Ark The Legend - ตอนที่ 447 : สอดรู้จนได้เรื่อง
ตอนที่ 447 : สอดรู้จนได้เรื่อง
ฟุด ฟิด ฟุด ฟิด
“นายท่าน ทางนี้เจออีกแล้ว!”
จมูกของแบกิวแทบจะแนบติดกับพื้นและกระดิกเหมือนสุนัขกําลังดมกลิ่นพร้อมตะโกนแจ้ง
“รู้แล้ว รอเดี๋ยวนะ”
บุคซิลวิ่งเข้าไปลัดผ่านพุ่มไม้ โดยทันที เขาได้พบผักที่หน้าตาคล้ายแครอท แต่พอคว้าและพยายามดึงเท่านั้น รากของมันก็พลันหลุดออก
เก็บเกี่ยววัตถุดิบผิดพลาด
“บ้าจริง ไอ้นี่ก็อีกอัน!”
บุคซิลเริ่มโมโหขณะโยนแครอทที่สภาพไม่สมบูรณ์ทิ้งไป ทั้งยังต้องมาเช็ดคราบยางไม้ที่หกเรี่ยราดแทบทั่วตัวอีกต่างหาก
“น่าโมโหชะมัด แบกิว พักก่อนก็แล้วกัน”
“แต่พวกเรายังได้ไม่ครบจํานวนของวันนี้เลยนะนายท่าน”
“ช่างมันปะไร ก็มันร้อนนี่ ต่อให้หาวัตถุดิบต่อไปเรื่อยก็คงล้มเหลวเหมือนอันนี้อีก”
“แต่ถ้านายท่านไม่เติมเต็มจํานวนที่ต้องการ…”
แบกิวเริ่มเกิดอาการสั่นเทิ้มเพราะความกลัวถึงเรื่องราวที่อาจเกิดขึ้นถัดจากนั้น บุคซิลก็ไม่ต่างกัน
“แค่ห้านาทีแล้วกัน”
“ขอรับนายท่าน…”
แบกิวเข้าไปใกล้ใต้เงาต้นไม้ก่อนจะคุกเข่านั่งลง บุคซิลก็นั่งลงใกล้เคียงกันนั้น เขาเริ่มนําเอาวัตถุดิบออกจากกระเป๋ามาตรวจนับไปพลางถอนหายใจ ความจริงแล้วการเก็บเกี่ยววัตถุดิบเป็นงานยากกว่าที่คิด ไม่ใช่ว่าแค่ออกไปตามท้องทุ่งแล้วรวบรวมวัตถุดิบมาหรอกหรือ? นั้นนับเป็นความคิดที่ผิดอย่างร้ายแรง ไม่ใช่ว่าทั่วไปแล้วจะมีพืชและสมุนไพรรวมทั้งผลไม้ให้เก็บเกี่ยวอย่างเต็มที่เสียเมื่อไหร่ พวกมันส่วนใหญ่ล้วนซ่อนในพุ่มไม้ทั้งยังอยู่ในตําแหน่งยากเข้าถึง อย่างในบึงน้ํา จํานวนของวัตถุดิบมีน้อยกว่าพื้นที่ปกติเกือบครึ่งหนึ่งเห็นจะได้ แต่ส่วนที่ยากที่สุดหลังหามันพบแล้วก็คือพยายามรวบรวมให้ได้ตามจํานวนที่ต้องการ
‘ปัญหาของการหาวัตถุดิบแก้ไขได้เพราะแบกิวมีประสาทรับกลิ่นที่ดีเยี่ยม’
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพียงอย่างเดียว ความจริงแล้วยังคงมีเรื่องปากท้องและปริมาณที่ต้องการเข้ามาข้องเกี่ยว ทั้งยังมีเรื่องความเสียหายระหว่างพยายามเก็บเกี่ยวอีกต่างหาก นิวเวิลด์ก็มีระบบที่โหดหิน หากเขาทําวัตถุดิบเสียหายระหว่างขั้นตอนการเก็บ แบบนั้นแล้วพวกมันจะไม่สามารถนํามาใช้งานได้อีกต่อไป นอกจากนี้ในช่วงฤดูร้อนยังให้ความรู้สึกร้อนจนอยากเป็นบ้า สําหรับบุคซิล แล้วงานรวบรวมวัตถุดิบเป็นอะไรที่ไม่ต่างกับงานบ้านแสนน่าเบื่อ
‘ต่อให้เราหาไปขาย แต่ก็รู้สึกเหมือนโดนใช้แรงงานต่างทาส…’
จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาต้องรวบรวมวัตถุดิบราวสามสิบชิ้นในหนึ่งวันตามที่อาร์คต้องการ และหลังจากทําการตั้งแคมป์และเริ่มการออกล่า วัตถุดิบห้าสิบชิ้นคือสิ่งจําเป็นต้องใช้ต่อวัน และนั่นก็ยิ่งทําให้ไม่น่าพอใจมากขึ้น จํานวนวัตถุดิบที่บุคซิลต้องหาเพิ่มขึ้น หมายความว่าต้องทํางานหนักมากขึ้น แต่แล้วเรื่องราวก็เปลี่ยนไปเมื่ออาร์คพบเจอถ้ต้องสงสัยจํานวนของอาหารที่ต้องกินนั้นจะเพิ่มขึ้นเพราะเห็ดมงฟิชอาร์คจึงแจ้งว่าต้องการวัตถุดิบหนึ่งร้อยชิ้นต่อวัน
‘หนึ่งร้อยภายในวันเนี่ยนะ? ไม่ว่าจะเป็นการขายหรืออะไรก็ตาม แต่นี่มันใช้แรงงานเกินค่าแรงแล้ว! แทบทั้งวันเราต้องออกไปหาจนแทบไม่มีเวลาได้หยุดพัก’
กับวัตถุดิบหนึ่งร้อยชิ้นเขาจะได้รับเงินประมาณ 3~5 เหรียญทอง นับว่าเป็นรายได้ต่อวันที่ไม่แย่สําหรับงานรวบรวมวัตถุดิบ แต่กล่าวตามตรงเขาไม่ได้สนใจเงินพวกนี้มากนักตั้งแต่ที่ต้องทํางานภายใต้แสงตะวันร้อนแรง
‘แต่…’
ปัญหาใหญ่ที่สุดคือบุคซิลไม่มีทางเลือกอื่นเหลือ มันยิ่งเลวร้ายลงหลังจากผ่านการฝึกโหดเมื่อหลายวันก่อน หลังจากที่อยู่ร่วมกับ อาร์คมาพักหนึ่ง เขาก็ทราบดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร หากไม่พบเห็นก็ดีไป นั่นคือกลยุทธ์การอยู่รอดที่เขารู้แจ้งด้วยตัวเองหลังเดินทางกับอาร์คมาระยะเวลาหนึ่ง
‘เฮ้อ ตอนนี้เหลือวัตถุดิบกี่ชิ้นต้องรวบรวมกันเนี่ย? ถ้าได้ไม่พอโดนต่อยอีกแหง…บ้าฉิบ เราเป็นซินเดอเรลล่าหรือยังไงกัน’
เขาถูกข่มเหงโดยแม่เลี้ยงใจร้าย(อาร์ค) พร้อมทั้งพี่สาวต่างแม่(สมุนอัญเชิญ)ที่คอยมอบงานบ้านหนักหนาให้เขาทําอยู่เสมอจนน้ําตาแทบต้องไหลเป็นทาง ยังดีที่เขามีแบกิวอยู่ด้วย
‘พอจะรู้แล้วว่าทําไมผู้คนถึงชอบสัตว์เลี้ยงกันขนาดนั้น’
บุคซิลมองแบกิวด้วยดวงตาปลาบปลื้มขณะแบกิวกําลังสายหางไปมา
‘คิดไม่ออกเลยว่าถ้านิวเวิลด์ไม่มีแบกิวแล้วเราจะอยู่ยังไง ใช่แล้วเราต้องทํางานให้หนักเพื่อไม่ให้อาร์ครังแกแบกิวได้ เราต้องหาเงินเพื่อค่าอาหารของแบกิว ฮือ โชคชะตาเราช่างรันทด’
เพื่ออาหารของแบกิว อาร์คจะหักค่าวัตถุดิบออกไป 70 เหรียญเงินจากการขายวัตถุดิบ เพื่อให้แบกิวได้มีเนื้อกิน หนึ่งวันเขาต้องจ่ายมากกว่า 1 เหรียญทอง เพราะแบบนั้นแล้วเขาจําเป็นต้องหาเงินให้มากขึ้น อย่างไรแล้วความคิดนี้ก็เพื่อที่แบกิวจะได้ไม่โดนอาร์ครังแก ด้วยเหตุนี้บุคซิลจึงฝืนยืนขึ้นแล้วพูดขึ้นมา
“พอมืดมอนสเตอร์จะโผล่มามากขึ้น แบบนั้นงานจะยิ่งยาก ทํา งานกันต่อเถอะ”
“ขอรับนายท่าน”
“ครั้งนี้ไปทางปาดีไหมนะ? ไหนดูหน่อย…หือ? หา?”
