Ark The Legend - ตอนที่ 421 : เมืองแห่งคนตาย
ตอนที่ 421 : เมืองแห่งคนตาย
“เมือง!”
สองวันผ่านไปนับตั้งแต่อาร์คออกมาจากบึงน้ําได้ หลังใช้ใช้ยาฆ่าเชื้อจนแทบครบกําหนดและฝ่าดงซอมบี้ออกมา ในที่สุดอาร์คก็ถึงจุดหมายปลายทาง อาจพูดได้ว่าข้อสรุปของอาร์คก่อนหน้านี้ถูกต้อง เมื่อนําแผนที่หมู่ดาวโอไรออนมาเทียบกับแผนที่บึงน้ํา เขาก็เริ่มออกเดินทางจากบีเทลจูสไปยังไรเจล และจากไรเจลไปยังเบลลาทริกซ์ และยังมีหลังจากนั้นอีกหลายชื่อ…ทั้งหมดจะเป็นชื่อของหลุมฝังศพที่ปรากฏพร้อมแสงสว่างรอบหลุม แทบจะทุกสองชั่วโมงที่เดินทางเขาจะได้พบกับหลุมฝังศพอีกแห่งที่เป็นเป้าหมาย เพราะแบบนั้นซอมบี้เชื้อราจึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลที่ต้องคิดคํานวณการใช้ยาฆ่าเชื้ออีกต่อไปด้วยเหตุนี้ อาร์คจึงสามารถไปถึงจุดสุดท้ายได้ซึ่งก็คือตรงดาบของโอไรออน ย้อนกลับไปกลุ่มดาวโอไรออนนั้นเป็นกลุ่มดาวที่มีดวงดาวส่องสว่างประกอบนับร้อยดวง และนี่ก็คือปลายทางสุดท้ายซึ่งจะต้องมีเมืองแห่งคนตายตั้งอยู่
‘โชคไม่ดีเท่าไหร่ วัตถุดิบจําเป็นยังรวบรวมได้ไม่ครบเลย…’
แต่เรื่องเม็ดยาอมตะนั้นไม่ใช่งานเร่งด่วนอะไร เขาต้องไปหาราชาคเพื่อสําเร็จภารกิจเปลี่ยนอาชีพเป็นขั้นที่สองเสียก่อน จากนั้นเขาจะกลับไปยังบึงน้ําแห่งนั้นในภายหลังเพื่อรวบรวมวัตถุดิบที่จําเป็นจากซอมบี้เชื้อราเมื่อใดก็ได้ และตอนนี้หน้าต่างข้อมูลก็ปรากฏขึ้นทันทีเมื่อเขาพบเห็นเมือง
เมืองแห่งคนตาย
ท่านได้ค้นพบเส้นทางที่ซุกซ่อนเอาไว้ในความมืดในดินแดนที่ความตายแผ่ขยาย สถานที่ซึ่งท่านค้นพบหลังฝ่าบึงน้ำมาได้คือโบราณสถานซึ่งมีความลับครั้งโบราณเก็บงําเอาไว้เป็นเวลาหลายร้อยปี และสถานที่แห่งนี้ยังมีอันเดตจํานวนมากหลับใหลอยู่ พวกมันแตกต่างจากอันเดตที่พบได้บ่อยครั้งในซอแทนดาล เพราะเหตุใดอันเดตจึงอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ยังไม่มีผู้ใดทราบเหตุผล
ด้วยการค้นพบสถานที่แห่งนี้ เขาได้รับแต้มทักษะถึง 20 หน่วย! ก็เหมือนกับที่หน้าต่างข้อมูลอธิบายไปเมืองแห่งคนตายคือโบราณสถาน มันค่อนข้างทรุดโทรมแต่ก็ยังมีกําแพงเมืองโบราณปรากฏให้เห็นกระจายทั่วพื้นที่
ประชากร? มอนสเตอร์? ไม่ว่าจะอะไรล้วนตายไปเพราะสภาพแวดล้อมและกาลเวลาจนหมดสิ้น ที่ยังเหลืออยู่แค่ซอมบี้หรือไม่ก็โครงกระดูกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ซอมบี้และโครงกระดูกพวกนี้แตกต่างออกไปจากอันเดตพวกมันให้ความรู้สึกเหมือน ‘ผู้ที่เพิ่งตาย’ ไปเสียมากกว่า
‘จะเข้าไปยังไงกันนะ?’
