องหาทางเพิ่มจํานวนปีศาจเลือด… แต่ไม่ว่าจะครอบครองปีศาจเลือดมากเพียงใด…หากตัวแวมไพร์อ่อนแอก็ไร้ความหมาย”
“ทําไมล่ะครับ? ไม่ใช่ว่าสามารถใช้ปีศาจเลือดจํานวน มากเข้าจัดการอีกฝ่ายได้เลย?”
“ข้าบอกเจ้าแล้ว…แวมไพร์อยู่ภายใต้การคุ้มกันของท่านลอร์ด…เขาไม่สนหากแวมไพร์จะฆ่ากันเอง…แต่หากมีเผ่าพันธุ์อื่นเข้าสังหารแวมไพร์…มันจะเป็นการกระตุ้นโทสะ ท่านลอร์ด…ท่านลอร์ดคือตัวตนที่สามารถสร้างความหวาดกลัวให้โลกใบนี้ได้ ไม่มีแวมไพร์ตนใดกล้ายั่วยุ กระทั่งดาร์คลอร์ดยังไม่กล้าทําให้ท่านลอร์ดแห่งแวมไพร์พิโรธ…กระทั่งมังกรยังต้องตายตกหากกระตุ้นโทสะท่านลอร์ด…”
‘ว่าอะไร? แบบนั้นแล้วต่อให้เราหนีออกจากที่นี่ได้และได้รับพลังคืนมา เราก็ไม่สามารถสังหารคาราคุลได้?’
เพราะโลกมืด มันไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะสามารถจัดการคาราคุลได้ในการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่แล้วลอร์ดแห่งแวมไพร์จะแข็งแกร่งเพียงใดหากกระทั่งชนชั้นสูงระดับสูงยังหวาดเกรง? หากเขาต้องเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์เช่นนั้นก็มีเพียงแต่ความตายที่เด่นชัดแล้ว
‘ปัญหาตอนนี้คือไม่สามารถจัดการคาราคุล…’
“แวมไพร์ส่วนใหญ่ก็เพียงแต่ใช้ปีศาจเลือดเปิดทาง…จากนั้นค่อยใช้วิธีการดังกล่าวเข้าสู่อาณาเขตผู้อื่นเพื่อท้าดวล แวมไพร์ไม่อาจปฏิเสธได้หากได้รับการท้าดวลจาก แวมไพร์อื่น…นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทําไมแวมไพร์ที่อ่อนแอมีปีศาจเลือดไปก็ไร้ค่า…มีเพียงแวมไพร์ผู้แข็งแกร่งอย่างคาราคุลที่สามารถใช้งานปีศาจเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ…”
ท่ามกลางบรรดาแวมไพร์ที่โดนขับไล่ คารากุลนับว่าแข็งแกร่งไม่น้อย อีกฝ่ายสามารถรวบรวมพื้นที่โดยรอบมาได้ อีกทั้งยังมีสติปัญญากับตัวไม่ใช่น้อย แน่นอนว่าแวมไพร์ตนอื่นก็สามารถได้รับเช่นเดียวกันหากสามารถจัดการคาราคุลได้ แต่ไม่ใช่กับพื้นที่แถบนี้ซึ่งคาราคุลปราบปรามจนสิ้นแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทําไมคาราคุลจึงสามารถใช้พลังทั้งหมดที่มีไปกับการคุ้มกันอาณาเขต
“ชีวิตแวมไพร์ไม่ง่ายจริงๆ”
นับว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีปัญหาการดํารงชีวิตร่วมกันโดยแท้
“เอิร์ลคาราคุลมีเวทมนตร์อันแข็งแกร่งยิ่ง…เป็นเพราะ แก่นหินพวกนี้…และแก่นหินพวกนี้ก็ปรากฏเพียงแต่ที่นี่”
‘นี่มันของดีจริงเหรอ? ไอ้ก้อนหินพวกนี้เนี่ยนะ?’
เป็นอีกครั้งที่อาร์คจ้องมองหินดวงจันทร์ให้ดี มันคือหินที่ดูดซับพลังจากดวงจันทร์และช่วยเสริมเวทมนตร์ได้ แต่มันก็แค่หินธรรมดาสําหรับอาร์ค แม้จะช่วยส่งผลการฟื้นฟูพลังมานา แต่อย่างมากก็แค่ 10 หน่วยเป็นอย่างมาก ทักษะส่วนใหญ่ที่ต้องใช้กระดับ 50-500 หน่วยมานากันทั้งสิ้น เขาไม่คิดด้วยซ้ําว่าหากเอาไปขายร้านจะได้กี่เหรียญเงิน มันคงดีกว่าที่จะเอาเงินไปซื้อโพชั่นฟื้นฟูแม้จะแพงกว่าก็ตามช่องกลวงของไอเทมเองก็เช่นกัน หากนําไอเทมเช่นนั้นไปขายเขาก็ไม่คิดว่าจะได้สักเท่าไหร่
‘เอาเถอะ ยังมีข้อมูลอื่นที่เราไม่ทราบว่ามันมีประโยชน์ไหม แต่นับว่าโชคดีอยู่ที่เจอกับเอ็นพีซีที่พร้อมส่งมอบข้อมูลให้ อย่างน้อยข้อมูลพวกนี้ก็เชื่อถือได้ว่าอัลเบิร์ต’
อาร์คจําเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลจําเป็นให้ได้มากที่สุด
“ว่าแต่ เคยเห็นเผ่าพันะธุ์สัตว์อสูรในโลกมืดแห่งนี้บ้างไหมครับ?”
“สัตว์อสูร… ข้าไม่เคยเห็น…แต่ข้าเคยเห็นมนุษย์…”
อาร์คกลายเป็นมึนงงเพราะคําตอบของฟลิบ
“มนุษย์เหรอครับ?”
“เจ้าก็น่าจะเห็น เป็นพวกมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่ง…ข้าไม่ทราบเช่นกันว่าทําไมคาราคุลจึงปล่อยพวกนั้นไว้…”
“แต่ว่า…”
คาราคุลกล่าวไว้ว่าไม่มีมนุษย์คงอยู่ในโลกมืด ดังนั้นแล้วอาร์คจึงคิดว่าชาวบ้านในหมู่บ้านเหล่านั้นก็เป็นปีศาจเลือด แปลงกายเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาเป็นมนุษย์? ทั้งคารากุล และฟลิบไม่น่ามีเหตุผลใดให้ต้องโกหกเขาแล้วในสถานการณ์นี้ หากเป็นแบบนั้นจริงใครกันล่ะที่ผิดพลาด? อาร์คยิ่งมายิ่งสับสน จากนั้นเองฟลิบพลันหันกลับมากล่าวต่อ
“ว่าแต่… ข้าต้องอธิบายว่าเหตุใดจึงใจดีตั้งแต่ที่เห็นเจ้าในครั้งแรก…”
“ครับ?”
“ข้าอยากบอกเจ้า…เป็นเพราะข้ารู้สึกขอบคุณ…”
“ขอบคุณ? หมายถึงเรื่องอะไรกันครับ?”