“เป็นอะไรหรือขอรับ?”
“ไม่ คือว่า….. บ้าฉิบ มันติดอีกแล้ว”
“ติด?”
“ติดน่ะสิ น่าจะที่ไหนสักที่ อย่าเพิ่งขยับไปไหนนะ”
“ข้างที่อยู่กับอาร์คนิม?”
“ไม่ ที่อยู่กับอาร์คนิมเป็นข้างขวา ที่ติดเป็นข้างซ้าย”
บุคซิลพึมพําออกมาด้วยน้ําเสียงโกรธเกรี้ยว ขณะบุคซิลเก็บเกี่ยววัตถุดิบ เขาจะทําการถ่ายทําวิดีโอไปด้วย บุคซิลมักจะทิ้งดวงตา ข้างขวาไว้กับอาร์ค เพราะแบบนั้นแล้วเขาจึงไม่เคยมีดวงตาทั้งสองข้างอยู่กับตัวเลย เพราะอีกหนึ่งต้องคอยออกไปสอดส่องสอดแนม ตอนนี้แบกิวเลเวล 310 แล้ว ซึ่งก็นับว่าแข็งแกร่งกว่ามอนสเตอร์ในละแวกนี้ เพราะแบบนั้นในฐานะพ่อค้า บุคซิลจึงสามารถออกห่างจากอาร์คมารวบรวมวัตถุดิบได้ แต่เขาไม่มีความมั่นใจหากต้องเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์โดยไม่มีอาร์คราชาคและราคาร์ดต่างก็เป็นสมุนอัญเชิญ เพราะแบบนั้นแล้วย่อมฟื้นคืนชีพได้หากตายไป แต่แบกิวเป็นเอ็นพีซี หากตายแล้วก็คือจบกัน สิ่งสําคัญคือต้องคอย ตรวจสอบมอนสเตอร์อื่นผ่านดวงตาก่อนทําการเคลื่อนไหวทุกครั้ง ทว่าเรื่องราวไม่ใช่ง่าย
ขณะที่ดวงตาทั้งสองเป็นอิสระจากกัน กล้องวิเศษก็จะเป็นสิ่งที่แนบติดกับศีรษะของเขา และแทบตลอดเวลาที่ต้องคอยตรวจสอบภาพถึงสามสถานที่พร้อมกันขณะเดินทางไปด้วย เพราะแบบนั้นแล้วเขาจึงสามารถถ่ายทําไปด้วยได้โดยไม่ต้องอยู่พื้นที่เดียวกัน แต่อย่างไรแล้วคนควบคุมก็คือคนธรรมดาอย่างบุคซิล คนเราไม่สามารถมองทั้งสามหน้าจอพร้อมกันได้ หากเขาหย่อนความระวังเพียงสักนิด ดวงตาอาจไปชนอะไรบางอย่างเข้า แต่ช่วงหลังมานี้มันก็ดีขึ้นไม่น้อยเพราะการฝึกโหดของอาร์ค แต่ถึงกระนั้นแล้วมันก็ยังมีขีดจํากัด
“ให้ตายสิ ต้องไปเอามันกลับมาก่อน”
บุคซิลบ่นออกมาขณะวิ่งผ่านป่าไป ป่าแห่งนี้ค่อนข้างหนาแน่นทั้งยังมีพุ่มไม้สูง แต่การจะหาดวงตาไม่ใช่เรื่องยาก ในเมื่อดวงตามีอิสระต่อกัน มันจะมีหน้าต่างแยกต่างหากคอยแสดงทิศทางที่ดวงตานั้นอยู่
“อา ตรงนั้นไง!”
หลังตามลูกศรที่ชี้บอกทาง เขาก็มุดเข้าไปในพุ่มไม้และพบเจอดวงตาที่ติดอยู่ บุคซิลนําดวงตาออกจากพุ่มไม้แล้วถูไถทําความสะอาดด้วยแขนเสื้อ และขณะที่กําลังจะส่งมันออกไปอีกครั้ง เขาพลันได้ยินเสียงจากอีกด้านหนึ่ง
“แน่ใจหรือเปล่าเนี่ย?”
