Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1176 อสนีเคราะห์แห่งยุค
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1176 อสนีเคราะห์แห่งยุค
หากจะเหยียบย่างระดับราชัน จำต้องข้ามผ่านเคราะห์สวรรค์
นี่คือสิ่งที่รู้ร่วมกันของการฝึกปราณ
เคราะห์นี้ เมื่อข้ามผ่านก็สามารถหลุดพ้นจากปราณห้าระดับใหญ่ ยืนตระหง่านอยู่ในระดับราชันที่อยู่สูงยิ่งกว่าได้
หากผ่านไม่ได้ ถ้าไม่ร่างมอดม้วยมรรคสลาย ก็จะตกสู่ระดับกึ่งราชัน!
สิบแปดศิษย์แห่งกษิติครรภ์อย่างพวกมู่เจิ้ง สามารถพากันเรียกมหาเคราะห์มรรคราชันตามกันมาในเวลานี้ได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การกระทำที่เพิ่งคิดขึ้นมาปุบปับ
หากแต่เตรียมการมานานแล้ว!
บนเวิ้งฟ้า เมฆาเคราะห์หนาทึบเกินกว่าธรรมดาหลายโข เรียกได้ว่าสะท้านโลกหาได้ยากยิ่ง
คณาเคราะห์ระดับนี้ ที่ผ่านมาล้วนยากจะได้พบเห็นสักครั้ง ใครจะไปจินตนาการว่าปุบปับจะมีผู้แข็งแกร่งสิบแปดคนข้ามเคราะห์พร้อมกัน
วู้ๆๆ!
กลางฟ้าดินมืดสลัวชวนกดดันหาใดเปรียบ ลมกระโชกพัดแรง โหยหวนกลางฟ้าดิน ประหนึ่งเสียงมารป่วนโลกหล้า สะท้านสะเทือนทั่วพิภพ
พวกมู่เจิ้งนิ่งเงียบไม่ไหวติง สีหน้าเคร่งขรึมเด็ดเดี่ยว พวกเขากำลังเฝ้ารอด่านเคราะห์ของตน ยิ่งตั้งตาคอยการมาเยือนของด่านเคราะห์ ใช้สิ่งนี้กำจัดมารนอกรีตอย่างหลินสวินเสีย
“บ้าไปแล้ว…”
หลินสวินพึมพำ ลาหัวโล้นพวกนี้บ้าคลั่งเกินไปแล้วจริงๆ อำมหิตเกินไป เพื่อจะต่อกรกับตน ขนาดชีวิตยังไม่ต้องการแล้ว
เขาแหงนหน้ามองฟ้า
เมฆาเคราะห์หนาทึบ ถึงแม้อสนีเคราะห์จะยังไม่ปรากฏ แต่หลินสวินรู้ดีว่าเมื่อมันมาเยือน จะต้องเป็นมหาเคราะห์สิบแปดด่านที่พุ่งยิงออกมาพร้อมกัน เพียงพอจะปิดครอบพื้นที่แถบนี้เอาไว้
เขาไม่เหลือทางให้หนี!
แต่ทว่า หลินสวินมีหรือจะนั่งนิ่งรอความตาย
เวลานี้เขาเงยหน้าทอดมองเมฆาเคราะห์บนเวิ้งฟ้า จู่ๆ ในใจพลันนึกขึ้นได้ว่าหลายวันมานี้ตนเอาแต่รอคอยให้จุดเปลี่ยนสู่การบรรลุราชันมาเยือน ถูกกระทำและจนปัญญา
ตรงกันข้ามกลับเป็นสิบแปดศิษย์แห่งกษิติครรภ์นี่ เพื่อจะสู้กันให้ตายไปข้างกับตน ถึงกับชักนำอสนีเคราะห์มรรคราชันออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
การกระทำนี้บ้าระห่ำยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กลับจุดประกายให้หลินสวิน จิตใจถูกปลุกเร้า ในหัวผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างระงับไม่อยู่
ในเมืองโบราณเผาเซียน ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนจิตใจโดนกดข่ม จับจ้องเวิ้งฟ้าพร้อมเผยแววหวาดผวาออกมา
พวกเขาเองก็คาดเดาว่ายามเมื่อเคราะห์สวรรค์มาเยือน หลินสวินซึ่งถูกสิบแปดศิษย์ปิดล้อมอยู่ตรงกลางย่อมไม่เหลือหนทางให้หลบหนีอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดว่า ต่อให้เทพมารหลินประสบเคราะห์ก็คงจะเกิดขึ้นในแดนเก้าบน แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าทั้งหมดจะเกิดขึ้นล่วงหน้าเสียได้!
