Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1220 เรือน้อยสีดำกับคนแจวเรือโครงกระดูก
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1220 เรือน้อยสีดำกับคนแจวเรือโครงกระดูก
บัวเทพสองลักษณ์ไม่เพียงเป็นโอสถเทพ ยังมีพลังมหามรรคหยินหยางสองชนิด
อีกทั้งหยินหยางร่วมผสาน สามารถแปรสภาพเป็นมหามรรคยอดเอกอุ
นี่เป็นถึงหนึ่งในมหามรรคเทียมฟ้าเก้าสิบเก้าสาย!
จากจุดนี้ แค่คิดก็รู้ว่าบัวเทพสองลักษณ์สูงค่าขนาดไหน
และบัวเทพปัญจธาตุตรงหน้าก็ยิ่งน่าตะลึง เม็ดบัวห้าเม็ด แต่ละเม็ดบรรจุมหามรรคปัญจธาตุแต่ละชนิดอยู่ สิ่งนี้โอสถเทพอื่นย่อมไม่อาจเทียบได้แล้ว
“เม็ดบัวห้าเม็ด ข้าเอาสองเม็ด สามเม็ดที่เหลือพวกเจ้าแบ่งกัน ว่าอย่างไร”
หลินสวินก็ไม่เกรงใจ ตัวมีฐานะเป็นหัวหน้า นี่เป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ
จี้ซิงเหยากล่าวว่า “พวกข้าไม่ได้ออกแรงมาก เดิมทีไม่มีโอกาส…”
ไม่ทันพูดจบหลินสวินก็ยิ้มตัดบท ทำให้นางไม่อยากปฏิเสธอีก
ทันใดนั้นหลินสวินก็เก็บเม็ดบัวธาตุทองกับเม็ดบัวธาตุไม้ไว้
เขาครอบครองพลังมหามรรคธาตุน้ำและไฟแล้ว จะเก็บเม็ดบัวธาตุน้ำกับเม็ดบัวธาตุไฟไว้ในมือก็ฟุ่มเฟือย
เจ้าคางคกเลือกเม็ดบัวธาตุดินเม็ดหนึ่งไป
จี้ซิงเหยากับโม่เทียนเหอต่างได้เม็ดบัวธาตุน้ำและไฟ
การแบ่งสรรครั้งนี้ ไม่ว่าใครก็พอใจทั้งนั้น
“เหอะๆ ก็ไม่รู้ว่าพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เจ้าคางคกพลันหัวเราะขึ้นมา
เขาออกจะไม่พอใจกับการแยกกันเคลื่อนไหวของพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิง
พูดดิบดีว่ามีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน แต่พวกเขากลับเลือกแยกกันเคลื่อนไหว เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่สำคัญอะไร แต่ในความคิดของเจ้าคางคก พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงคงไม่อยากเป็นศัตรูกับหวังเสวียนอวี๋แห่งสำนักเอกอุ!
หาไม่แล้วพวกเขาร่วมกันเคลื่อนไหวย่อมปลอดภัยยิ่งกว่า ยามช่วงชิงวาสนาและศุภโชคก็ยิ่งมั่นใจได้มากกว่า ทำไมต้องแยกกันเคลื่อนไหวด้วย
เพราะกังวลว่าพอได้วาสนามาจะไม่สามารถจัดสรรได้อย่างยุติธรรมหรือ
เจ้าคางคกไม่เชื่อเรื่องนี้
“สหายยุทธ์เจิ้นคงมีแผนอีกอย่าง”
โม่เทียนเหออธิบายหนึ่งประโยค เขากับเจิ้นอวิ๋นเฟิงมีความสัมพันธ์ไม่เลว ย่อมฟังความไม่พอใจที่เจ้าคางคกเผยให้เห็นออก
เจ้าคางคกยิ้มหยัน “อย่าลืมเสียล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะหลินสวิน อิ๋นเสวี่ยกับจั่นลู่ซิวที่ตามไปกับเจิ้นอวิ๋นเฟิงจะได้รับเพลิงมรรคต้นกำเนิดได้อย่างไร”
โม่เทียนเหออึ้งไป ถอนใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้ นี่ดูไม่จริงใจอยู่บ้างจริงๆ แต่เขาจะพูดอะไรได้อีก
“พอแล้ว ถึงอย่างไรก็ร่วมทางกันครั้งหนึ่ง ทุกคนแค่แยกกันเคลื่อนไหว มาคิดเล็กคิดน้อยไม่คุ้มกันหรอก”
หลินสวินกล่าว
โครม!