“ฉันเตรียมมาดีแล้วนะ…”
“กังวลจริง…นี่ก็สองวันแล้ว…”
‘เสียงพวกนี้?’
เขาอยู่ละแวกนี้มานับสิบวัน และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงอื่นสถานที่แห่งนี้คล้ายดินแดนตกสํารวจ เพราะแบบนั้นจึงมีผู้เล่นผ่านทางมาน้อยนัก และหากเป็นมอนสเตอร์ที่สามารถพูดคุยได้เรื่องราวจะยิ่งแย่ ไม่สิ เขาต้องระมัดระวังให้ดีไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์หรือว่าผู้เล่นก็ตามที
‘ถ้าเราเจอผู้เล่นฆาตกรที่นี่ได้เรื่องยุ่งแน่’
บุคซิลสะดุ้งขณะสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด จนกระทั่งถึงตอนนี้เขายังไม่เห็นตัวคน ที่รับรู้ได้ก็เพราะเข้ามาอยู่ระหว่างกลางพุ่มไม้จนได้ยินเสียง และพุ่มไม้พวกนี้ก็เหมือนจะมีไว้เพื่อปกปิดถ้ํา บุคซิลเมื่อยืนยันได้ว่ามีคนก็กังวล ทางเลือกดีที่สุดคือหาทางหลบเลี่ยงไม่ว่าจะมอนสเตอร์หรือว่าคน แต่เขาต้องรวบรวมวัตถุดิบในพื้นที่แถบ นี้อีกพักหนึ่ง เพราะแบบนั้นไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะไม่พบเจอคนเหล่านี้
“พวกนี้มีกันกี่คน? ถ้าเราหลบอยู่ตรงนี้ก็ไม่น่าจะหาเราเจอหรือเปล่านะ?”
บุคซิลส่งดวงตาเข้าไปอย่างระแวดระวัง เขาควบคุมให้ดวงตาหามุมกว้างที่สุดเพื่อมอง
‘ผู้เล่น?’
มีผู้เล่นราวสิบห้าคนรวมตัวกันอยู่ในพื้นที่ว่างของถ้ํา บุคซิลเคลื่อนดวงตาลอบไปตามผนังเพื่อให้ได้ยินบทสนทนา และหนึ่งในกลุ่มคนที่ออกมาตรวจตราพื้นที่ก็พูดขึ้น
“ดีนะที่นายหาสถานที่แบบนี้เจอ”
“จะยังไงก็ระวังไว้ก่อนดีกว่า พวกเราออกสู่แสงสว่างไม่ได้”
“นั่นก็จริง”
จากนั้นรอยยิ้มก็เริ่มเหยียดผ่านใบหน้าของชายที่มีแผลเป็นรูป X บริเวณแก้ม ซึ่งก็มีชื่อว่าซันฟิช จากนั้นเป็นผู้เล่นที่หล่อเหลาคนหนึ่งซึ่งกําลังมองมาทางจากด้านข้างของกลุ่มพลันเดาะลิ้นแล้วพูดออกมา
“ทําไมตอนเริ่มเกมต้องเลือกหน้าแบบนั้นด้วยกัน?”
“เป็นยังไงล่ะ? มันทําให้ฉันดูหยาบกร้านขึ้น ใครกันจะหน้าสวยเหมือนนาย? พ่อเทพบุตรนัมแดมุน? ฮา ให้หมามันเดินผ่านมายังเห่าใส่นายแหง
“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ?”