อาร์คหลบซ่อนในสถานที่แห่งหนึ่งระหว่างสํารวจเมืองโดยผ่านเนตรแห่งแวมไพร์ของบุคซิล หน้าต่างข้อมูลระบุไว้ว่าประชากรไม่ใช่สีแดง เพราะงั้นก็ไม่น่าจะเป็นศัตรู แต่ มันก็ไม่ใช่สีน้ําเงินที่จะหมายถึงเป็นมิตรด้วย มันคือสีเทาที่เอ็นพีซีสามารถเป็นได้ทั้งสองอย่าง
‘เป็นสีเทา ก็หมายความว่ามีโอกาสเป็นมิตรด้วยได้…’
เขาได้เรียนรู้ถึงปัญหาจากประสบการณ์ในโลกมืด อะไรกันจะรับประกันว่าเขาจะไม่ได้รับประสบการณ์เป็นปฏิปักษ์จากเมืองแห่งนี้? แน่นอนว่าวิธีการนั้นคือ ใช้ลอบเร้นเข้าไปสํารวจ ทว่าจุดประสงค์ของอาร์คไม่ใช่เพียงแค่สํารวจเมือง เขาต้องการหาตัวราซาค และปรับเปลี่ยนจุดเกิดให้เชื่อมกับพอร์ตอัญเชิญ จากนั้นจึงค่อยหามรดกที่ซุกซ่อนเอาไว้ของผู้กล้ามาบัน การใช้ลอบเร้นมีระยะเวลาจํากัดจึงไม่สามารถทําได้ทันภายในเวลา
‘เราต้องการวิธีที่จะไม่ทําให้พวกเขาสงสัย อืม น่าจะพอมีละมั้ง’
อาร์คสรุปความคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยถามบุคซิล
“บุคซิล เคยเรียนทักษะเย็บปักถักร้อยมาหรือเปล่า?”
“เอ่อ อาร์คนิมเห็นผมเป็นตัวอะไรกัน?”
“หือ? หมายความว่ายังไง?”
“เย็บปักถักร้อยเป็นทักษะพื้นฐานของพ่อค้ามันคือก้าวเดินแรกของพ่อค้าที่จะตัดชุดและขายเพื่อสร้างกําไรเลยนะครับ”
“เลิกพูดจาไร้สาระแล้วบอกมาว่าทําได้หรือไม่ได้”
“ขั้นสูงครับ ทักษะขั้นสูง!”
บุคซิลโพล่งคําเสียงสูงจนแทบปวดท้อง
“ดี งั้นตัดชุดอย่างที่ฉันจะบอกหน่อย”
“อาร์คนิมมีผ้าดิบเหรอครับ? เหวอ นะ-นี่มัน…”
บุคซิลแตกตื่นและชักงักงัน ที่อาร์คนําเอาออกมาคือแผ่นหนัง แต่ว่า…มันไม่ใช่หนังสัตว์ธรรมดา แต่มันเป็นแผ่นหนังของซอมบี้เชื้อรา ถูกต้องแล้ว ความแตกต่างระหว่าง อาร์คและประชากรในเมืองตรงหน้าก็คือรูปลักษณ์ คณะของอาร์คจะแฝงตัวเข้าไปได้ด้วยดีก็ต่อเมื่อนําแผ่นหนังเน่าของซอมบี้มาสวมทับให้เหมือนประชากรในเมือง วิธี การนั้นเรียบง่าย แต่ใครกันจะรู้สึกเฉยชาได้หากต้องสวมใส่ชุดที่ทําจากหนังของซอมบี้เชื้อรา? และบุคซิลก็ต้องสั่นศีรษะ
“จะทําชุดจากไอ้นี่จริงเหรอครับ?”
“นายทําไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ครับ ผมทําได้ แต่ว่า…”
“งั้นก็หุบปากแล้วทําไป”
บุคซิลต้องเผยน้ําตานองใบหน้าขณะต้องทําตามอย่างที่อาร์คสั่ง เขาเริ่มทําการตัดเย็บแผ่นหนังเข้าด้วยกัน แม้บุคซิลจะอยากตายในขั้นตอนตัดเย็บแค่ไหน แต่เขา ก็ต้องฝืนจับแล้วนําแผ่นหนังคนตายมาใช้ ท้ายที่สุด ด้วยทักษะเย็บปักถักร้อยขั้นสูงจึงทําให้ชุดออกมาได้สําเร็จ
“ชุดนี้ถูกตัดแต่งด้วยการตัดเย็บขั้นสูงก็จริง แต่มัน…”
ชุดหนังคนตาย
ประเภท : ชุดหนัง
พลังป้องกัน : ไม่มี
ความทนทาน : 10/10
น้ําหนัก : 2
ข้อจํากัดการใช้งาน : ไม่มี
ชุดคอสตูมที่ถูกตัดเย็บให้เหมือนประหนึ่งซอมบี้ ด้วยกลิ่นเหม็นเน่าที่ตลบอบอวลทั้งชุดนี้ มันทําให้ง่ายต่อการเข้าใจผิดว่าผู้สวมใส่คืออันเดต ความจริงแล้วหากมีผู้สวมใส่เสื้อผ้าชุดนี้ได้ก็อาจจะเป็นบ้าไปเสียก่อน มันไม่ใช่ชุดที่ปุถุชนคนทั่วไปคิดใส่อย่างแน่นอนในเมื่อชุดนี้ถูกตัดเย็บขึ้น จากหนังของซากศพ หนังจึงค่อนข้างเปื่อยในหลายแห่ง นอกจากนี้ยังมีเชื้อราติดอยู่ตามตําแหน่งต่าง ๆ ของชุดหากคิดสวมใส่ชุดที่น่าสะพรึงนี้จะต้องใช้ความกล้าและบ้าเป็นอย่างมาก
‘ต่อให้เป็นเราแต่นี่มันก็…นะ’
อย่างไรแล้วเขาต้องเสียแผ่นหนังคนตายไปทั้งสิ้น 30 ผืนเพื่อจัดทําชุดนี้ขึ้นมาอาร์คต้องกลืนน้ําลายขณะกล้ํากลืนสวมใส่มันคลุมทับชุดเกราะ ไม่ช้าอันเดตตัวปลอมก็ปรากฏขึ้นให้เห็น
‘เฮือก ทําไมความรู้สึกขยะแขยงถึงแทรกซึมผ่านชุดเกราะข้างในเข้ามาได้กัน? แถมยังรู้สึกสกปรกอีกพวกอันเดตต้องรู้สึกแบบนี้งั้นเหรอเนี่ย’
“ทําได้ดี ทํามาอีก”
“อี๋ นี่ผมต้องใส่ไอ้พวกนี้ด้วยเหรอครับเนี่ย?”
“พูดบ้าอะไร? ไม่งั้นฉันจะให้นายทําชุดเสียแผ่นหนังไปเปล่า ๆ ทําไมกัน? นายเป็นตากล้องนะ”
“ผะ-ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอครับ? เมืองก็ไม่ไกล ใช้ดวงตาไปถ่ายทําเอาก็น่าจะได้ งานนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร พวกซอมบี้ละแวกนี้ก็ไม่มีด้วย ให้แบกิวอยู่นี่ด้วยน่าจะปลอดภัยแล้วนะครับ”
บุคซิลพยายามหาข้ออ้าง
แต่ก็นับว่าเป็นข้ออ้างที่น่าพิจารณา คาราศุลเคยใช้ดวงตาประหนึ่งดาวเทียมสอดแนมมาแล้ว เพราะงั้นหากให้บุคซิลแยกกันอยู่คนละที่ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะงานนี้ไม่มี เหตุผลอะไรที่ต้องให้บุคซิลตามติดไปด้วย
และหากสถานการณ์แย่ลงจนต้องหาทางหลบหนี เขาจะมีอิสระยิ่งกว่าและยังประหยัดแผ่นหนังคนตายไปได้ไม่น้อย เพราะหากต้องจัดทําให้บุคซิลและแบกิวด้วยก็เท่ากับต้องเสียไปอีก 60 ผืนเลยทีเดียว
“แบบนั้นก็ดี ถ้ามีปัญหาอะไรก็ติดต่อฉันผ่านทางดวงตาของนายแล้วกัน”
เมื่อเนตรแห่งแวมไพร์เลื่อนเป็นขั้นกลาง มันได้รับความสามารถในการสื่อสารมาด้วย ก็นับว่าดีไม่น้อยเพราะมีประโยชน์เพิ่มนอกจากการถ่ายทําวิดีโอเสริมเข้ามา ด้วยความสามารถในการสื่อสารมันจะช่วยประโยชน์ได้ในหลายสถานการณ์ ดังนั้นแล้วแม้บุคซิลจะอยู่ห่างแต่ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาร์คพยักหน้ารับ แต่ราคาร์ดเร่งกล่าวขัดคํา
“จะ-เจ้านาย ข้าต้องไปด้วย?”
