Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1043 จินมู่อวิ๋น
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1043 จินมู่อวิ๋น
ตอนที่ 1043 จินมู่อวิ๋น
บุญคุณความแค้นระหว่างหลินสวินกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ผูกแค้นกันมาตั้งแต่ตอนอยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกต ณ จักรวรรดิจื่อเย่าแล้ว
แต่ความเกลียดชังในความหมายแท้จริงกลับจุดชนวนในแคว้นกู่ชางที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ตั้งอยู่
และต้นตอภัยพิบัติก็มาจากตัวฉู่เป่ยไห่!
ตอนแรกที่งานประเมินหินเมืองเพลิงมรกต เพราะการตัดสินใจของฉู่เป่ยไห่ทำให้เกิดการตามล่าหลินสวินขึ้น กระทั่งเรื่องบานปลายใหญ่โต
ด้วยเหตุนี้ยามเห็นฉู่เป่ยไห่ผู้บงการหลังม่านปรากฏตัว ในใจหลินสวินก็เกิดไอสังหารอย่างไม่อาจระงับ
“เทพมารหลิน! เจ้ายังกล้าปรากฏตัวที่นี่รึ!”
ขณะเดียวกันฉู่เป่ยไห่ก็เห็นหลินสวินเช่นกัน ในดวงตาพลันฉายประกายสีทองดุจอัคคี จับจ้องหลินสวินแต่ไกล
เหล่าผู้กล้าละแวกใกล้เคียงที่มาจากสำนักโบราณอื่นเห็นดังนี้ล้วนเผยสีหน้าประหลาด
พวกเขาต่างรับรู้บุญคุณความแค้นระหว่างหลินสวินกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มาก่อน แน่นอนว่าต้องเข้าใจที่ฉู่เป่ยไห่มีการตอบสนองเช่นนี้ ว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
“ทำไมข้าจะมาไม่ได้”
หลินสวินเอ่ยราบเรียบ นัยน์ตาดำลุ่มลึกดุจหุบเหว “จะว่าไป เจ้าควรรู้สึกยินดีที่ตอนนั้นในแคว้นกู่ชางไม่ได้ลงมือกับข้าด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นวันนี้เจ้าคงมาไม่ได้แล้ว”
ทั้งสองตอบโต้กันไปมา ทำจนบรรยากาศที่นี่เปลี่ยนเป็นอึดอัด
“อย่าพูดมาก ในเมื่อวันนี้เจ้ามาแล้วก็หนีความตายไม่พ้น วาจาข้าจบลงเพียงเท่านี้!”
ฉู่เป่ยไห่สีหน้าอึมครึม คำพูดกึกก้องสะท้านแผ่นดิน พลังทั่วร่างพลุ่งพล่าน อาภรณ์สะบัดระรัว ทั้งตัวอาบไล้อยู่กลางแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองสว่างไสว
ตอนนั้นในแคว้นกู่ชาง หลินสวินสังหารผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไปไม่รู้เท่าไหร่ กระทั่งมีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งถูกฆ่าทั้งเป็น!
แม้แต่ศิษย์แกนหลักอย่างจางเจิง เสวี่ยเชียนเหินล้วนถูกทำลายปราณ ความแค้นฝังลึกเช่นนี้จะให้ฉู่เป่ยไห่อดกลั้นได้อย่างไร
ทุกคนต่างสูดหายใจเย็น รู้ว่าการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครานี้ต้องลุกเป็นไฟแน่!
กลับเห็นอาหลู่หัวเราะลั่น กล่าวราวกับกลัวฟ้าดินไม่อลหม่าน “เจ้าหมอนี่เป็นใคร พูดจาใหญ่โตนัก เทพมารหลินเจ้าอย่าได้ตาขาวเชียว ไม่เช่นนั้นข้าคงดูถูกเจ้าแน่!”