นัมแดมุนจ้องมองอย่างโกรธเคืองไปยังซันฟิช จากนั้นอัศวินที่ ยืนกอดอกอยู่ก็แทรกคําขึ้นกลาง
“เงียบก่อน แล้วก็สงบสติอารมณ์กันด้วย”
“ขออภัยด้วยครับลูกพี่เจเพตอล”
ด้วยคําเพียงคําเดียวจากอัศวินคนดังกล่าว ชายทั้งสองเลือกยอมลู่หางหดขากลับ ชายคนดังกล่าวนามว่าเจเพตอลกําลังมองไปยัง ฮอบบิทที่นั่งอยู่เบื้องหลังชายแผลเป็น ทั้งกลุ่มในถ้ําถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง และเจเพตอลกับฮอบบิทก็ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของ แต่ละฝั่งที่ได้รับความนับถือ
“พาหนะนั่นดูหรูหราราคาแพงมากเลยนี่”
“ว่าไปเกิดเรื่องอะไรกับเงินทั้งหมดที่นายได้รับ? ถ้าหากเรือพ่อค้าของนายยังเทียบฝังที่ซอแทนดาลอยู่ตลอด จํานวนที่เสียไปก็น่าจะฟื้นคืนกลับมาได้ง่าย นอกจากนี้ กฎหมายของที่นี่ยังไม่ขัดแย้งกับวิถีโจรสลัด พวกเราก็เลยย้ายถิ่นฐานองค์กรมาที่นี่แทน”
“ผู้ใต้บัญชาของฉันก็บอกเหมือนกัน ถ้ากลุ่มโจรมาที่นี่มากขึ้นค่าครองชีพของผู้ใต้บัญชาฉันก็จะลดลง”
“กวดขันวินัยพวกมันซะ”
‘อันตราย!’
บุคซิลเริ่มตึงเครียดมากขึ้นขณะรับชมเรื่องราวผ่านดวงตา เขาไม่อาจเข้าใจทั้งหมดของการสนทนา แต่เขาก็เข้าใจอย่างเด่นชัดว่าคนพวกนี้เป็นผู้เล่นฆาตกร แม้จะไม่อาจยืนยันด้วยม้วนคัมภีร์ [ทะลุทะลวง] แต่แค่บทสนทนาของพวกเขาก็ชัดเจนมากพอแล้วว่าเป็นฆาตกร และผู้เล่นฆาตกรส่วนใหญ่ก็เป็นอันตรายอย่างยิ่งกับพ่อค้า!
‘แย่แล้วสิ ผู้เล่นฆาตกรทําไมมาอยู่แถวนี้ได้’
การอยู่แถวนี้ได้ก็หมายความว่าบุคคลเหล่านี้เลเวลไม่ใช่น้อย ก่อนจะทันกลับไปยังสถานที่ตั้งแคมป์เพื่อเก็บวัตถุดิบก็บังเอิญได้พบเจอกลุ่มคนเหล่านี้เข้าเสียก่อน โชคดีที่พวกนี้ไม่พบเห็นบุคซิลเพราะงั้นยังพอมีทางหนีรอดไปได้ บุคซิลสํารวจมองการเคลื่อนไหวของพวกนั้นผ่านดวงตาขณะเริ่มถอนตัวที่ละน้อย และในช่วงที่เขากําลังระวังแต่กลุ่มคนในถ้ํา เท้าของเขาก็พลันโดนอะไรบางอย่างเข้าจนเกิดเสียงดัง
“นายท่าน อันตราย! อั่ก!”
แบกิวคว้าบุคซิลเอาไว้จากนั้นจึงส่งเสียงร้องครางแล้วล้มลง พอมองไปเขาก็ต้องแตกตื่น ลูกธนูเป็นประกายสีน้ําเงินกําลังปักอยู่ที่ต้นขาของแบกิว
“กะ-กับดัก? แบกิว!”
“เสียงอะไรกัน?”
“ข้างนอก มีคนทําให้กับดักข้างนอกทํางาน!”
เสียงของกลุ่มคนภายในถ้ําตอนนี้กลับสามารถได้ยินโดยหูอย่างชัดเจน
‘แย่แล้ว!’
เหงื่อเย็นเริ่มไหลเต็มหลังบุคซิลแล้ว พ่อค้าคนหนึ่งกําลังโดนพบเห็นโดยผู้เล่นสิบห้าคน หากแต่ละคนล้วนเป็นผู้เล่นฆาตกร ชะตาของบุคซิลก็โดนกําหนดแล้ว หากพวกนี้เป็นโจรปล้นสะดมม้วนคัมภีร์ [ชิงทรัพย์] และ [ปล้น] ย่อมเป็นอะไรพื้นฐานที่ควรมี และด้วยความที่มีถึงสิบห้าคน เขาจะแทบกลายเป็นขอทานโดยทันที่ที่โดนจับตัวได้
“แบกิว หนี!”
บุคซิลขึ้นหลังแบกิวพร้อมตะโกน ทว่า แบกิวโดนธนูปักเข้าที่ต้นขาจึงไม่สามารถวิ่งได้ดีเหมือนเดิม กลุ่มคนจากภายในถ้ําเริ่มออกมาพร้อมชักดาบกันแล้ว
‘ไม่ จะให้เรื่องแย่ลงไม่ได้’