ตอนนี้ในทะเลสาบโลหิตนั้นปั่นป่วนขึ้นระลอกหนึ่ง เรือน้อยสีดำสนิทลำหนึ่งปรากฏขึ้น ลอยละล่องโดดเดี่ยวอยู่ในนั้น
บนนั้นยังมีคนแจวเรือนั่งอยู่คนหนึ่ง
ทว่ายามพวกหลินสวินเห็นคนแจวเรือผู้นี้ต่างรู้สึกสั่นสะท้านด้วยความกลัว
เพราะนี่เป็นโครงกระดูกที่แต่งกายชุดดำร่างหนึ่ง หัวสวมงอบ เปลวเพลิงเขียวมรกตแผดเผาอยู่ในเบ้าตา!
หนึ่งเรือหนึ่งโครงกระดูกปรากฏตัวขึ้นเหนือทะเลสาบสีเลือด ภาพนั้นดูพิสดารหาใดเทียบ
“ในเมื่อมีเรือ ย่อมใช้พาคนข้ามไป”
จี้ซิงเหยาคล้ายครุ่นคิด
ส่วนเจ้าคางคกพูดเสียงดังว่า “ฝีพาย จะนั่งเรือเจ้าได้อย่างไร”
“โอสถเทพต้นหนึ่ง”
เหนือความคาดหมายของทุกคน คนแจวเรือโครงกระดูกผู้นั้นเอ่ยปากเสียอย่างนั้น เสียงว่างเปล่าเลื่อนลอย
“ปากดีเสียจริงนะ ทำไมเจ้าไม่ปล้นไปเลยล่ะ”
เจ้าคางคกพูดอย่างไม่สบอารมณ์
คนแจวเรือโครงกระดูกเอ่ยเบาๆ ว่า “ใต้ทะเลสาบนี้ฝังกลบโครงกระดูกมากมาย หากไม่มีข้าพาข้าม จะบินขึ้นไปบนฟ้าหรือทะยานไปบนดินก็ไม่อาจไปถึงอีกฝั่งได้”
หลินสวินครุ่นคิดเล็กน้อยก็ดีดนิ้วมือครั้งหนึ่ง เม็ดบัวธาตุไม้เม็ดนั้นก็เคลื่อนขึ้นไปบนเรือสีดำลำนั้นดังสวบ
ดูเหมือนเป็นการมอบโอสถเทพให้ แต่นี่ก็เป็นการโจมตีด้วยเช่นกัน ดุดันถึงที่สุด
เปรี๊ยะ!
กลับเห็นว่าเงาร่างของคนแจวเรือโครงกระดูกผู้นั้นไม่ไหวติง เพียงอ้าปากแล้วกลืนเม็ดบัวนี้เข้าไป ฟันขาวโพลนขบเคี้ยว
ดวงตาหลินสวินพลันหดรัด การโจมตีนี้หากเปลี่ยนเป็นระดับมกุฎราชันยังไม่แน่ว่าจะรับไว้ได้ แต่คนแจวเรือโครงกระดูกผู้นี้กลับเหมือนไม่สะทกสะท้าน ทั้งยังไม่กระเทือนสักนิด!
คนแจวเรือโครงกระดูกลุกขึ้น แขวนตะเกียงน้ำมันเหลืองนวลดวงหนึ่งที่หัวเรือ จากนั้นก็หยิบไม้พายกระดูกขาวเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วมองมายังพวกหลินสวิน
ความหมายชัดเจนนัก กำลังเชิญพวกเขาลงเรือ
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง มองคนอื่นปราดหนึ่ง จากนั้นก็นำทุกคนโฉบผ่านอากาศขึ้นไปบนเรือน้อยสีดำสนิทที่อยู่ห่างออกไป
ตูม!