สิ่งนี้พาให้ผู้คนตั้งรับไม่ทัน
“ภิกษุอารามกษิติครรภ์พวกนี้ ช่างวิปริตได้ที่ซะจริงๆ…”
“เทพมารหลินจะจบเห่แล้วหรือ”
“ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะฝืนชนะฟ้าได้อย่างไรกัน”
ผู้ฝึกปราณมากมายทอดถอนใจ รู้สึกสังเวช คิดว่าต่อให้เทพมารหลินพลิกฟ้าสะท้านโลกปานใด แต่ตอนนี้ก็ยังถูกคนวางอุบายใส่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
ส่วนผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่พวกนั้นต่างคึกคะนอง มีความสุขบนคราวทุกข์ผู้อื่น ลอบกล่าวในใจว่าเทพมารหลินหนอเทพมารหลิน เจ้าก็มีวันนี้ด้วยหรือ
ตู้ม!
ท่ามกลางเมฆาเคราะห์ มีเสียงฟ้าคำรามก้องกระหึ่ม ณ ที่นี้ สะเทือนฟ้าสะท้านดิน พาให้สิบทิศสั่นสะเทือน
สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า อสนีเคราะห์สีเงินหนาใหญ่ไร้ทัดเทียมสายแล้วสายเล่าพลิกตลบ ประหนึ่งมังกรอสนีตัวแล้วตัวเล่ากำลังพลิกม้วนลำตัว สว่างจ้าพร่าตา แผ่กลิ่นอายประหนึ่งทำลายล้างโลกหล้าออกมา
ผู้ฝึกปราณมากมายต่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว รู้สึกถึงความหวาดผวาและหดหู่หาใดเปรียบ
นี่คือเคราะห์สวรรค์ เป็นคณาเคราะห์จากแดนสรวง!
ภายใต้คณาเคราะห์ สรรพชีวิตดุจมดน้อย!
“มาแล้ว!”
มู่เจิ้งเงยหน้าขึ้นขวับ สีหน้ามุ่งมั่น
ขณะเดียวกันศิษย์อีกสิบเจ็ดคนต่างก็เงยหน้ามองเวิ้งฟ้า สีหน้าเคร่งขรึม มองความตายประหนึ่งหวนสู่ถิ่นเดิม
เรือนผมยาวของหลินสวินโบกสะบัด นัยน์ตาดำลุ่มลึกและเยียบเย็น ทอประกายวาววับชวนสยอง เงาร่างของเขาหยัดยืนสันโดษ อาภรณ์สะบัด สีหน้าสงบนิ่งถึงขีดสุดจนผิดธรรมดา
ทันใดนั้นเขาพลันเอ่ยปากถาม “มู่เจิ้ง ตราบใดที่ข้าหลินสวินยังมีชีวิตอยู่ พวกเจ้าอารามกษิติครรภ์ก็จะไม่ยอมเลิกราใช่หรือไม่”
น้ำเสียงเรียบเฉย
มีชีวิตอยู่?
นัยน์ตามู่เจิ้งเจือแววเวทนาเสี้ยวหนึ่ง เจ้าหมอนี่ยังคิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตได้อีกจริงๆ หรือ
“ถูกต้อง!”
มู่เจิ้งตอบอย่างแน่วแน่ยิ่ง “เจ้าถอดใจได้เลย”
มุมปากหลินสวินผุดเส้นโค้งเย็นยะเยือกขึ้นมา “ถอดใจ? เจ้าพูดผิดแล้ว ข้าก็แค่อยากถือโอกาสก่อนที่พวกเจ้าจะตาย บอกพวกเจ้าไว้สักเรื่อง”
“ว่ามา”
สีหน้ามู่เจิ้งยิ่งฉายแววเวทนามากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังรับฟังคำสั่งเสียของหลินสวิน
“ตราบใดที่ข้าหลินสวินยังมีชีวิตต่อไป สักวันหนึ่ง บนโลกนี้จะไม่มีอารามกษิติครรภ์อีก!” หลินสวินเอ่ยปากเน้นชัดทุกถ้อยคำ ฝังลึกในจิตใจผู้คน!
