Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1148 เซียนผลาญ เฉินหลินคง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1148 เซียนผลาญ เฉินหลินคง
เจ้าคางคกอึ้งงันอยู่ตรงนั้น ตื่นตระหนกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
บนเสาทองแดงแดงเพลิงที่ราวกับสูงเทียมฟ้านั่น ภาพวาดที่ปรากฏออกมาเป็นชายที่หน้าตาหล่อเหลาเปี่ยมเสน่ห์คนหนึ่ง ผมขาวพลิ้วไหว ดวงตาสีทองอร่าม มุมปากแฝงรอยยิ้ม
รอบตัวเขากลืนตะวันคายจันทรา บนฝ่ามือเรียวยาวขาวผ่องปรากฏเหรียญทองแดงสีทองที่ด้านในกลมด้านนอกเหลี่ยม มีปีกงอกออกมาสองข้างเหรียญหนึ่ง
ทอดสายตามองไป ชายที่หล่อเหล่าไร้เทียมทานให้ความรู้สึกน่าทึ่ง
แต่พอสัมผัสอย่างละเอียดแล้วกลับมีความเย่อหยิ่งที่เหยียดหยันฟ้าดินอย่างหนึ่ง ไม่ปกปิดเลยสักนิด สะท้านขวัญไร้เทียมทาน!
“นี่คือบรรพบุรุษของข้า! ไม่ผิดแน่!”
เจ้าคางคกสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ยากจะเชื่อ
ในใจของหลินสวินและอาหลู่เองก็ไม่สามารถสงบได้
นี่คือตำหนักลึกลับแห่งหนึ่งที่อยู่ในแดนมกุฎ คล้ายจะเกี่ยวข้องกับ ‘เซียนผลาญ’ ท่านนี้ แต่รูปบรรพบุรุษของเผ่าคางคกทองสามขากลับปรากฏอยู่ที่นี่ นี่หมายความว่าอะไร
บนผนังห่างไป เงาร่างเย่อหยิ่งกำยำที่หันหลังให้ทุกคนเคยบอกว่า แม่ทัพเทพหนึ่งร้อยแปดคนนี้เคยติดตามเขากรำศึกเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
บรรพบุรุษของเผ่าคางคกทองสามขาก็เป็นหนึ่งในแม่ทัพเทพจากทั้งหนึ่งร้อยแปดคนอย่างไม่ต้องสงสัย!
และพอคาดเดาเช่นนี้ ที่มาของ ‘แม่ทัพเทพ’ คนอื่นๆ ก็ไม่ธรรมดาแน่ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นบรรพบุรุษของทุกเผ่า!
แต่ก็เพราะเช่นนี้ยิ่งขับให้ที่มาของเงาร่างบนผนังซึ่งหันหลังให้ทุกคนไม่ธรรมดา
เขาคือใคร
เขามีอานุภาพเช่นไรกันแน่ จึงสามารถทำให้บรรพบุรุษหนึ่งร้อยแปดคนจากเผ่าที่แตกต่างกันยอมติดตามเขาไปกรำศึก
ยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ!
