Ark The Legend - ตอนที่ 406 : สัตว์เลี้ยงของบุคชิล
ตอนที่ 406 : สัตว์เลี้ยงของบุคชิล
สรุปเรื่องราวโดยย่อ หลังอาร์คหนีไปได้ คารากุลได้ดื่มเลือดจากที่เคยได้รับสองคนโดยใช้บุคซิลเพียงคนเดียว แต่กระทั่งว่าบุคซิลเป็นหมูที่อ้วนท้วน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นคืนเลือดกลับมาให้เพียงพอในทุกวัน ดังนั้นแล้ว เลือดทุกหยดจากร่างของบุคซิลจึงเริ่มเลือนหายไปในทุกวัน และเมื่อเลือดของบุคซิลหมดจากร่างในเวลาเพียงไม่กี่วัน คาราคุลยังคล้ายไม่สาแก่ใจกับความโกรธเกรี้ยวจึงดูดเลือดจนหยดสุดท้ายจากร่างของบุคซิล และถึงตอนนั้นเอง เรื่องราวได้เกิดขึ้นกับบุคซิล กระทั่งคาราคุลยังไม่อาจตระหนักถึงได้ บุคซิลที่ร่างกายเรือดแห้งพลันไร้สติแล้วกระทําการดูดเลือดของคาราคุล หากคาราคุลมีเวทมนตร์อันแข็งแกร่งดังเช่นชนชั้นสูงระดับสูงสุดภายในปราสาทแห่งความอมตะ บุคซิลคงได้เปลี่ยนกลายเป็นแวมไพร์แล้ว ทว่าเลือดของคาราคุลกลับมีพลังเวทมนตร์เพียงพอ แค่ให้เปลี่ยนกลายเป็นมอนสเตอร์
“แต่คนต่างถิ่นไม่อาจเปลี่ยนร่างเป็นปีศาจเลือด… คาราคุลทราบเรื่องนี้ก็ตอนที่ได้รับเลือดกลับคืน… แต่เรื่องนั้นก็ไม่ได้สําคัญอะไรนัก…”
คาราคุลไม่เคยคาดคิดว่าจะมีผลกระทบเกิดขึ้นกับบุคซิล เมื่อเกิดการถ่ายเทเลือด ทักษะนี้ของคาราคุลตามปกติแล้ว จะใช้กับแวมไพร์เด็กเท่านั้น ในอดีตทักษะนี้ของคาราคุลจะใช้เพื่อย้ายร่างไปยังเด็กคนอื่นผ่านทางดวงตา ทว่าทักษะนี้กลับใช้งานกับบุคซิลจนทําให้เกิดขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาด
“จะยังไงก็เถอะ หมอนี่โชคร้ายมาก แต่อย่างน้อยก็ได้ทักษะที่น่าฟังมา ไม่ใช่ว่าหากตกอยู่ในอันตรายสามารถถอดดวงตาเอาตัวรอดได้หรือยังไง?”
อาร์คหัวเราะทั้งยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อ แต่แล้วบุคซิลที่กําลังถูดวงตาอยู่นั้นกลับจับจ้องอาร์คด้วยความโกรธแค้น
“หัวเราะ? หัวเราะอะไรกัน!?”
“แล้วจะเอายังไง?”
อาร์คเงยหน้าขึ้นก่อนเผยน้ําเสียงอหังการ
“ตอนนั้นมันช่วยไม่ได้นี่นะ ไม่สิ? ถ้าให้พูดแล้ว ตอนนั้น ถ้าโดนจับกลับมาได้ล่ะ? ถ้าหากเป็นแบบนั้น ทั้งนายกับฉันก็คงยังต้องขุดดินอยู่จนถึงวันนี้และอาจจะอีกนานหรือไม่ใช่? แต่ที่คาราคุลโดนจัดการได้เพราะฉันหลบหนีสําเร็จ ตอนนี้นายก็เป็นอิสระแล้ว ยังจะบ่นหาอะไรอีก? ตรงกันข้าม ไม่ใช่นายควรขอบคุณฉันหรอกหรือยังไง?”
“บะ-แบบนั้นมัน…”
บุคซิลกัดริมฝีปากแน่น อันที่จริงอาร์ครู้สึกเสียใจจริง ๆ ตอนเห็นร่างผ่ายผอมถึงขนาดนี้ แต่ก็เหมือนอย่างที่เขาว่า เขาขอโทษไปแล้ว บุคซิลไม่ยอมรับ ถ้าหากเป็นแบบนั้น… อาร์คก็ต้องพลิกสถานการณ์โดยการใช้คํากล่าวเหล่านี้
“ยังโกรธอะไรอยู่อีกกัน? ไม่ใช่ควรขอบคุณฉันหรือที่มาช่วยนายเนี่ย? นี่นายยังเป็นคนมีจิตใจอยู่หรือเปล่าหา?”