นัยน์ตาพวกมู่เจิ้งต่างหดรัดลง จากนั้นก็กลับสู่สภาพเรียบนิ่งไม่ไหวติงเช่นเดิม
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเห็นคำพูดของหลินสวินเป็นการระบายความรู้สึกก่อนสิ้นใจ ไม่สนใจด้วยซ้ำ
และกลางเมืองโบราณเผาเซียน ผู้ฝึกปราณทั้งหมดต่างสั่นสะท้าน ทำให้หลินสวินโพล่งคำพูดดุร้ายเช่นนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าคงเกลียดอารามกษิติครรภ์เข้ากระดูกไปแล้ว!
เพียงแต่…
เขาจะรอดชีวิตต่อไปได้หรือไม่
ความหวังริบหรี่เหลือเกิน!
……
บนเวิ้งฟ้าเมฆาเคราะห์หอบม้วน อสนีเคราะห์สีเงินสว่างวาบก้องกระหึ่ม จวนเจียนจะมาเยือนแล้ว!
พวกมู่เจิ้งต่างไม่พูดไม่จา ไม่มีคนชะล่าใจ
พวกเขาย่อมไม่ยินดีตายไปทั้งอย่างนี้ หากสามารถบุกฆ่าหลินสวินไปด้วยในขณะที่ข้ามเคราะห์บรรลุราชันได้ ย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ตูม!
เสียงกึกก้องสายหนึ่งดังขึ้น พาให้สรรพชีวิตหวาดผวา ยังคิดว่าเคราะห์สวรรค์เริ่มมาเยือนแล้ว
ในใจพวกมู่เจิ้งเองก็เต้นกระหน่ำ กำลังตั้งท่าจะกรูออกไปรับเคราะห์สวรรค์
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกปราณในเมืองและพวกมู่เจิ้งต่างตั้งตัวไม่ทันก็คือ เสียงคำรามสนั่นสายนี้หาได้มาจากเวิ้งฟ้า แต่มาจากตัวหลินสวิน!
เขาในเวลานี้แหงนหน้าขึ้นมองเวิ้งฟ้า เรือนผมสีดำทั่วศีรษะโบกสะบัด เงาร่างสูงเด่นราวกับหอก ไม่รู้ถูกแสงมรรคเจิดจ้าพร่าตาห้อมล้อมตั้งแต่เมื่อไหร่
ทั้งตัวราวกับหุบเหวใหญ่ที่พาดขวางกลางฟ้าดิน เสมือนจะกลืนกินแปดทิศ
เสียงกึกก้องสายนั้น เป็นเสียงยามเมื่อหุบเหวลึกเคลื่อนโคจร ทำให้ห้วงอากาศแตกกระจุยกระจาย!
“นี่…”
ผู้ฝึกปราณในเมืองปากอ้าตาค้าง
“เด็กนี่ก็จะข้ามเคราะห์ด้วย!”
ในใจพวกมู่เจิ้งสั่นสะท้าน
นี่หมายความว่าภายใต้สถานการณ์ใกล้ถึงแก่ความตาย เขาละทิ้งศุภโชคที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตมกุฎระดับราชัน ตั้งใจจะข้ามเคราะห์ตอนนี้ใช่หรือไม่
แต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขารอดชีวิตก็เป็นได้แค่พวกระดับราชันทั่วไปคนหนึ่ง ภายหน้าย่อมไร้วาสนาต่อหนทางแห่งมกุฎราชันอย่างสิ้นเชิง!
นี่ก็เท่ากับละทิ้งมรรคาที่ใฝ่ปรารถนาทั้งปวง สิ่งที่เสียไปใหญ่หลวงนัก!
ตู้ม!
บนเวิ้งฟ้า อสนีเคราะห์ที่เดิมทีหอบม้วนเดือดพล่านถึงกับค้างแข็ง หวนสู่ความเงียบสงบในเวลานี้ ประหนึ่งถูกสะกดข่มเอาไว้ก็ไม่ปาน
ในเวลาเดียวกันนั้น กลิ่นอายที่น่าสะพรึงบีบหัวใจผู้คนยิ่งกว่าก็คละคลุ้งออกมาจากส่วนลึกของเวิ้งฟ้า
จากนั้นทั่วทั้งเมืองโบราณเผาเซียนล้วนตกสู่ความสะท้านสะเทือน ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตกใจจนหนังหัวจวนจะระเบิด ทั้งร่างโรยแรง
พวกที่พลังอ่อนแอส่วนหนึ่งก็หมอบกระแตลงกับพื้นตรงๆ ตัวสั่นเทิ้ม!
วู้ม!
ภาพเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าบังเกิดขึ้น พลังผนึกต้องห้ามปัญจธาตุที่แผ่ครอบทั่วทั้งสี่ทิศของเมืองโบราณเผาเซียน ถึงกับโคจรอย่างไร้สุ้มเสียงในเวลานี้
เริ่มทำการพิทักษ์ปกป้อง คล้ายกับสัมผัสได้ถึงภัยอันตราย!
ส่วนด้านนอกเมือง ลมคลั่งพัดโหม ห้วงอากาศแปรผันปั่นป่วน ปรากฏลักษณ์โกลาหลอย่างถึงที่สุด
ท่ามกลางภูผาธาราไร้ที่สิ้นสุดนั้น หมู่เขาสั่นคลอน หินผาร่วงทลาย ต้นไม้เก่าแก่สั่นไหวรุนแรง สัตว์ดุร้ายนับไม่ถ้วนที่อาศัยอยู่ในป่าเขาร้องโหยหวน หนีตายจ้าละหวั่น
กระแสธาร ม่านน้ำตก ทะเลสาบ ล้วนเสมือนเดือดระอุ พลิกตลบโครมคราม
ผู้ฝึกปราณที่กำลังแสวงหาวาสนาและศุภโชคตามพื้นที่ต่างๆ ในแดนเผาเซียน เวลานี้ต่างหวาดผวาหน้าถอดสี รู้สึกได้ถึงความน่าสะพรึงที่รัดรึงจิตใจ
ยามเมื่อแหงนมองท้องฟ้า ก็เห็นว่าส่วนลึกของห้วงอากาศปรากฏเมฆาเคราะห์วิจิตรที่เจิดจ้าพราวตาขึ้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ดุจดั่งจักรวาลเรืองแสง มีความงามที่จับจิตสะท้านใจ!
นั่นคือเมฆาเคราะห์
เพียงแต่ว่ากลับเปล่งประกายวิจิตรอย่างยิ่ง สว่างพราวถึงที่สุด ปรากฏอยู่บนเวิ้งฟ้าในเวลานี้!
“สวรรค์!”
“นี่คือมหาเคราะห์แบบใดกัน”
เวลานี้ไม่รู้มีเสียงอุทานมากน้อยเท่าไหร่กำลังดังขึ้นตามพื้นที่ต่างๆ ในแดนเผาเซียน
หรือควรพูดว่า ในเวลานี้ทั่วทั้งแดนเผาเซียนล้วนถูกทำให้ตกตะลึง!
สำหรับผู้ฝึกปราณในเมืองแล้ว เวลานี้ก็เปรียบเสมือนได้เห็นภาพสวรรค์เปลี่ยนสะท้อนอยู่ในครรลองสายตา
เริ่มจากเคราะห์สวรรค์ที่ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ชักนำมา ล้วนเรียกได้ว่าก้องโลกและไม่เคยมีมาก่อน พาให้ผู้คนเกิดความกลัว
และเวลานี้ อสนีเคราะห์สิบแปดด่านนี่ยังไม่ทันมาเยือน กลับจมสู่ความเงียบงันประหนึ่งยอมก้มหัวศิโรราบ
เพราะส่วนลึกของห้วงอากาศนั่นปรากฏเมฆาเคราะห์ที่น่าสะพรึงยิ่งกว่า เจิดจรัสยิ่งกว่า สะท้านโลกยิ่งกว่า!
ควรจะอธิบายมันอย่างไรดี
วิจิตรอย่างถึงที่สุด และพร่างพราวถึงที่สุด สาดส่องจนฟ้าดินที่เดิมทีมืดสลัวพลันสว่างไสว พาให้ห้วงอากาศย้อมไปด้วยแสงสุกสกาวโชติช่วง!
ในความเลือนราง กลางเมฆาเคราะห์วิจิตรพิสดารนั่นมีอสนีเคราะห์แวววาวประหนึ่งสายโซ่เทพสายแล้วสายเล่าส่องแปลบปลาบ ดั่งฝันดุจมายา บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และสูงสุด
แต่ผู้ฝึกปราณทุกคนที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ณ์นี้ในใจกลับผุดความสะพรึงไร้ขอบเขต ร่างกายล้วนแข็งทื่อดุจตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง ขนาดจะหายใจยังลำบาก!
พวกมู่เจิ้งเองก็อึ้งไป ภายในใจสั่นสะท้าน หวาดผวาหน้าถอดสี ไม่เคร่งขรึมและเยือกเย็นเหมือนแต่ก่อน
เดิมทีพวกเขาหมายจะข้ามเคราะห์ ใครเลยจะคาดคิด คณาเคราะห์ที่เป็นของพวกเขาถึงกับถูกข่มเอาไว้ทั้งหมด!