“เจ้าคางคกยังอึ้งอยู่ทำไม ศุภโชคครั้งนี้มีวาสนากับเจ้า!” อาหลู่ฟาดฝ่ามือใส่ไหล่เจ้าคางคกทีหนึ่ง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความอิจฉา
เจ้าคางคกได้สติ กลับดูไม่ตื่นเต้นและดีใจเท่าไหร่อย่างยากจะเห็น แต่พูดพร้อมสีหน้าสับสน “ในความทรงจำของข้า บรรพบุรุษเหมือนปริศนามาโดยตลอด ในประทับสายเลือดของข้าแทบไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเขา ไม่คิดว่าข้ากลับมาเจอเบาะแสที่นี่”
เสียงทุ้มต่ำราวกับดีใจและเสียใจในขณะเดียวกัน
หลินสวินพูด “คราวก่อนตอนที่เจ้าเข้ามาในแดนมกุฎก็ค้นพบที่แห่งนี้แล้ว ตอนนี้มาถึงที่นี่อีกครั้งราวกับถูกกำหนดไว้แล้ว นี่คือวาสนาชะตาลิขิต”
เจ้าคางคกเอ่ยเสียงถอนหายใจ “เฮ้อ วาสนาชะตาลิขิตอะไร ข้าเองก็เพียงแค่พึ่งบารมีบรรพบุรุษ หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นเขาเคยติดตามผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ไปออกศึก มีหรือข้าจะมีโอกาสได้รับศุภโชคในวันนี้”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งเหลือบมองหลินสวินและอาหลู่แวบหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “พวกเจ้าอย่าได้อิจฉาไป คนอื่นใช้บิดาเข้าสู้ ข้าคงทำได้แค่เอาบรรพบุรุษเข้าสู้ โชคดีที่บรรพบุรุษคนนี้ของข้าก็ถือว่าไม่เลว”
พูดถึงตอนท้าย เจ้าหมอนั่นก็เริ่มได้ใจอีกแล้ว ท่าทางย่ามใจ
อาหลู่กลอกตาใส่ เหยียดหยามเขาอย่างรุนแรง
หลินสวินเองก็ยังรู้สึกอยากฆ่าเจ้าหมอนี่ เมื่อครู่นี้ยังทำท่าถอนหายใจหดหู่ เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นก็เปลี่ยนไปแล้ว น่ารังเกียจจริงๆ!
“คางคกน้อยอย่างเจ้านี่นับว่าน่าสนใจ”
จู่ๆ เสียงที่ราวกับลอยมาจากชั้นเมฆดังขึ้น
เงาร่างดุจภาพมายาพลันปรากฏขึ้นพร้อมเสียงนั้น
เงาร่างของเขาราวกับก่อตัวจากละอองแสงที่ตัดสลับกัน คล้ายภาพในฝัน ท่าทางดูพร่ามัว สามารถดูออกเพียงว่ารูปร่างตรงสง่าผึ่งผาย ประหนึ่งภูเขาที่สันโดษพุ่งทะลวงขึ้นฟ้า
สิ่งเดียวที่สามารถมองเห็นได้ชัดก็คือดวงตาคู่หนึ่ง เมื่อลืมตาราวกับดวงดาวนับพันล้านท่ามกลางความว่างเปล่าโดยรอบดวงดับสูญ เดือดพล่าน แพร่กระจายอยู่ภายใน สะท้อนปรากฏการณ์ประหลาดอันยิ่งใหญ่ที่จักรวาลผันเปลี่ยน สรรพชีวิตเกิดดับ
เพียงแค่ถูกสายตาของเขากวาดผ่านก็ทำให้จิตวิญญาณของพวกหลินสวินสั่นไหว ขนลุกไปทั้งตัว ราวกับทั้งภายในและนอกร่างกายล้วนถูกมองทะลุ!
แต่ไม่นานอีกฝ่ายก็เก็บสายตา กลางนัยน์ตาปรากฏความนิ่งสงบอย่างที่สุด ไม่มีคลื่นความรู้สึกอีกต่อไป เสมือนบ่อน้ำโบราณที่คล้ายกับสามารถสะท้อนฟ้าได้
ตำหนักเงียบสงบ เงาร่างของพวกหลินสวินต่างแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น รู้สึกถึงความกดดันและตะลึงอย่างที่สุด ต่างไม่กล้าเชื่อ
“นี่เป็นเพียงแค่พลังกฎระเบียบเสี้ยวหนึ่งของข้า พวกเจ้าไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้” เงาที่ราวกับภาพมายาพูดขึ้น
พร้อมกับเสียงนั้น ในชั่วพริบตาบรรยากาศกดดันในตำหนักก็หายไป ในอากาศปรากฏกลิ่นอายที่กลมกลืนและสงบ ทำให้รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัว ราวกับอาบอยู่ท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้ในใจพวกหลินสวินวูบไหวอีกครั้ง ราวกับขอเพียงแค่เป็นความปรารถนาของเงาร่างมายานี่ สรรพสิ่งท่ามกลางฟ้าดินก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามความรู้สึกของเขา!