“ก็ต้องไปไม่ใช่หรือไง?”
…เป็นคําพูดเหมือนที่คาดไว้ ด้วยเหตุนี้ อาร์คจึงสวมใส่ชุดหนังคนตายและมุ่งหน้าเข้าไปในเมืองพร้อมราคาร์ด
‘เข้าไปก็น่าจะรู้เรื่องเลยไหมนะ? ต้องดูว่าจะหลอกเจ้า พวกนี้ได้หรือเปล่า…เราต้องคอยสังเกตการณ์อย่างถี่ถ้วน’
อย่างรวดเร็ว อาร์คเมื่อออกมาแล้วก็ใกล้ถึงทางเข้าเมืองในอึดใจ แม้จะเรียกว่าเป็นทางเข้าแต่ก็ยากจะบอกว่าทางไหนคือทางเข้ากันแน่เพราะมันคือซากปรักหักพังของ เมือง และมันก็มีทหารคนตายยืนเฝ้ายามอยู่เหมือนเมืองทั่วไป
หากทหารยามเผยท่าทีปฏิปักษ์ แบบนั้นเขาต้องเผ่นหนี้ให้เร็ว หรือเขาโชคดี? ทหารยามพวกนี้จะดูเปื่อยเปื่อย และไม่ได้เผยท่าที่เป็นปรปักษ์แต่อย่างใด ไม่สิ คล้ายไม่สนใจอะไรเลยต่างหาก ทหารยามพวกนี้เพียงแค่อ้าปากเหม่อมองท้องฟ้าไปเรื่อย
‘อะไรกันล่ะเนี่ย? หรือเสื้อน่ารังเกียจนี่แท้จริงแล้วไม่จําเป็น?’
เขาต้องกล้ํากลืนกว่าจะสวมใส่มันได้ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกคล้ายมันไม่มีประโยชน์เพราะโดนเมินเฉยเสียอย่างนั้น ทว่าเรื่องนี้ก็ยังประมาทไม่ได้มันไม่มีอะไรจะบ่งชี้ว่าทหาร ยามพวกนี้เห็นชุดเลยไม่สนใจหรือว่าอะไรกันแน่ ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าหากเขาถอดชุดออกแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
‘เอาเถอะ จุดแรกก็ถือว่าผ่านได้แล้วแหละนะ’
อาร์คถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะมุ่งหน้าเข้าเมืองไปก็เหมือนกับทหารยาม ประชากรในเมืองไม่สนใจทั้ง อาร์คและราคาร์ด ทว่าอาร์คก็ยังรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดอีกอย่าง มันเป็นเรื่องแปลกที่ในเมืองแทบไม่มีเสียงหรือความครื้นเครงอะไรเลย แม้จะมีคนตายหลายคนเดินไปมากระจายไปทั่ว แต่มันเงียบสงัดเสียจนหากทําเข็มหล่นคงได้ยินเสียง ประชากรในเมืองไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตาถูกชัก ใยให้เดินไปมา เป็นอีกครั้งที่เขาได้ตระหนักว่านี่แหละเมืองแห่งคนตายของแท้ คนตายไม่ว่าจะทําอะไรก็เงียบเสมอ บ้างก็จัดการซากปรักหักพังแล้วเขียนอะไรบางอย่างลงกับพื้น แล้ว ก็ทําอย่างนั้นวนซ้ําไปมาบ้างก็เหมือนวิญญาณ ไปชนเข้ากับกําแพงเอาแต่พึมพําอะไรไม่รู้เรื่อง หากรับชมอยู่นานคงน่าขนลุกไม่น้อย
“เจ้าพวกนี้อะไรกันขอรับ? ความรู้สึกน่าขนลุกอย่างประหลาดนี่มันอะไรกัน”
ราคาร์ดจับเสื้อหนังของอาร์คแน่นเหมือนเด็กน้อยกําลังหวาดกลัวขณะพึมพําไปด้วย กระทั่งแวมไพร์ยังต้องกลัว
‘เราจะหาตัวราซาคกับมรดกของผู้กล้ามาบันเจอได้ยังไงกัน?’