ที่ทำให้พวกเขายิ่งใจสั่นคือ ทันทีที่เมฆาเคราะห์แสนวิจิตรพร่างพราวนั่นปรากฏ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวและไร้หนทางอย่างควบคุมไม่อยู่
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ถึงขั้นไม่สามารถสรรหาคำมาบรรยายได้เลยสักนิด!
นี่…
“หรือจะเป็นเคราะห์มกุฎราชันที่เป็นของเทพมารหลิน”
เป็นไปไม่ได้!
พวกมู่เจิ้งไม่อยากเชื่อสักนิด ไม่มีการช่วยเหลือจากศุภโชคพลิกฟ้า ซ้ำยังไร้วาสนาที่เรียกได้ว่ากึกก้องโลกที่เทพมารหลินสามารถช่วงชิงไปได้ เป็นไปได้หรือที่เขาจะมีโอกาสแจ้งมรรคขอบเขตมกุฎ
หากเคราะห์มกุฎราชันเรียกมาได้ง่ายๆ ปานนี้ ผู้ฝึกปราณบนโลกนี้คงทะยานฝ่าทะลวงขอบเขตมกุฎระดับราชันกันไม่รู้เท่าไรตั้งนานแล้ว
นี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะเป็นเคราะห์มกุฎราชัน!
เพียงแต่…
เหตุใดถึงน่าสยดสยองปานนี้
ภายในใจพวกมู่เจิ้งตื่นตระหนก ทุกอย่างนี้ล้วนทำลายความรู้ความเข้าใจของพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่อาจตัดสินได้ ได้แต่ทอดสายตามองไปทางหลินสวินตามๆ กัน
หลินสวินในยามนี้ทั่วร่างดุจดั่งมายา แสงมรรคไหลเวียน รูปร่างดั่งเหวลึก กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาสามารถใช้คำว่า ‘ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต ดุจหุบเหวดั่งนรก’ มาอธิบายได้อย่างสิ้นเชิง!
เพียงมองปราดเดียวก็ทำให้ในใจพวกมู่เจิ้งเกิดความรู้สึกเล็กจ้อยไร้อำนาจอย่างไม่อาจสั่นคลอน แข็งแกร่งเกินไปแล้ว นี่ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานพลังทั้งหมดของเทพมารหลินอย่างนั้นหรือ
พวกมู่เจิ้งเดือดดาล
ก่อนหน้านี้พวกเขามั่นใจไร้กังวล หมายจะใช้เคราะห์สวรรค์ฆ่าหลินสวิน ต่อให้วอดวายกันทั้งสองฝ่ายก็ไม่ขัดข้อง
ผลลัพธ์ชัดเจนยิ่ง หลินสวินถูกกักขัง ไม่กล้าฝ่าวงล้อม ไม่กล้าเฉียดใกล้ คล้ายนักโทษที่นั่งรอความตาย หนีก็ไม่อาจหนี
เพียงแต่ชั่วพริบตา ทั้งหมดนี้ล้วนพลิกผันไปหมด!
หลินสวินใจไม่สนใจสิ่งใด เรียกเมฆาเคราะห์แห่งยุคมาเยือน ข่มพลังเคราะห์สวรรค์ที่เป็นของพวกเขาสิบแปดคน ตรงข้ามกลับทำให้พวกเขาตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ!
เวลานี้พวกเขาเองก็ไม่กล้าถอย ไม่กล้าเฉียดใกล้ ยิ่งไม่กล้าลงมือกับหลินสวินเข้าไปใหญ่ กลัวอย่างเดียวว่าจะถูกด่านเคราะห์อันน่าสะพรึงนั่นแตะสัมผัสตัวเข้า
นี่ก็คือผลกรรมตามสนองหรือ
สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สงบคือ หากพวกเขาข้ามเคราะห์พร้อมกันกับหลินสวิน เป็นไปได้สูงว่าไม่เพียงต้องแบกรับเคราะห์สวรรค์ของตน ยังต้องถูกเคราะห์สวรรค์ของหลินสวินปั่นป่วนอีกด้วย
นี่ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด!
เมื่อคิดถึงจุดนี้พวกมู่เจิ้งก็อัดอั้นจนแทบจะกระอักเลือด สีหน้าล้วนเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำหาใดเปรียบ ไหนเลยจะคาดคิดว่าสถานการณ์สิ้นหวังกลับพลิกผันกลายเป็นสภาพเช่นนี้ไปเสียได้
——