นี่ ประหนึ่งนายเหนือหัวแห่งฟ้าดินอย่างแท้จริง!
“มหายุคมาเยือนแล้ว”
แววตาของชายผู้นี้กวาดผ่านคราบเลือดในตำหนัก อดถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่งไม่ได้ เคลื่อนสายตาไปมองเจ้าคางคกแล้วพูดว่า “คราวนั้นตอนที่กลุ่มพวกเราออกจากดินแดนรกร้างโบราณ ข้าเป็นห่วงว่าการไปครั้งนี้จะมีอันตราย เป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน จึงทิ้งมรดกวิชาและศุภโชคไว้ที่นี่เพื่อสืบทอดพลัง แม้พวกข้าเสียชีวิตในต่างแดน การสืบทอดก็จะไม่ขาดหาย”
“บรรพบุรุษของเจ้าเป็นอัจฉริยะ มีจิตใจที่ซื่อตรงต่อข้า เคยพิชิตใต้หล้าเคียงบ่าเคียงไหล่ข้า ในเมื่อเจ้าเป็นคนรุ่นหลังของสหายเก่า ศุภโชคที่นี่ย่อมคืนสู่เจ้า”
เจ้าคางคกชะงัก อดถามไม่ได้ “ผู้อาวุโส บรรพบุรุษของเข้าเขา…”
ชายคนนั้นส่ายหน้า “เจ้าไม่ต้องถาม รอในอนาคตมีโอกาสไปจากดินแดนรกร้างโบราณ เจ้าจะเข้าใจเองว่าตอนนั้นพวกข้าไปไหน”
“ไปเถอะ มหายุคมาเยือนแล้ว โอกาสที่จะกลายเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชันก็เริ่มขึ้นแล้ว พวกข้าในตอนนั้นก็ไม่เคยเหยียบย่างสู่ขอบเขตนี้ หวังว่าพวกเจ้า… จะไปได้ไกลกว่าพวกข้า!”
ว่าแล้วเขาก็สะบัดแขนเสื้อ ร่างเงาของเจ้าคางคกถูกพลังไร้รูปสายหนึ่งห่อหุ้ม พุ่งเข้าไปในประตูของผนังบานนั้น หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าคางคกไม่มีแม้แต่โอกาสจะปฏิเสธ!
เห็นเช่นนี้ในใจหลินสวินและอาหลู่ต่างสั่นสะท้านไม่หยุด แต่ทั้งสองต่างดูออกว่านี่เป็นศุภโชคที่ควรเป็นของเจ้าคางคก คงจะไม่มีอันตราย
“ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าความสามารถของข้าเป็นอย่างไร” อาหลู่ถามอย่างหน้าด้าน
ชายคนนั้นคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ที่เจ้าฝึกคือคัมภีร์ดาวเหนือสยบโลกา ไร้วาสนากับข้า หากเป็นไปได้ข้าแนะนำให้เจ้าไปที่ ‘แดนโบราณหมื่นคชา’ สักครั้ง อาจจะมีผลเก็บเกี่ยว”
“แดนโบราณหมื่นคชา…” อาหลู่พึมพำ จำชื่อนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ
คราวนี้แม้แต่หลินสวินเองก็นิ่งไม่อยู่แล้ว เขามาแดนมกุฎครั้งนี้ก็เพื่อเป็นมกุฎราชันเช่นกัน
แต่แดนมกุฎนี้ใหญ่เกินไป ทั้งยังแบ่งเป็นสามพันแดนกับแดนเก้าบน ศุภโชคกระจายอยู่ไม่รู้เท่าไหร่
หากไม่มีคนชี้แนะ อยากจะหาศุภโชคที่เข้ากับตัวเองก็แทบไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร!
