Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1228 อานุภาพปีศาจสยบทั่วลาน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1228 อานุภาพปีศาจสยบทั่วลาน
ตึง! ตึง! ตึง!
ถานไถหลิ่วถูกกระแทกออกไปนอกระยะสิบกว่าจั้ง ทั้งยังถอยหลังต่ออีกหลายก้าวกว่าประคองร่างไว้ได้ หน้าตาอึดอัดจนคล้ำเขียวหาใดเปรียบ เส้นเลือดดำตรงหน้าผากปรินูน
ทุกคนในที่นั้นตื่นตระหนก
แต่ไม่รอให้พวกเขาตอบสนอง ถานไถหลิ่วก็ตะโกนก้องพุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง
ชิ้ง!
ในมือเขามีดาบศึกเจิดจ้าเล่มหนึ่ง ลายมรรคปรากฏ แสงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่านทั่ว ฟาดฟันออกไป
เพลงดาบมรสุมแปดทิศ!
ก็เห็นทิศทางที่คมดาบวาดผ่านขาวโพลนจ้าตาไปหมด ห้วงอากาศโดยรอบระเบิดกระจายเสียงดังสนั่น แตกออกจากกันเป็นรอยแยกน่าพรั่นพรึง
นี่คือท่าไม้ตายของถานไถหลิ่ว เป็นวิชาดาบที่พลังสังหารเกริกก้องสะท้านอดีตจวบจนปัจจุบัน
วิชาดาบ คือวิชามรรค!
หนึ่งดาบฟาดฟันออมา เหมือนดั่งมหามรรคตามติด พาให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน
การโจมตีนี้กลับทำให้นัยน์ตาหลินสวินเป็นประกาย ชือน้ำแข็งขาวหิมะตัวหนึ่งทะยานสู่ฟากฟ้า แผดเสียงดั่งมังกร ขดล้อมตัวกลางอากาศ
ตู้ม!
แสงดาบทั่วฟ้า แสงมรรคระเบิดแตก ในรัศมีพันจั้งเมฆพังทลายห้วงอากาศอลหม่าน
ทุกคนสูดหายใจเย็นเยียบ มีเพียงเห็นกับตาจึงจะเข้าใจ เทพมารหลินมีชื่อเสียงโจษจันอย่างวันนี้ได้ ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงเลย
ฟุ่บ!
ถานไถหลิ่วพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ชุดคลุมพญางูโบกสะบัด ผมยาวเริงระบำ ดาบศึกเล่มหนึ่งชักนำอานุภาพแห่งฟ้าดิน ก่อลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นที่เทพผีร่ำไห้ สรรพสิ่งดับสลาย
เพลงดาบหยินหยางเทพผี!
นี่ ก็เป็นวิชายอดสังหารเช่นกัน
อีกทั้งถานไถหลิ่วยังทุ่มสุดกำลังอย่างเห็นได้ชัด พลานุภาพน่าพรั่นพรึง กลิ่นอายเช่นนั้นบีบกดจนคนรอบข้างหายใจไม่ออก
หลินสวินยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ อักษรเคราะห์ตัวหนึ่งโฉบออกมา แปลงเป็นประทับปี้อั้น แผ่กลิ่นอายเจินหลงบีบกดจนฟ้าดินแถบนี้สั่นสะเทือนรุนแรง
ปึง!
ทั้งสองปะทะกัน แสงดาบกระจายทั่วราวทำจากเศษกระดาษ ส่วนถานไถหลิ่วก็เกือบถูกประทับปี้อั้นกดทับ หลบหนีอย่างอเนจอนาถ
เขารู้แล้วว่าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งกว่าที่เขาจินตนาการอยู่มาก เพียงแต่ตอนนี้เขายากจะลงจากหลังเสือแล้ว ได้แค่ฝืนสู้ต่อไป
เพียงพริบตาก็เห็นแสงดาบโลดแล่นไปทั่ว ประดุจแพรไหมหมื่นพันสายเริงระบำกลางอากาศ โหมกระหน่ำราวทะเลคลั่งพิโรธ มีอานุภาพปกคลุมทั่วทิศ!