เซียวชิงเหอกลับมุ่นคิ้ว สื่อจิตกล่าวเตือน ‘ด้วยข้อจำกัดกฎระเบียบฟ้าดิน ในเขตหวงห้ามไร้มรณะนี้ไม่อาจแบ่งแยกเป็นตาย ในเมื่อเจ้าหมอนี่กล้ากล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องรอเจ้าออกไปค่อยลงมือ’
‘ข้าสงสัยว่า เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่ใช่แค่ฉู่เป่ยไห่บุกโจมตีคนเดียว เป็นไปได้สูงที่จะมีเจ้าเฒ่าจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เข้าร่วมด้วย!’
หลินสวินพยักหน้า สีหน้าไม่ตระหนกวิตก
นับแต่เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ เขาถูกตามล่ามาไม่รู้เท่าไหร่ เคยชินกับเรื่องพวกนี้นานแล้ว อีกทั้งคราวนี้เขายังมีที่พึ่งหลัก ไม่มีทางนำภัยคุกคามเล็กน้อยนี่มาใส่ใจแต่แรก
“หึ!” ฉู่เป่ยไห่ถอนสายตากลับ ไม่สนใจพวกหลินสวินอีก
เทียบกับการสังหารหลินสวินแล้ว สิ่งที่เขาสนใจกว่าในตอนนี้คือการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์
ต่อมาเหล่าผู้กล้ากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าทยอยมาถึง
บ้างเป็นผู้สืบทอดจากสำนักโบราณและตระกูลอริยะแดนชัยบูรพา บ้างเป็นยอดบุคคลที่มาจากแดนฐิติประจิม ดาราอุดร กาฬทักษิณ
ทำให้ในลานเกิดความฮือฮาไม่น้อยตามไปด้วย
เมื่อบุคคลทรงอิทธิพลที่เรียกได้ว่ายิ่งยงส่วนหนึ่งปรากฏตัว ก็ดึงดูดความสนใจทุกคนตรงนั้น
ตัวอย่างเช่นทันทีที่เยี่ยเฉินทายาทตระกูลเยี่ย ตระกูลอริยะแห่งเขาจื่อเวยแดนดาราอุดร ชายหนุ่มที่ถูกขนานนามว่า ‘มารกระบี่’ ปรากฏตัว ก็นำมาซึ่งความสนใจทั่วสารทิศ
เขาสวมชุดคลุมม่วง ผมดำเรียบลื่นสะท้อนระยับดุจแพรไหม รูปร่างผอมสูงราวกระบี่ คล้ายสามารถแหวกทะลวงเวิ้งฟ้า!
กลางนัยน์ตาสีดำคู่นั้นของเขา สะท้อนลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นที่หมื่นกระบี่พลุ่งพล่าน ผู้แข็งแกร่งที่เขากวาดตาผ่านต่างมีความรู้สึกราวจิตวิญญาณถูกแล่เฉือน
การปรากฏตัวของมารกระบี่เยี่ยเฉินดึงดูดความสนใจของเซี่ยวชางเทียนเช่นกัน สายตาทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ ราวประชันดาบกระบี่ปั่นป่วนลมเมฆ
“เจ้าไม่ควรมา”
เซี่ยวชางเทียนเอ่ยปาก วาจาตรงไปตรงมา เผด็จการและดุดัน
“กลัวข้าข่มเจ้า ทำฉายา ‘ยอดคู่ดาบกระบี่’ สิ้นชื่อรึ”
คำพูดเยี่ยเฉินราบเรียบ แต่กลับมีความน่าเกรงขามสยบผู้คนดุจดั่งกระบี่
เซี่ยวชางเทียนแค่นหัวเราะทีหนึ่ง ก่อนหลับตาไม่พูดจา ราวกับไม่ได้สนใจ
มารกระบี่เยี่ยเฉินไหวไหล่ หาได้สนใจไม่
จากนั้นเขาพลันส่งเสียงประหลาดใจ หันสายตาไปทางหลินสวินที่อยู่อีกฝั่ง มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มพลางกล่าว “เทพมารหลิน ตอนนั้นนอกเทศกาลโคมกถามรรค ข้ามองเจ้าไม่ผิดดังคาด ครั้งนี้เจ้ามาเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้ ทำให้ข้าเฝ้ารอนัก”
หลินสวินชะงักไป “ตอนเทศกาลโคมกถามรรคเจ้าเคยพบข้าหรือ”
มารกระบี่เยี่ยเฉินยิ้มกล่าว “นี่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือข้าชื่นชมทุกการกระทำของเจ้ามาก หากมีโอกาสข้าจะประลองกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าแพ้หรือชนะ ข้าล้วนเชิญเจ้าดื่มสุราสามจอก จอกแรกแด่จิตใจข้า จอกสองแด่จิตใจเจ้า จอกสามแด่จิตใจเรา”
หลินสวินเลิกคิ้วกล่าว “ในเมื่อร่ำสุรา เหตุใดยังต้องประลอง”
เยี่ยเฉินหัวเราะร่าถามกลับ “ร่ำสุรา มีหรือจะไม่ประลองให้สาใจก่อน”
พูดจบเขานั่งลงกับพื้น หลับตาทั้งคู่ทำสมาธิ ไม่ใส่ใจการจับจ้องของสายตาต่างๆ โดยรอบอีก
เปลี่ยนเป็นคนอื่น บางทีอาจรู้สึกว่าการนั่งบนพื้นไม่น่าดูนัก ไม่สมฐานะบุคคลแห่งยุคที่ชื่อเสียงสะเทือนแดนดินฟากหนึ่ง
แต่เห็นชัดว่าเยี่ยเฉินไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ที่เขาใส่ใจมีเพียงเจตจำนงตัวเอง สบายใจจึงกระทำ ดำเนินการตามจิต
กระบี่ของเขาก็เป็นเช่นนั้น
…
เพียงชั่วขณะ สายตาทุกคนที่มองหลินสวินเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้นับตั้งแต่หลินสวินเพิ่งมาถึงที่นี่ก็ดูธรรมดามาตลอด ไม่เผยความโดดเด่น และไม่ดึงดูดสายตา
แต่เมื่อรู้ฐานะเขา ก็ทำให้ในลานเกิดความไม่สงบเป็นระลอก
เวลานั้นผู้กล้าในสำนักต่างๆ ไม่น้อยแม้ให้ความสำคัญต่อการมีอยู่ของหลินสวิน แต่กลับไม่คิดว่าตนสู้หลินสวินไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงนิ่งสงบลงภายในเวลาไม่นาน
ทว่าหลังจากดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียนเอ่ยปากคุยกับหลินสวินก่อน ก็ทำผู้กล้ามากมายสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ในใจให้ความสำคัญต่อหลินสวินยิ่งกว่าเดิมถึงสามส่วน
เวลานี้เมื่อเห็นมารกระบี่เยี่ยเฉินให้ความสำคัญและชื่นชมหลินสวินโดยไม่ปกปิด เหล่าผู้กล้าในลานที่มาจากต่างสำนักนั่นสุดท้ายก็ไม่อาจสงบใจ
หรือนี่บ่งชี้ว่าในสายตาบุคคลแห่งยุคซึ่งเจิดจรัสที่สุดของแดนดาราอุดรอย่าง ‘ยอดคู่ดาบกระบี่’ เทพมารหลินเป็นผู้ที่สามารถทัดเทียมกับพวกเขา?
นี่น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว!
สิ่งนี้นำมาซึ่งเสียงพึมพำไม่พอใจของอาหลู่อีกครั้ง “พวกอวดเบ่งมาอีกแล้ว”
บนหน้าผากทุกคนต่างปรากฏเส้นสีดำกันหมด เจ้าคนเถื่อนนี่ช่างกวนบาทาถึงขีดสุด ไม่เคยเจอใครปากเปราะเท่าเขามาก่อน!
เวลาล่วงเลย ณ เชิงเขาเทพไร้มรณะ จำนวนผู้กล้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนบรรยากาศในลานนานเข้าก็เปลี่ยนเป็นกดดัน
เสียงพูดคุยมากมายเบาลงโดยไม่รู้ตัว
ทุกคนล้วนคาดเดาออก ว่าการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์คราวนี้ต้องต่างจากอดีตสิ้นเชิง ไม่เพียงแค่จำนวนผู้เข้าร่วมมหาศาล ซ้ำผู้กล้าดั่งเมฆา ผู้แข็งแกร่งราวผืนป่า!
ยิ่งไม่ขาดแคลนบุคคลชั้นแนวหน้าแห่งยุคที่ครองอำนาจในพื้นที่หนึ่งนานแล้ว อย่างพวกเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน!
นี่ทำให้จิตใจผู้กล้าไม่น้อยต่างหนักอึ้ง กดดันขึ้นเท่าทวี
ต้องรู้ว่าการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่ผ่าน น้อยนักที่จะมีบุคคลแห่งยุคมากเช่นนี้เข้าร่วมพร้อมกัน!
“คนของสำนักกระบี่เทียมฟ้ามาแล้ว”
รุ่งเช้าวันที่สองหลังหลินสวินมาถึง ในลานพลันปั่นป่วน สายตามองไปยังจุดเดียวกัน
บนอากาศที่ห่างไกล แสงกระบี่หลากสายดั่งรุ้งเทพงามตระการแหวกอากาศมาเยือน เปล่งประกายโชติช่วง ดุดันน่าสะพรึง
จากนั้นแสงกระบี่เหล่านี้พลันหยุดกลางอากาศ ปรากฏเป็นเงาร่างชายหญิงกลุ่มหนึ่ง
ผู้นำคือชายร่างผอมในเสื้อขนนก ศีรษะสวมเกี้ยวประดับทองคำคนหนึ่ง ทั้งตัวแผ่กลิ่นอายผู้ยิ่งยง แฝงความดุดันอหังการยากจะเอ่ยอย่างเห็นได้ชัด ถูกเขาจ้องมองปราดเดียวก็เหมือนถูกอสนีฟาดผ่า ทำให้ผู้คนรู้สึกใจสั่นโดยไม่รู้ตัว
จินมู่อวิ๋น!
ผู้นำแห่งสิบสามกระบี่ของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ‘กระบี่พรหมราช’ ซึ่งเป็นผู้นำในหมู่ศิษย์แกนหลักสำนักกระบี่เทียมฟ้า
หากกล่าวว่าอวิ๋นชิ่งไป๋คือผู้นำรุ่นก่อนของสำนักกระบี่เทียมฟ้า โดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร เช่นนั้นจินมู่อวิ๋นก็คือผู้ฝึกกระบี่ซึ่งฝีมือเลิศล้ำที่สุดของสำนักกระบี่เทียมฟ้ารุ่นนี้ กล่าวถึงพรสวรรค์และแก่นกระดูก เทียบกับอวิ๋นชิ่งไป๋ในปีนั้นล้วนไม่ด้อยไปกว่ากันเท่าไหร่
จินมู่อวิ๋นเยาว์วัยนัก อย่างมากอายุไม่น่าเกินยี่สิบกว่า แต่ร่างกายกลับบ่มเพาะกลิ่นอายกร้าวแกร่งแห่งวิถีกระบี่ เฉียบคมสมบูรณ์ เย้ยหยันเมฆลม
หากเปรียบเทียบโดยรวมแล้ว กิตติศัพท์ของเจ้านี่ไม่ด้อยไปกว่าพวกชั้นเลิศอย่างดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียน มารกระบี่เยี่ยเฉินเลย
กระทั่งมีบางคนมองว่าเขาเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋คนที่สองแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า!
ในลานเกิดความไม่สงบ สายตานับไม่ถ้วนต่างถูกจินมู่อวิ๋นคนเดียวดึงดูด อัจฉริยะวิถีกระบี่ที่ถูกมองเป็นกระบี่พรหมราชคนนี้ มีความสง่างามและรากฐานพลังที่ทำให้ผู้คนต้องให้ความสำคัญโดยไม่ต้องสงสัย
เปรียบเทียบกันแล้ว กลุ่มชายหญิงสำนักกระบี่เทียมฟ้าข้างกายเขากลับหม่นแสงลง ความโดดเด่นถูกจินมู่อวิ๋นคนเดียวปกคลุมโดยสมบูรณ์
หลินสวินก็สังเกตคนผู้นี้เช่นกัน อีกทั้งขณะนี้เซียวชิงเหอยังสื่อจิตบอกความเป็นมาของจินมู่อวิ๋นกับเขา
‘เป็นพวกร้ายกาจจริงๆ’
ในใจหลินสวินวิจารณ์ประโยคหนึ่งก็ถอนสายตากลับ แม้จินมู่อวิ๋นจะแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่อวิ๋นชิ่งไป๋
ทว่าเหนือความคาดหมายหลินสวิน และเกินความคาดหมายทุกคนตรงนั้น ทันทีที่จินมู่อวิ๋นมาถึงก็กวาดมองทั่วลาน เอ่ยเสียงเย็นชา “เทพมารหลินมาหรือยัง”
เสียงเขาดุจกระบี่ สะท้อนกังวานดั่งลำนำกระบี่ ปั่นป่วนรอบทิศ ทำแก้วหูผู้คนเสียดแทง จิตวิญญาณสั่นสะท้าน
สายตามากมายล้วนมองไปยังตำแหน่งที่หลินสวินอยู่ตามจิตใต้สำนึก สีหน้าเจือแววประหลาดไม่มากก็น้อย
เรื่องที่หลินสวินทะลวงด่าน ‘สิบสองหอ’ ในนครหยกขาวเมื่อหลายวันก่อน อึกทึกครึกโครมทั่วใต้หล้านานแล้ว จนผู้คนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ผู้หญิงกับเด็กก็ยังรู้
สำหรับสำนักกระบี่เทียมฟ้า แน่นอนว่าไม่อาจรู้สึกดีกับหลินสวินเท่าไรนัก
ทว่ายังมีคนมากมายคิดไม่ถึง ว่าทันทีที่จินมู่อวิ๋นมาเยือนก็จ่อปลายทวนเข้าใส่หลินสวินทันที!
“เจ้าน่ะหรือเทพมารหลิน”
กลิ่นอายทั่วร่างจินมู่อวิ๋นดุดันเผด็จการ นัยน์ตาดุจกระบี่คมกริบจับจ้องหลินสวิน “เจ้ากล้ามากนะ ถึงกับกล้าชิงกระบี่แสงราตรีของศิษย์พี่อวิ๋นของข้า โทษทัณฑ์นี้ไม่อาจอภัย!”
ในใจทุกคนสั่นสะเทือน ก่อนหน้ามีฉู่เป่ยไห่ ต่อมามีจินมู่อวิ๋น ล้วนผูกจิตสังหารกับเทพมารหลิน!
ซ้ำการแสดงออกของจินมู่อวิ๋นยังแข็งกร้าวและตรงไปตรงมายิ่งกว่า!
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ผู้คนส่งเสียงประหลาดใจที่สุดคือ เทพมารหลินถึงกับแย่งชิงกระบี่คู่กายของอวิ๋นชิ่งไป๋ในปีนั้นไป นั่นเป็นถึงกระบี่เลื่องชื่อสะเทือนใต้หล้าที่เคยบั่นศีรษะราชันกึ่งระดับมากกว่าร้อยคน!
เผชิญหน้ากับจินมู่อวิ๋นที่ข่มขู่ดุดัน สุดท้ายหลินสวินก็อดกลอกตาใส่ไม่ได้ กล่าวว่า “อยากตายจะยากอะไร ไม่ต้องรีบร้อน รอสังหารฉู่เป่ยไห่แล้วค่อยส่งเจ้าลงนรก!”
…………….