ทันใดนั้น จู่ๆ มือใหญ่ซีดขาวน่าสะพรึงกลัวมือหนึ่งก็ยื่นออกมาจากในทะเลสาบสีเลือด บดบังฟ้าดิน แผ่กระจายกลิ่นอายมรณะที่ชวนให้หายใจไม่ออกออกมา
ชั่วขณะนี้พวกหลินสวินต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ รู้สึกถึงกลิ่นอายกดดันถึงชีวิตอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง
ไม่อาจต้านทางได้เลย!
แม้พวกเขาล้วนมีฐานะเป็นมกุฎราชันก็ทำไม่ได้!
พลังต่างกันไกลเกินไปแล้ว ภายใต้การตะปบนี้ ทำเอาพวกเขาล้วนรู้สึกซีดเจื่อนไร้พลังเหมือนมด
ปึง!
ในเวลาคับขันหาใดเทียบเช่นนี้ ไม้พายกระดูกขาวเล่มหนึ่งเคลื่อนตัดอากาศมา กลับกดข่มมือใหญ่ขาวซีดมือนี้ลงไปในทะเลสาบอย่างจัง!
ฉวยโอกาสนี้ทำให้พวกหลินสวินมาถึงบนเรือน้อยสีดำสนิทลำนั้นแล้ว เพียงแต่เสื้อผ้าบนร่างกายล้วนซึมเหงื่อ ในใจหวาดผวานัก
ซ่า!
ตั้งแต่เริ่มจนจบคนแจวเรือโครงกระดูกเงียบเชียบนัก เหมือนมองไม่เห็นทุกอย่างนี้ ขยับไม้พายกระดูกขาวพายเบาๆ เรือน้อยก็ลอยละล่องไปยังที่ไกลออกไป
พวกหลินสวินสบตากัน ต่างเห็นแววตกตะลึงในสายตาของอีกฝ่าย
เพราะพวกเขาตัดสินได้ว่าพลังของมือใหญ่ขาวซีดเมื่อครู่ อย่างน้อยก็อยู่ในระดับอริยะ!
และเมื่อรวมเข้ากับถ้อยคำของคนแจวเรือโครงกระดูก ที่ว่าใต้ทะเลสาบเลือดแห่งนี้ฝังกลบโครงกระดูกไว้มากมาย จะหมายความว่าเคยมีอริยะมากมายสิ้นชีพลงที่นี่หรือไม่
ยิ่งคิดก็ยิ่งพาให้หนาวยะเยือกในจิตใจ!
เรือน้อยไม่ใหญ่ เต็มที่ก็แค่พอให้คนห้าหกคนยืนอยู่บนนั้น ที่หัวเรือตะเกียงน้ำมันสีเหลืองนวลดวงหนึ่งโบกไหว เงาตะเกียงเป็นลายพร้อย
จี้ซิงเหยากำลังประเมินคนแจวเรือโครงกระดูก
เจ้าคางคกกำลังจดจ้องตะเกียงน้ำมันสีเหลืองนวลที่หัวเรือ
ส่วนโม่เทียนเหอทอดสายตามองไปโดยรอบ
หลินสวินกลับกำลังพินิจพิเคราะห์เรือน้อยสีดำที่ยืนอยู่ลำนี้
บรรยากาศแปลกประหลาดและเงียบสงัดลง มีเพียงตอนที่ไม้พายจ้วงน้ำทะเลสาบสีเลือดถึงส่งเสียงซู่ซ่าออกมา
‘โครงกระดูกนี่น่ากลัวนัก บนร่างมีกลิ่นอายแปลกประหลาดโอบล้อม ทำให้ข้ามองไม่ขาด’
จี้ซิงเหยาสื่อจิต ใบหน้างามกระจ่างราวภาพเขียนเจือแววเคร่งขรึม
ทุกอย่างที่เห็นในวันนี้อัศจรรย์เกินไปแล้ว ราวกับเดินอยู่ในแดนนรกในตำนาน ทุกอย่างที่ได้พบเห็นล้วนเกินขอบเขตความเข้าใจของนาง
พวกหลินสวินต่างพยักหน้า
‘ตะเกียงน้ำมันนี้ก็พิกลเกินไปแล้ว ดูเหมือนสีเหลืองนวลเป็นลายพร้อย แต่ปกคลุมไปด้วยพลังลี้ลับชั้นหนึ่ง ทำให้ข้ามองไม่ออก’
เจ้าคางคกนิ่วหน้าพูด เขาเป็นถึงลูกหลานเผ่าคางคกทองสามขา สามารถแยกแยะสรรพสิ่ง รู้จักสมบัติประหลาดของล้ำค่าเป็นอย่างดี
แต่ตอนนี้กลับไม่อาจดูร่องรอยออกสักนิด!
“ฝีพาย ตะเกียงน้ำมันดวงนี้เจ้าขายไหม” เจ้าคางคกทำใจกล้าเอ่ยถาม
คนแจวเรือโครงกระดูกคล้ายหูหนวก เหมือนไม่ได้ยินอะไร ในเบ้าตาว่างเปล่ามีเพียงเปลวเพลิงเขียวมรกตคู่หนึ่งไหวเคลื่อน
เจ้าคางคกเห็นเช่นนี้ก็ทำได้เพียงล้มเลิกความคิดจะสืบเสาะ
เมื่อกี้เขาเห็นกับตาว่าคนแจวเรือโครงกระดูกเพียงโบกไม้พายกระดูกขาวในมือ ก็กำราบมือใหญ่ขาวซีดที่ครอบครองพลังระดับอริยะข้างนั้นได้!
พลังต่อสู้นี้ไม่ใช่น่ากลัวธรรมดา
ควรรู้ว่าในแดนมกุฎ อริยะไม่คงอยู่!
แต่ตอนนี้ในถ้ำนรกเทพแห่งนี้ กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
“ดูนั่นเร็ว!”
ทันใดนั้นโม่เทียนเหอเอ่ยปากอย่างตกตะลึง
มองตามสายตาของเขาไปก็เห็นว่าในทะเลสาบที่อยู่ไกลออกไป จู่ๆ ก็มีของแปลกประหลาดไม่ชัดเจนมากมายพุ่งออกมา
บ้างเป็นมือใหญ่ขาวซีด บ้างเป็นปีกโชกเลือด บ้างเป็นกระบี่ศึก ดาบศึก ทวนศึกที่หักพัง… แต่ละอย่างล้วนแผ่ไอมรณะสะท้านโลกออกมา คลื่นสีเลือดไร้ที่สิ้นสุดซัดขึ้นแล้วพุ่งเข้ามาทางนี้
ชั่วพริบตานั้นในสมองพวกหลินสวินเกิดเสียงดังตูมและปรากฏภาพภูเขาศพทะเลเลือดขึ้นมา มีเทพมารห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดที่นี่ ทั้งมีอริยะส่งเสียงคำรามเศร้าศร้อยและแค้นเคือง มีเสียงพระร่ำไห้…
แต่ในสมองของหลินสวินกลับมีเงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา แม้กระโปรงเปื้อนเลือดแต่กลับเดินอยู่ในภาพนองเลือดนี้เหมือนเดินบนที่ราบ คู่ต่อสู้ที่มีอานุภาพเทียมฟ้าแต่ละคนล้มลงเบื้องหลังนาง
เพียงแต่ ศีรษะของนางกลับหายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้!
ตูม!
และก็ในตอนนี้เอง ภาพในสมองของทุกคนก็หายไปทันที
เมื่อมองไปโดยรอบอีกครั้งก็เห็นว่าน้ำเลือดซัดสาดคับฟ้า การโจมตีต่างๆ ผุดขึ้นทุกสารทิศราวกระแสน้ำ สถานการณ์น่าตื่นตะลึงถึงที่สุด
ที่พิสดารก็คือ ไม่ว่าจะเป็นคลื่นถาโถมซัดสาดหรือการโจมตีเหล่านั้น ล้วนไม่อาจสะเทือนเรือน้อยสีดำได้สักนิด
ส่วนคนแจวเรือโครงกระดูกก็เหมือนไม่สนใจ หรือพูดได้ว่าเห็นทุกอย่างแต่ทำเป็นไม่เห็น!
‘เป็นพลังของตะเกียงดวงนั้น’
เจ้าคางคกเก็บกลั้นความสั่นสะท้านที่อยู่ในใจ สื่อจิตเสียงเบา
ทุกคนก็สังเกตได้ว่าที่หัวเรือ ตะเกียงน้ำมันเหลืองนวลที่แขวนอยู่ดวงนั้นขยัยไปตามลม เงาตะเกียงเหลืองนวลที่ฉายออกมาไหลวน กลายสภาพเป็นพลังไร้รูปคุ้มครองรอบเรือน้อย
ก็เหมือนเส้นบอกเขตเส้นหนึ่ง ต่อให้ลมทั้งแปดพัดมาก็ไม่อาจสั่นคลอน!
ตอนนี้พวกหลินสวินถึงเหมือนยกภูเขาออกจากอก ถอนหายใจยาว
ต่างรับรู้ได้ว่าคราวนี้หากไม่มีเรือนี้พาข้าม พวกเขาย่อมไม่อาจข้ามทะเลสาบนี้ได้ ที่นี่พิสดารและอันตรายนัก ทำให้พวกเขาล้วนรู้สึกสิ้นหวังอย่างหนักหน่วง!
ไม่นานนักพวกเขาก็ผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์
แม้โลกภายนอกจะอันตรายจนทำให้อริยะยังหวาดผวาได้ แต่บนเรือลำน้อยสีดำนี้กลับเหมือนอยู่ใต้การปกป้องของผนังสำริดกำแพงเหล็ก
เงาตะเกียงสีเหลืองนวลพร่างพร้อย พาให้ใจสงบ
“เดินทางคราวนี้จะไปถึงที่ไหนกันแน่”
หลินสวินลูบแหวนทองแดงที่อยู่บนนิ้วมือโดยไม่รู้ตัว นึกถึงสถานการณ์ครั้งแรกที่ได้เห็นเงาร่างไร้หัวนั้น แล้วก็นึกถึงภาพนองเลือดเป็นฉากๆ ที่ปรากฏขึ้นในสมองเมื่อครู่
นาง เป็นใครอีก
พวกเจ้าคางคกต่างก็คิดเรื่องบางอย่างในใจอยู่เช่นกัน
ก่อนมาพวกเขาไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าในถ้ำนรกเทพแห่งนี้จะน่ากลัวปานนี้
ที่นี่ผนึกศุภโชคเย้ยฟ้าอะไรไว้กันแน่
ซ่า!
ทะเลสาบเลือดสงบลงทีละน้อย มีเพียงเสียงคลื่นที่ไม้พายโบกกระทบส่งออกมา
ก็ในตอนนี้เองพวกหลินสวินถึงมองเห็นชายฝั่งทะเลสาบ ทัศนียภาพที่ได้เห็นกลับทำให้พวกเขานิ่งอึ้งไปหมด
ที่นั่นเป็นภูเขาวิญญาณเขียวขจีลูกหนึ่ง วิหคขับขานบุปผาส่งกลิ่น พฤกษาโบราณสูงเทียมฟ้า
แม้แต่เวิ้งฟ้ายังเป็นสีฟ้าครามสะอาด มีเมฆมงคลก้อนแล้วก้อนเล่าลอยละล่อง
แม้ยังไม่ได้ไปถึง ก็มีกลิ่นอายมงคลและสะอาดสดชื่นปะทะหน้า พาให้จิตใจปลอดโปร่ง
ในทะเลสาบนองเลือดเหมือนนรกอเวจี เต็มไปด้วยความพิสดารและน่าประหวั่นพรั่นพรึง
แต่ที่ชายฝั่งกลับเป็นภูผาธาราราวภาพเขียน ประหนึ่งแดนเทพผืนดินพิสุทธ์!
นี่เป็นสิ่งที่พวกหลินสวินล้วนคิดไม่ถึง ต่างตาเบิกกว้างนึกว่าปรากฏภาพมายา ดูไม่เหมือนจริงได้ปานนั้น
ระหว่างที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเรือน้อยสีดำก็หยุดลง คนแจวเรือโครงกระดูกก้าวไปข้างหน้า หยิบตะเกียงน้ำมันสีเหลืองนวลดวงนั้นลงมา
ทุกคนรู้ว่าได้เวลาขึ้นฝั่งแล้ว