แข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนหนังศีรษะชาวาบ
มกุฎราชันคนหนึ่งที่ก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ขั้นหนึ่ง ยามบุกโจมตีดุเดือด คนทั่วไปจะเทียบเคียงได้อย่างไร
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินสวินทุกอย่างนี้ล้วนเปล่าประโยชน์!
เพียงโคจรมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรก็ทำให้ตัวเขาเหมือนไม่อาจรุกล้ำ ทำลายการโจมตีของถานไถหลิ่วทีละอย่าง ดูผ่อนคลายและสบายอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก
และตั้งแต่ต้นจนจบเงาร่างหลินสวินไม่ขยับแม้แต่น้อย
ผู้สืบทอดของสำนักเอกอุเหล่านั้นอึ้งงันโดยสมบูรณ์
ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกถานไถหลิ่วตำหนิ ในใจยังรู้สึกละอายนัก คิดว่ามีถานไถหลิ่วอยู่ก็ไม่ต้องกลัวเทพมารหลินแล้ว
ไหนเลยจะคิดว่าตอนนี้ขนาดถานไถหลิ่วสู้สุดกำลัง ผลกลับสัมผัสไม่ได้แม้แต่ชายเสื้อของเทพมารหลิน!
ในความมืด สีหน้าของพวกหวังจื่ออิงแปรปรวนไม่หยุด
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดนั่งบนภูดูเสือกัดกัน มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นยิ่งนัก คิดว่าสามารถนั่งรอรับผลประโยชน์เหมือนเช่นชาวประมงที่มองดูนกปากซ่อมสู้กับหอยกาบได้
แต่ตอนนี้พวกเขากลับรู้แล้วว่า พวกเขาคิดผิด!
เสือสองตัวกัดกันอย่างน้อยที่สุดต้องฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเทพมารหลิน อย่างมากถานไถหลิ่วก็เป็นแค่พยัคฆ์เฒ่าที่ทำจากกระดาษตัวหนึ่งเท่านั้น
ถานไถหลิ่วไม่แข็งแกร่งหรือ
ไม่ ด้วยพลังต่อสู้ของเขาก็พอจะทำให้พวกหวังจื่ออิงหวาดกลัวอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องหลบซ่อนอยู่ในที่ลับนี้มาตลอด ไม่กล้าปรากฏตัวไปสู้กับถานไถหลิ่ว
แต่ตอนนี้ในการต่อสู้ถานไถหลิ่วกลับไม่ได้เปรียบแม้แต่น้อย นี่ได้เพียงพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่เขาที่ไม่แข็งแกร่ง หากแต่เป็นเทพมารหลินแข็งแกร่งเกินไป!
“มัวอึ้งงันอะไรอยู่ ลงมือพร้อมกันสิ!”
ถานไถหลิ่วตะโกนลั่นทันที เขาในตอนนี้หน้าคล้ำเขียวหาใดเปรียบ ดวงตาปูดโปนแทบถลนราวกับสัตว์ปีศาจที่โกรธจัด
เปรียบเทียบกับเขาที่อิ่มเอมยินดีจิตใจฮึกเหิมก่อนหน้านี้แล้ว ช่างแตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน
ตูม!
ผู้สืบทอดสำนักเอกอุอีกสี่คนไม่อาจคิดมากความแล้ว บุกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญ
พวกเขาต่างรู้ดีว่าเวลานี้หากไม่ลงมืออีก อย่าว่าแต่ครองหินไตรภพหยั่งรู้คัมภีร์โบราณนี้เลย แค่จะเอาตัวรอดยังยากนัก!
ฆ่า!
ทันทีที่ลงมือ เหล่าผู้สืบทอดสำนักเอกอุก็ใช้พลังเต็มกำลัง ไม่กล้ายั้งมือแม้แต่น้อย
เพียงพริบตาที่นั่นแสงศักดิ์สิทธิ์โหมกระหน่ำ แสงสมบัติพวยพุ่ง วิชามรรคอัศจรรย์ยากบรรยายและสมบัติส่องประกายละลานตาตัดกันไปมา กลายเป็นภาพอันน่าทึ่ง
ไม่อาจไม่ยอมรับว่าศักยภาพของสำนักเอกอุแข็งแกร่งยิ่ง ผู้สืบทอดสี่คนนี้แต่ละคนต่างมีพลังต่อสู้โดดเด่นเฉพาะทาง ไม่อาจดูหมิ่นได้ง่ายๆ
มีพวกเขาเข้าร่วม ถานไถหลิ่วพลันรู้สึกคลายความกดดันลงไม่น้อย
เหนือความคาดหมายของทุกคน ภายใต้สถานการณ์หนึ่งต่อห้าหลินสวินไม่เพียงแต่ไม่ตระหนก กลับเผยรอยยิ้มออกมาแทน “อย่างนี้สิค่อยเข้าท่าหน่อย”
ตูม!
เขาไม่ลังเลอีก เริ่มออกเคลื่อนไหว อานุภาพดั่งมังกรออกจากหุบเหว พุ่งขึ้นไปรับ
ที่สำแดงคือเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์
ที่ห้อมล้อมทั่วร่างคืออักษรเคราะห์มากมายซึ่งส่องประกายราวหล่อจากทองเทพ
ทั้งตัวประหนึ่งเทพมารออกสัญจร!
เวลานี้การต่อสู้ดำเนินมาถึงขั้นดุเดือดเป็นประวัติการณ์
‘เตรียมตัวให้พร้อม อีกเดี๋ยวไม่ว่าใครแพ้ใครชนะก็ต้องชิงโอกาสแย่งหินไตรภพมาให้ได้!’
ในที่ลับหวังจื่ออิงสูดหายใจลึก สื่อจิตรวดเร็ว
ในดวงตาคนอื่นต่างฉายแววเย็นเยียบ พยักหน้ารับคำ
‘จำไว้ ทันทีที่ลงมือต้องสู้สุดกำลัง โดยเฉพาะต้องระวังเทพมารหลินนั่น เจ้าหมอนี่เป็นหนามแข็งที่ยากจัดการคนหนึ่ง หากผูกพยาบาทกับเขา…’
หวังจื่ออิงยังคงไม่วางใจกำชับอีกครั้ง
เพียงแต่เขาเพิ่งพูดไปได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดชะงัก ลูกตาแทบถลนออกมา
ด้วยการต่อสู้ ณ ที่นั้นได้เกิดเหตุไม่คาดฝันอันน่าทึ่ง
ตูม!
ก็เห็นทั่วร่างหลินสวินมีแสงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่ง ปล่อยหมัดออกไปสี่ครั้งติดกัน แต่ละหมัดล้วนมีอานุภาพกวาดล้างฟ้าดิน ไม่อาจขัดขวาง
และเห็นผู้สืบทอดสำนักเอกอุสี่คนนั้นถูกซัดปลิวทีละคน จมูกปากกบเลือด ร่างกายแทบแหลกละเอียด ส่งเสียงร้องทุรนทุรายโหยหวน
การล้อมโจมตีสลายไปแต่เพียงเท่านี้
ทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วลมหายใจ!
หวังจื่ออิงมือเท้าเย็นไปหมด แม้แต่การรุมโจมตีก็กำราบความดุร้ายของเทพมารหลินไม่ได้หรือ
เวลานี้พวกพ้องของเขาก็ถูกทำให้หวั่นหวาด ตกใจจนหน้าถอดสี ในใจเริ่มสั่นคลอนแล้ว
ก่อนหน้านี้ยังคิดฉวยโอกาสบุกโจมตีชิงศุภโชค
ไหนเลยจะคิดว่าความแข็งแกร่งของเทพมารหลินจะเหนือการคาดเดาของพวกเขาโดยสิ้นเชิง!
นี่จะให้พวกเขาลงมือได้อย่างไร
เปรียบเทียบกันแล้ว คนที่ตื่นตระหนกกว่าคือถานไถหลิ่ว หลินสวินก่อนหน้านี้แน่นิ่งไม่ขยับ เป็นฝ่ายรับการโจมตีของเขามาตลอด
ด้วยเหตุนี้แม้เขาจะรู้ดีว่าหลินสวินแข็งแกร่งยิ่ง แต่แข็งแกร่งมากเท่าไรนั้นกลับไม่แน่ใจ
แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว!
เผชิญหน้าการโจมตีของหลินสวิน เขารู้สึกเหมือนเผชิญหน้าการกดดันของเทพสวรรค์องค์หนึ่ง มีความรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออกอย่างไม่เคยมีมาก่อน สัมผัสได้ถึงความไร้เรี่ยวแรงหาใดเปรียบ!
ต่อให้ทุ่มเททุกอย่างก็ไม่อาจสั่นคลอนเพียงเสี้ยว!
ทำไมเขา… ถึงแข็งแกร่งเช่นนี้
ไม่รอให้ถานไถหลิ่วเข้าใจ พลังหมัดเรียบง่ายแต่ทรงพลังสายหนึ่งก็ทะยานมาถึง มีอานุภาพกดอัดสรรพสิ่ง
แค่เพียง ‘อานุภาพ’ ที่แฝงอยู่ในพลังหมัดนั้นก็ทำเอาถานไถหลิ่วขนพองสยองเกล้า รู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างที่สุด
เขาถอยหนีโดยไม่ลังเล รวดเร็วถึงขีดสุด
ปึง!
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นร่างกายเขาก็ยังถูกพลังหมัดกวาดโดน รู้สึกเหมือนถูกหัตถ์สวรรค์ตบเข้าฉาดหนึ่งทันที อวัยวะภายในเกือบแหลกละเอียด ถูกกระเทือนจนเลือดออกเจ็ดทวาร กล้ามเนื้อและกระดูกทั่วร่างฉีกแตกไปไม่รู้กี่ท่อน
เห็นภาพนี้แล้วพวกหวังจื่ออิงอยากจะหันหัวหนีไปทันที!
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
แค่มองจากไกลๆ ยังทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความน่าสะพรึงยากจะเอ่ย
“ไป!”
ถานไถหลิ่วแผดคำราม ริมฝีปากยังคงหลั่งเลือด พาเหล่าผู้สืบทอดของสำนักเอกอุหนีไปทั้งอย่างนั้น
ไม่อาจสู้ต่อไปได้อีก!
ความแข็งแกร่งของหลินสวินได้ทำลายปณิธานแห่งการต่อสู้ของพวกเขาแล้ว มีหรือจะให้พวกเขากล้าเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงอีก
“บอกหวังเสวียนอวี๋ด้วยว่าข้ามีเรื่องอยากคุยกับเขาซึ่งหน้า ให้เขาเตรียมตัวให้ดี!”
หลินสวินไม่ไล่ตามไป
ตอนนั้นในเจดีย์หินหวังเสวียนอวี๋เคยชิงเพลิงมรรคฟ้าประทานดวงหนึ่งที่หลินสวินเล็งไว้ไป แต่ไม่ได้ลงดาบสังหารเจ้าคางคก
แน่นอนว่าหลินสวินไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้
เขาแบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน ไม่มีทางลดตัวไปทำเรื่องอย่างการเข่นฆ่าโดยไม่มีมูลเหตุ
พวกถานไถหลิ่วหนีไปไกลแล้ว เงาร่างหายลับจากไป ก็ไม่รู้ว่าจะได้ยินคำพูดของหลินสวินหรือไม่
แต่ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้หลินสวินต้องทวงคืนความเป็นธรรม ระบายความแค้นให้เจ้าคางคก!
เงาร่างหลินสวินลอยล่องลงบนหินไตรภพ เงยหน้ามองไปในความมืดแล้วกล่าว “ทุกท่าน พวกเจ้าไม่ได้อยากช่วงชิงศุภโชครึ เริ่มกันได้แล้ว”
สีหน้าของพวกหวังจื่ออิงเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูทันที ลังเลไม่หยุด
หากจากไปเช่นนี้พวกเขาคงยากจะยอมรับอย่างยิ่ง
แต่หากไม่ไป พวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะหลินสวินได้ เพียงพริบตาในใจก็ว้าวุ่นหาใดเปรียบ
“เมื่อครู่พวกเจ้าไม่ได้บอกว่าข้าไม่รู้จักเห็นค่าความหวังดีหรอกหรือ ทั้งยังข่มขู่ข้าไม่หยุด ทำไมตอนนี้ถึงขี้ขลาดเสียเล่า”
น้ำเสียงหลินสวินราบเรียบ ไม่ปกปิดความหยามเหยียดของตนแม้แต่น้อย
“สหายยุทธ์หลิน ก่อนหน้านี้พวกเราก็แค่อยากร่วมมือกับเจ้า ทุกคนผูกมิตรเป็นสหายกันเท่านั้น ทำไมเจ้าต้องพูดจาแดกดันด้วย”
หวังจื่ออิงสูดหายใจลึก สีหน้าอึมครึมกล่าว
“หึๆ”
หลินสวินหัวเราะแล้ว นัยน์ตาดำเยียบเย็น กล่าวว่า “อย่านึกว่าข้าไม่รู้ความคิดของพวกเจ้า ก็แค่อยากรอเก็บผลประโยชน์เท่านั้น ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้า พวกเจ้ากล้ามาสู้กันไหม”
น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับมีความหยิ่งทะนงสะท้อนกังวานทั่วอากาศแถบนี้
หวังจื่ออิงอ้ำอึ้งไปทันใด สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด
“เทพมารหลิน เจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับพวกเราจริงรึ”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดือดจัด รู้สึกเสียหน้าที่ถูกหลินสวินดูหมิ่นเกินไป
“ไสหัวไป!”
หลินสวินพลันแผดเสียงดังสนั่น เสียงราวผูเหลาคำรามก้องฟ้าดิน สะเทือนจนร่างชายหนุ่มซวนเซ สีหน้าซีดเผือด จิตวิญญาณถูกจู่โจมเกือบก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น
นี่ดูน่าอเนจอนาถและอักอ่วนเกินไปแล้ว ทำให้ชายหนุ่มผู้นี้คับแค้นและอับอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี
“คนอย่างเจ้าคู่ควรเป็นศัตรูของข้ารึ”
หลินสวินยิ้มเยาะ
“พวกเราไป!”
หวังจื่ออิงกัดฟันกรอด สูดหายใจลึกตัดสินใจ สถานการณ์ไม่ดี พวกเขาถูกอานุภาพของหลินสวินทำให้หวั่นหวาด ต่อให้สู้ด้วยก็ไม่มีทางชนะ
“ใครให้พวกเจ้าไป” หลินสวินกล่าวเรียบๆ
ประโยคเดียวทำเอาพวกหวังจื่ออิงหน้าเปลี่ยนสี ใจตกไปที่ตาตุ่ม รู้ว่าเทพมารหลินไม่คิดปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้แน่
“คัมภีร์โบราณหินสลักนี้เจ้าก็ได้ไปแล้ว พวกข้าเองก็ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อย เจ้ายังจะเอาอะไรอีก”
หวังจื่ออิงหน้าคล้ำเขียว
“โทษตายละเว้นได้ โทษเป็นยากจะหนี คนอย่างข้าแบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจนเสมอ พวกเจ้าเคยล่วงเกินข้าแล้วจากไปเช่นนี้ ผู้คนในใต้หล้าจะมองข้าหลินสวินอย่างไร”
นัยน์ตาหลินสวินเยียบเย็นฉายแววอสนี เสียงก้องสะท้านทั่วลาน
…………………