อา ตัวร้ายอย่างไรก็เป็นตัวร้ายวันยังค่ํา หน้าของบุคซิลแปรเปลี่ยนเป็นแดง อีกฝ่ายคิดเปิดปากพูดกล่าว นั่นทําให้อาร์คเผยรอยยิ้มก่อนจะพูดด้วยเสียงเบายิ่ง
“ฉันเข้าใจความรู้สึกนาย ฉันไม่ใช่คนไร้หัวใจ แต่การที่โจมตีฉันนั้นคิดว่าดีแล้วจริงเหรอ?”
“ว่าอะไร? ผมไม่หลงกลอีกหรอกนะ ผมเป็นคนที่ผ่านขุมนรกมาแล้ว!”
“แล้วนายอยากกลับไปอยู่ในขุมนรกอีกครั้งไหมล่ะ?”
“ว่าอะไรนะ?”
บุคซิลสะดุ้งขณะมองอาร์ค อาร์คเพียงยิ้มก่อนเอ่ยเสียงเบากระซิบ
“คิดให้ดี ไม่ใช่ว่าเพราะโดนคาราคุลจับตัวได้ถึงต้องติดอยู่ในคุกใต้ดินแห่งนี้หรือยังไง? แล้วก็นะ ตอนนี้คาราคุลตายไปแล้ว ลูกน้องฉันก็เป็นลอร์ดคนใหม่ หรือก็คือ ถ้าหา กต้องการฉันสามารถกักขังใครก็ได้เอาไว้ในคุกใต้ดินอีกครั้ง เข้าใจหรือยัง?”
บุคซิลเริ่มหลั่งเหงื่อขณะกําด้ามพลั่วเอาไว้แน่น
“สั่นทําไมกัน? ใจเย็นลงก่อน ฉันก็แค่พูดถึง”
อาร์คเช็ดเหงื่อให้บุคซิลก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มนวลต่อไป
“ก็นะ ปัญหาทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว? เรื่องที่ฉันทิ้งนายไว้แล้วหนีไปก็ชดใช้แล้วด้วยการมาช่วยเหลือหรือไม่ใช่?”
พูดแค่นั้นก็ใช่ แต่แท้จริงแล้วมีคําขู่กักขังในคุกแฝงอยู่ด้วย! ใบหน้าของบุคซิลถูกย้อมไปด้วยความเกรงกลัวบุคซิลรู้ดี อาร์คเป็นคนที่ไม่กระพริบตาหากต้องกระทําเรื่องโฉดชั่ว แม้บุคซิลจะยอมรับ แต่เขาก็ยังไม่อยากยอมรับท้ายที่สุด เมื่อไร้ทางเลือกจึงต้องน้ําตานองหน้ากล้ํากลืนยอมรับโชคชะตา ทว่าบุคซิลไม่อาจปล่อยเรื่องนี้ไว้เพียงเท่านี้ได้
“เข้าใจก็ได้ แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”
“เงื่อนไข?”
“ผมต้องการลูกมือ”
“ยังไง?”
“อยากจะบอกตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วนะครับ รู้ไหมครับ ว่างานมันหนักขนาดไหนกัน? เก็บรวบรวมวัตถุดิบ ถ่ายทําวิดีโอ แถมยังต้องไปทําธุระให้อาร์คนิมอีก กระทั่งสมุนปีศาจของอาร์คนิมทุกวันนี้ยังไม่เห็นหัวผมแล้วเลย ผมถึงกับต้องให้พี่น้องอีกสองคนช่วย… แต่ตอนนี้ ผมต้องการลูกมือคอยช่วยเพื่อลดภาระงานลงครับ”
“ให้ตายสิ เอาแบบนั้นเลยงั้นเหรอ?”
อาร์คเกาศีรษะขณะเผยสีหน้าเก้กัง อันที่จริงก่อนหน้าเขารู้แต่ก็ทําเฉย ทว่าตอนนี้มันจําเป็นขึ้นมาเมื่อบุคซิลต้องร่วมทางกับอาร์ค และบุคซิลยังเป็นผู้เล่นไม่ใช่เอ็นพีซี ดังนั้นแล้ว จึงมีขีดจํากัดแม้เขาจะใช้การข่มขู่ก็ตามที่อีกทั้งเขายังรู้สึก เสียใจกับเรื่องก่อนหน้านี้ที่ทิ้งอีกฝ่ายไว้ ดังนั้นอาร์คจึงคิดอยากหยิบยืนนําใจให้ แต่ร้องขอลูกมือ… หรือก็คือ อีกฝ่ายต้องการหนึ่งในสัตว์อัญเชิญของอาร์คไปเป็นลูกน้อง? แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ราคาร์ดหรือจะฟังบุคซิล มันไม่ฟังใครอื่นนอกจากอาร์คเลยต่างหาก เช่นเดียวกันกับราดันและราซาค
“ราคาร์ดเพิ่งได้กลายเป็นเอิร์ล คงมีปัญหาแน่ถ้าให้ไปช่วยงานบุคซิล นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าลูกมือในคราวนี้ก็เพื่อลดความตึงเครียดของบุคซิลลง? ไม่ว่าเราจะพยายามบอกยังไงให้ทําเหมือนบุคซิลเป็นพี่น้องคนหนึ่ง แต่ราคาร์ดกับราซาคก็แค่ฟังบุคซิลเป็นครั้งคราว แล้วปัญหาคราวนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วย”
ถ้าหากบุคซิลไม่ยินยอมการถ่ายทําวิดีโอ แบบนั้นแล้วจะเป็นปัญหากับอาร์คมาก ตอนนี้อีกฝ่ายอาจยังทําตัวดีอยู่ เพราะมีโอกาสต้องติดอยู่ในคุกใต้ดินอีกครั้ง แต่หลังออก จากโลกมืดแล้วไม่ทราบว่าท่าทีของบุคซิลจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรอีก
“ดีที่สุดคือซื้อหาสัตว์เลี้ยง
ในนิวเวิลด์ สัตว์เลี้ยงเป็นอีกหนึ่งช่องทางของสัตว์อัญเชิญ ทว่าสัตว์เลี้ยงจําเป็นต้องใช้จ่ายเงินเพื่อได้รับมา นอกจากนี้บุคซิลยังไม่ต้องการสัตว์เลี้ยงแบบทั่วไป แต่ที่ต้อง การคือลูกมือคอยช่วยงาน
“เดี๋ยวนะ ลูกน้องงั้นเหรอ?”
และแล้ว ความคิดอันบรรเจิดก็ปรากฏขึ้น
“ก็ได้ นายต้องการลูกน้องเพื่อแบ่งเบาภาระงานใช่ไหม?”
อาร์คยิ้มก่อนเดินไปยังจุดที่ชาววูล์แรงรวมตัวกันอยู่
“ให้มันจ่ายหนี้ที่กล้าทรยศหักหลัง ฉีกมันให้เป็นชิ้น!”
“ใช่ โทษของมันครั้งนี้จะไม่ได้รับการให้อภัย!”
ชาววูล์แรงที่รวมตัวกันอยู่กําลังกระทําการอย่างโหดเหี้ยมต่ออัลเบิร์ต อาร์คลอบเข้าไประหว่างชาววูล์แรงเพื่อพูดกล่าวกับผู้อาวุโส
“ท่านผู้อาวุโสครับ ไว้ใจให้ผมจัดการชายคนนี้แทนได้หรือไม่?”
“ฝากมันไว้กับเจ้าหรือ? เจ้าคงไม่ได้คิดช่วยมันใช่หรือไม่?”