“ส่วนเจ้า…”
สายตาของชายคนนั้นมองไปทางหลินสวิน
หัวใจของหลินสวินแขวนลอยขึ้นสูงทันที ความคาดหวังเต็มเปี่ยม
“มรรคาของเจ้า…”
สายตาที่เดิมสงบของชายคนนั้นพลันปรากฏประกายแปลกประหลาดไร้ที่เปรียบ จ้องหลินสวินนิ่งแต่กลับไม่พูดอะไรเสียที
ราวกับเจอโจทย์ยาก
จมสู่ภวังค์ความคิดอีกครั้ง
หลินสวินถูกจ้องจนรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว ในใจก็อดประหม่าไม่ได้
บรรยากาศในตำหนักเงียบขึ้นมา อาหลู่เองก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ เขาเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ทนไว้
จนครู่ใหญ่ชายคนนั้นจึงพูดว่า “มรรคาของเจ้าจะต้องเดินเองเท่านั้น ไร้วาสนากับข้า ข้าเองก็ไม่สามารถชี้แนะเจ้าได้”
ในเสียงแฝงแววประหลาดที่ยากสังเกตเห็น
หลินสวินที่เดิมเปี่ยมไปด้วยความหวังชะงัก จากนั้นประสานหมัดพูด “ขอบคุณผู้อาวุโสอย่างยิ่ง”
“เหตุใดต้องขอบคุณข้า” ชายคนนั้นฉงน
“นี่ก็เป็นการชี้แนะอย่างหนึ่งแล้ว” หลินสวินกล่าวอย่างจริงจัง
เขาไม่ได้พูดปด ก่อนหน้านี้นานแล้วเขาก็แสวงหามรรคาที่แตกต่างอย่างที่สุดมาโดยตลอด หมายจะเอาชนะอดีต เข้าถึงมรรคาที่ต่างออกไป!
จู่ๆ ชายคนนั้นก็หัวเราะลั่นพูดว่า “เจ้าทำให้ข้านึกถึงจักรพรรดิสงครามซิงเยียน แต่เห็นได้ชัดมากว่าเจ้ากับจักรพรรดิสงครามซิงเยียนไม่เหมือนกัน มรรคาของเจ้าก็ไม่เหมือนเขาเช่นกัน ข้ารอคอยอย่างมากว่าเจ้าจะบรรลุมรรคาแบบไหน”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ “ข้าเคยได้เจอจักจั่นทองตัวหนึ่งด้วยความโชคดี เขาเองก็เคยพูดคุยกับข้าและพูดเช่นนี้”
ชายคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “พูดคุย?”
หลินสวินพยักหน้า
เขานึกถึงคำพูดของจักจั่นทองตัวนั้น ที่พูดคุยกันแน่นอนว่าคุยกันถึงเรื่องบนสวรรค์ การดำรงอยู่ของสวรรค์ก็เหมือนการเปลี่ยนแปลงแห่งมหามรรค สูงส่งไม่อาจสัมผัส ห่างไกลไม่อาจไปถึง
อยากจะเดินบนมรรคาของตนก็ต้องเข้าใจและแสวงหามัน!