อาร์คทําการสํารวจทั้งเมืองทั้งยังไปดูทุกสถานที่และทุกซอกมุม ระหว่างที่เดินไปนั้น เขาเห็นโครงกระดูกหลายร่างแต่ก็ไม่ใช่ราซาค หลังผ่านไปได้สองชั่วโมง ในที่สุดอาร์คก็มาถึงอาคารที่ผุพังซึ่งอยู่ตรงกลางของเมือง
“นึกไม่ออกเลยว่าจะไปหาที่ไหนต่อ ราชาคไม่น่าจะออกจากตําแหน่งอัญเชิญที่กําหนดไว้โดยไม่มีเหตุผลอันควรสิ ราซาคต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งที่นี่…หรือเราควรไปหามรดกของผู้กล้ามาบันก่อน?”
[จงมองหาสมรภูมิที่ถูกลืมเลือน จงสาดกระเซ็นเศษของดวงจันทร์จากยอดบัลลังก์ที่จะนําไปสู่ความสงบ]
นี่คือท่อนที่สองซึ่งเขาได้รับมาเป็นเบาะแส แต่คิดไปก็หาเหตุผลมาอ้างอิงไม่ได้ สมรภูมิที่ถูกลืมเลือนน่าจะเป็นเมืองซากปรักหักพังแห่งนี้ และยอดบัลลังก์ก็น่าจะเป็นจุดสูงสุดของเมือง แบบนั้นแล้วหมายความว่าเขาต้องปีนขึ้นไปแล้วมองหาสัญลักษณ์ดวงจันทร์
‘อาคารสูงที่สุด หอคอยนั่น?’
อาร์คกําลังกวาดตามองหาจึงได้พบหอคอยแห่งหนึ่งเข้าไม่ต้องสงสัยเลยว่าหอคอยดังกล่าวต้องเป็นสถานที่ซึ่งสูงที่สุดในเมือง แต่ด้วยสภาพที่คล้ายจะพังได้ทุกเมื่อ มันไม่ง่ายเลยที่จะปีนหอคอยแบบนั้นได้ บันไดออกจะใหญ่โตก็จริงแต่ไม่สมประกอบ เขาต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะถึงจะปีนผนังขึ้นไปได้ หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดเขาก็ขึ้นมาได้ถึงยอดหอคอย
“เอาละ ไหนดูกันหน่อย ดวงจันทร์ ดวงจันทร์…”
หลังปืนขึ้นมาบนหอคอยได้แล้ว เขาสามารถมองเห็นเมืองที่ด้านล่างได้อย่างชัดเจน แต่ไม่ว่าจะมองหาสักเพียงใด เขาไม่อาจพบเจออะไรที่น่าจะเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์เลย
“อะไรกัน? ทําไมถึงไม่มีล่ะ?”
อาร์คเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเมื่อมองโดยรอบถี่ถ้วนแล้วในที่สุดเขาก็มาถึงเมืองแห่งคนตายหลังผ่านความยากลําบากไปมากแล้วแท้ ๆ แต่เขากลับไม่เจอร่องรอยของราชาค และทั้งที่มีเบาะแสของภารกิจเปลี่ยนอาชีพแล้วแต่ก็ต้องติดอยู่ในเขาวงกตหาทางไปต่อไม่เจอ ราชาคและ ภารกิจเปลี่ยนอาชีพขั้นที่สองของเขาต้องอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน แต่ไม่ว่าจะทางไหนเขาก็ไม่พบเบาะแสเลย
“เหลือทางเลือกเดียวแล้ว ต้องเดินไปให้ทั่วเมืองจนกว่าจะเจออะไรสินะ”