“เป็นเพราะอัลเบิร์ตผมถึงต้องโดนจับเป็นข้าทาสของคาราคุล ภายในใจผมนั้นอยากฆ่ามันให้ตายโดยทันทีเช่นกัน ทว่าอย่างไรแล้วอัลเบิร์ตยังคงเป็นลูกหลานของเผ่าวูล์แรงที่ต่อสู้ร่วมกับผู้กล้ามาบันต่อต้านกองทัพแห่งความมืด การสังหารอัลเบิร์ตตอนนี้ก็ไม่อาจกู้คืนชื่อเกียรติยศของพวกท่านกลับคืน นอกจากนี้ การสังหารออกจะเป็นบทลงโทษที่เบาเกินไปสําหรับผู้ทรยศ”
“อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น ”
ผู้อาวุโสถอนหายใจก่อนพยักหน้ารับ
“ในเมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว ให้ผมรับตัวอัลเบิร์ตไว้เป็นอย่างไรครับ? วูล์แรงคือตระกูลที่ติดตามผู้กล้ามาบัน ถ้าหากผมรับอัลเบิร์ตไว้ แบบนั้นก็ไม่มีอะไรเสื่อมเสียต่อเกียรติ ภูมิของเผ่าวูล์แรง ระหว่างที่ติดตามผมก็จะทําการลงโทษไปด้วย อัลเบิร์ตน่าจะคิดได้ถึงเกียรติภูมิของเผ่าวูล์แรงอีกครั้งหนึ่ง”
ถูกต้องแล้ว แม้ว่าอาร์คจะอ้างเหตุผลร้อยแปดพันเก้าอย่างไร เหตุผลแท้จริงที่อาร์คต้องการตัวอัลเบิร์ตก็เพื่อมาเป็นลูกน้องให้บุคซิล แต่ผู้อาวุโสเผยสีหน้าคล้ายไม่ พอใจอยู่บ้าง
“ข้าเข้าใจจุดประสงค์นั้นของเจ้า หากมันได้ติดตามผู้สืบทอดของผู้กล้ามาบัน ก็อาจจะกลับตัวกลับใจได้ ทว่า บาปของเด็กน้อยผู้นี้ใหญ่หลวงนัก มันจะสามารถรับใช้เจ้า ได้เหมาะสมกับบทลงโทษหรือไม่? นอกจากนี้ มันอาจยังไม่ฟังคําสั่งของเจ้า…”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมแสดงให้ดู”
อาร์คเดินเข้าไปใกล้อัลเบิร์ตที่กําลังคลุกคลานอยู่กับพื้น
“ว่าไงอัลเบิร์ต! ได้ยินที่ฉันพูดใช่ไหม? คิดเห็นว่ายังไงบ้างล่ะ?”
“เหอะ! ข้าไม่มีวันรับใช้เจ้า! ต่อให้ข้ามีสภาพนี้ ข้าก็ยัง คงเป็นวูล์แรง! ข้ายอมตาย…”
“รู้อยู่แล้วว่าต้องพูดแบบนี้ ราดัน เอาตรวนแห่งความเจ็บปวดมา”
อาร์ครับตรวนดังกล่าวจากราดัน มันคือตรวนที่อาร์คเคยโดนสวมใส่เมื่อตอนโดนจับตัวก่อนหน้านี้ หลังหลบหนีจากอาณาเขตของคาราคุลได้ มันก็หล่นลงไปกลางอากาศ ทว่าอาร์คเลือกเก็บมันกลับคืนมา เผื่อกรณีจําเป็นต้องใช้อาร์คผิวปากก่อนจะล็อคตรวนเข้ากับข้อเท้าของอัลเบิร์ต
“รู้ใช่ไหมไอ้นี่ทําอะไรได้?”
“นะ-นี่มัน… สารเลว… กล้าทําเรื่องแบบนี้”
“ไม่คล้ายสิ่งที่ฉันอยากได้ยินนะ”
“ดะ-เดี่ยว อ้าก!”
ขณะนั้นเอง อาร์คได้เหยียบย่ําเข้าที่กลางตัวอัลเบิร์ต คาราคุลตายไปแล้ว แต่ตรวนแห่งความเจ็บปวดนี้เป็นไอเทม ผลจากการใช้งานไอเทมไม่เคยเปลี่ยนแปลง และผลของตรวนนี้คือเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นอีกสิบเท่า! อาร์คได้ฝึกฝนวิชาเทควันโดมานานไม่น้อย เขาจึงทราบว่าจุดไหนที่จะทําให้รู้สึกเจ็บปวดได้ อาร์คใช้ความรู้ที่มีเข้าโจมตีใส่จุดที่หากกะแรงพลาดอาจถึงชีวิต ด้วยความที่ตรวนเสริมความเจ็บปวดเพิ่มถึงสิบเท่า กระทั่งชาววูล์แรงยังแตกตื่นเมื่อเห็นอัลเบิร์ตร่ําร้องออก
“แก สารเลว! แค่ก! ยังมีหน้าเรียกตัวเองว่ามนุษย์? แกมันผู้ดีเสแสร้ง!”
“ฉันไม่อยากได้ยินคําพล่ามบ่นหรอกนะ”
“ยะ-หยุดก่อน! ช่วยข้าด้วย! ไม่ ข้ายอมตาย…”
“จะเอายังไงกันแน่?”
“อั่ก! แค่ก!”
อาร์คหัวเราะขณะยังคงเหยียบย่ําอัลเบิร์ตต่อไป นี่คือการใช้ความรุนแรงอย่างเหี้ยมโหด! เหล่าทาสมอนสเตอร์ ชาววูล์แรง กระทั่งปีศาจเลือดยังเผยอาการซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว เวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง ทุกครั้งอาร์คจะใช้ทั้งมือและเท้าช่วยเสริมการกระทํา อัลเบิร์ตทําได้เพียงกลิ้งไปมากับพื้นจนกระทั่งคว้าเข้าที่ขากางเกงของอาร์ค
“ข้าจะทํา! อะไรก็ได้ ไม่สิ ได้โปรดให้ข้ารับใช้ด้วย แค่อย่าทุบตีข้าอีกก็พอ!” ด้วยเหตุนี้ อาร์คจึงเผยรอยยิ้มขณะเดินกลับไปหาผู้อาวุโส
“อืม คงได้ยินแล้วนะครับ ท่านผู้อาวุโสคิดเห็นยังไงบ้าง?”
“เอ่อ… การติดตามเจ้าไปอาจเป็นการลงโทษที่โหดเหี้ยมกว่าความตายนัก…”
ผู้อาวุโสต้องกลืนน้ําลายขณะพยักหน้ารับ ชาววูล์แรงคนอื่นเองก็เห็นชอบด้วย พวกเขาได้เห็นสภาพของอัลเบิร์ตแล้วว่าน่าเวทนาเพียงใด
“บุคซิล? นายว่าไอ้หมอนี่เป็นลูกน้องพอไหวหรือเปล่า?”
“หือ? หา? ครับ!”
เมื่ออาร์คหันมากล่าวกับตนอย่างกะทันหัน บุคซิลจึงเร่งพยักหน้าให้ด้วยอาการตกใจ จากนั้น ผู้อาวุโสที่รับชมเรื่องราวอยู่ก็ถอนหายใจออก
“อัลเบิร์ต เจ้าเชื่อมั่นหรือไม่ว่าจะกระทําตามเจ้านาย คนใหม่นี้ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม?”
“ได้ ”
“ก็ดี แม้เจ้าจะเป็นคนทรยศ แต่เจ้าก็ยังคงเป็นเผ่าวูล์แรง ข้าไม่อยากอธิบายมากนักว่าวูล์แรงจะรับใช้เจ้านายอย่างไร เจ้าเตรียมตัวกล่าวคําสาบานตามธรรมเนียมของเผ่าวูล์แรงได้แล้ว”
“เอาล่ะ จับกระเพาะอาหารตรงหน้าไว้ จากนั้นคําปฏิญาณจะบังเกิด”
บุคซิลคว้าเข้าที่กระเพาะอาหารด้วยมือสั่นเทา อัลเบิร์ตพลันนําเอาลิ้นแลบออกมาค้างไว้ ทั้งผู้อาวุโสและชาววูล์แรงต่างเผยสีหน้าเคร่งเครียดประดุจนี่คือพิธีอันศักดิ์ สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้ อัลเบิร์ตจึงได้กลายเป็นสุนัขเลี้ยงของบุคซิล ในเมื่อปัญหาเรื่องอัลเบิร์ตคลี่คลายอาร์คจึงไปหาราคาร์ด
“ราคาร์ด เรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้า… นายบอกว่าอยากจะเก็บของประดับตกแต่งปราสาทเอาไว้ถ้าเอาชิ้นส่วนดวงจันทร์จากอัลเบิร์ตมาได้”
“ข้าพูดหรือขอรับ? ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ข้าไม่เห็นจะจําได้เลย ต่อให้ข้าพูดไป ข้าก็ไม่มีทางกล้าคิดเช่นนั้นกับเจ้านายจริงหรอกขอรับ”
“เป็นแบบนั้นเอง? งั้นฉันก็เอาของตกแต่งปราสาทไปได้ตามสัญญาเดิมใช่ไหม?”
“แน่นอนขอรับ เอาไปเลย ของไร้สาระพวกนั้นข้าไม่เคยสนใจอยู่แล้วขอรับ”
ราคาร์ดหัวเราะเก้กังด้วยใบหน้าคล้ายโดนแช่แข็ง ผลจากการใช้ความรุนแรงไม่ได้กระทบแค่บุคซิล ราคาร์ดที่เคยมีประสบการณ์ตรงหลังวิวัฒนาการครั้งก่อนหน้า และตอนนี้มันก็เพิ่งได้เป็นเอิร์ลแต่กลับต้องพบเห็นอัลเบิร์ตที่โดนกระทําอย่างโหดเหี้ยม มันทําเอานึกถึงวันคืนเก่าก่อน ดังนั้นแล้ว อาร์คจึงไม่ต้องใช้ความรุนแรงกับบุคซิลหรือว่าราคาร์ดเพื่อสั่งสอน
“งั้นก็ถือว่าดี”
อาร์คหัวเราะอย่างสดใส ทว่าผู้อื่นที่อยู่ในที่แห่งนี้กลับไม่มีเสียงหัวเราะร่วมด้วยแม้สักนิด