“จักจั่นทองตัวนั้นไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าถ้าอยากเดินบนมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อน จะต้องแลกกับอะไร” ชายคนนั้นถาม
หลินสวินใคร่ครวญแล้วพูดว่า “มันพูดเพียงว่า วาสนาชะตาลิขิตราวมายา การปรารถนาตามใจต้องการนั้นดี แต่หากลุ่มหลงมัวเมาเข้าแล้ว กลับจะกลายเป็นของธรรมดาไป”
ชายผู้นั้นยิ้มน้อยๆ เอ่ย “ว่าแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้”
เขาหันมองหลินสวินอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีผู้เป็นเลิศอย่างเจ้าไม่รู้เท่าไหร่หมายจะสร้างหนทางใหม่ แตกต่างเป็นหนึ่งในมรรคา แต่คนที่ทำได้จริงๆ มีน้อยมาก กลับเพราะแสวงหามรรคานี้ ต่างประสบการโจมตีที่ไม่สามารถคาดเดา เบาหน่อยก็ธาตุไฟเข้าแทรก ถ้าหนักก็กายสิ้นมรรคสลาย เจ้าจะต้องระวัง”
สีหน้าของหลินสวินนิ่งสงบเอ่ยว่า “ในเมื่อแสวงหามรรคนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว”
“ไม่มีอะไรต้องเสียใจดียิ่ง!”
ชายคนนั้นหัวเราะลั่นกล่าว “ข้าดูถูกคนรุ่นเยาว์ยุคนี้เกินไป ไม่เลวๆ คนสมัยนี้เหนือกว่าคนโบราณ เพลิงมรรคไม่ดับ ย่อมสามารถคาดหวังมหามรรค สหายน้อย บอกชื่อเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่”
“หลินสวิน”
ชายคนนั้นพยักหน้าพูด “คนบนโลกเรียกข้าว่าเซียนผลาญ แต่กลับมีน้อยคนมากที่จะรู้ชื่อของข้า ต่อไปหากเจ้ามีโอกาสเข้าสู่ทางเดินโบราณฟ้าดารา หากเจอปัญหาอะไรก็สามารถอ้างชื่อข้าเท่าที่จะทำได้”
“จำไว้ ข้าชื่อเฉินหลินคง!”
พูดจบชายหนุ่มเงยหน้าหัวเราะลั่น เงาร่างราวกับละอองแสงโปรยปรายหายแวบไป
เฉินหลินคง!
สามคำนี้ราวกับมีความเผด็จการอันไร้รูป ก้องไปทั่วทั้งตำหนัก ทำให้เสาทองแดงทั้งหนึ่งร้อยแปดต้นสั่นสะท้าน ส่งเสียงกู่ก้องไปด้วย
เซียนผลาญ เฉินหลินคง!
ในใจหลินสวินจำชื่อนี้เอาไว้เงียบๆ ในขณะเดียวกันก็จำทางเดินโบราณฟ้าดาราไว้ด้วย!
เพราะเขาจำได้แม่นว่าตอนนั้นเจ้าคางคกเคยพูดว่า หากอยากจะเข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุนที่เป็นหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล คล้ายว่าจะต้องผ่านทางเดินโบราณฟ้าดารานี่
“แซ่เฉินหรือ”
และในเวลาเดียวกันอาหลู่ก็เกาหูเกาแก้ม “ทำไมข้าถึงเคยได้ยินเฒ่าสารเลวพูดว่า นี่เหมือนจะเป็นตระกูลที่เก่าแก่มากตระกูลหนึ่ง แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก”
หลินสวินอดพูดไม่ได้ “สายตระกูลเฉินร้ายกาจมากหรือ”
อาหลู่ส่ายหน้า “ข้าเองก็เพียงแค่ได้ยินเฒ่าสารเลวพูดถึงเป็นครั้งคราว อาจจะร้ายกาจมากล่ะมั้ง ไม่ได้ยินหรือว่าเซียนผลาญท่านนั้นก็แซ่เฉิน”
ตอนที่ทั้งสองคุยกัน ในตำหนักพลันมีพลังที่ไร้รูปสายหนึ่งเพิ่มเข้ามา ห่อหุ้มรอบตัวพวกเขาทั้งสองพุ่งออกนอกตำหนัก
และประตูที่ปิดสนิทนั่นก็เปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียงในตอนนี้