Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1343 มองเหล่าราชันประหนึ่งไร้ตัวตน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1343 มองเหล่าราชันประหนึ่งไร้ตัวตน
หลินสวิน!
สิบปีก่อน ชื่อนี้เป็นที่ร่ำลือทั่วดินแดนรกร้างโบราณ ถือเป็นพวกโดดเด่นสะดุดตาคนหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์
เขาถือกำเนิดในโลกชั้นล่าง ต่อสู้ฟันฝ่าเพียงลำพัง ผงาดขึ้นจากการกวาดล้างสังหาร ถูกคนทั่วหล้าขนานนามให้ว่า ‘เทพมารหลิน’
แม้จะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ไม่ปรากฏตัวในโลกมานานปีอย่างพวกอูจินหวน ฮวาซิงฉวี่ ก็ยังเคยได้ยินชื่อของคนรุ่นหลังคนนี้ด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ในฐานะพวกที่เหยียบย่างระดับอมตะเคราะห์ สิ่งที่พวกเขาสนใจไม่ใช่หลินสวิน แต่เป็นอริยะหญิงลึกลับที่อยู่เบื้องหลังหลินสวินต่างหาก!
สิบปีก่อนเคยมีเรื่องใหญ่สะเทือนใต้หล้าเรื่องหนึ่ง หญิงลึกลับผู้หนึ่งต้อนอริยะเหมือนเดรัจฉาน เหยียบทำลายหกขุมอำนาจใหญ่ที่รวมถึงสำนักกระบี่เทียมฟ้า เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ และแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์
จุดประสงค์ง่ายดายยิ่ง เพื่อออกหน้าแทนหลินสวิน!
และตอนนั้นจากรากฐานของขุมอำนาจใหญ่ทั้งหก กลับได้แต่ก้มหัวอยู่ต่อหน้าหญิงลึกลับคนนั้น ปล่อยให้นางจากไปโดยสวัสดิภาพ
ความครึกโครมของเรื่องนี้สามารถทำให้อริยะคนใดก็ตามในโลกต่างตกตะลึง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกอูจินหวน
เพียงแต่พวกเขากลับคิดไม่ถึง ว่าคนรุ่นหลังอย่างหลินสวินจะถึงกับฆ่าลูกหลานทั้งกลุ่มในขุมอำนาจของพวกเขาภายในแดนมกุฎ!
“เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่”
บนใบหน้าผอมแห้งของอูจินหวนเจือกลิ่นอายปะทุดุดัน นางใกล้จะอกแตกอยู่รอมร่อแล้ว
สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างฮวาซิงฉวี่ ทั่วเฉิงจื่อก็เป็นเช่นนี้ด้วย
ไม่นานพวกเขาก็ล่วงรู้ความจริงของเรื่องราว หนำซ้ำความจริงเหล่านี้ก็ปกปิดไม่ได้แม้แต่น้อย
ภายในแดนเผาเซียน ใครบ้างไม่รู้ว่าในปีแรกที่เทพมารหลินเข้าสู่เมืองเผาเซียน ก็กวาดล้างถิ่นที่พำนักของขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทอง เผ่าวิญญาณสมุทร เขาวิญญาณหมื่นอสูรจนเกลี้ยง
ตอนนั้นเลือดอาบย้อมเมืองเผาเซียน กลิ่นคาวเลือดอบอวลไม่สร่างถึงสิบวัน!
“เจ้าเดรัจฉานแซ่หลินนี่สมควรตายหมื่นหน!”
อูจินหวนส่งเสียงกรีดร้องอย่างโกรธแค้นหาใดเปรียบออกมา
“แค้นนี้ไม่อาจปรานีได้แล้ว!”
ฮวาซิงฉวี่หน้าดำคล้ำเขียว จิตใจช้ำชอก
“แล้วตัวเขาล่ะ”
จากนั้นไอสังหารของพวกเขาพวยพุ่ง สายตาจับจ้องไปยังอุโมงค์อากาศ กลิ่นอายทั่วร่างแต่ละคนระเบิดปะทุ เหมือนรอจับคนมาเขมือบ
ในที่นั้นบรรยากาศเงียบกริบ เหล่าผู้กล้าใจสั่นสะท้าน
มีเพียงเสียงลมพัดหวิวๆ บนสนามรบโบราณ ยิ่งเพิ่มบรรยากาศเงียบสงัดให้ดูวังเวงขึ้นมาอีก
‘เจ้าเฒ่าพวกนี้ดูท่ายังไม่รู้สภาพตัวเองแน่ชัด พวกเขายังคิดว่านี่คือเมื่อสิบปีก่อนอยู่จริงๆ หรือ’
ในที่นั้นมีคนแค่นหัวเราะในใจเช่นกัน
นี่เป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎระดับราชันกลุ่มหนึ่ง ทันทีที่ปรากฏตัวก็ได้รับการต้อนรับอย่างเอิกเกริกจากผู้อาวุโสในสำนัก
และมีแต่พวกเขาที่รู้ดี ว่าหลินสวินในตอนนี้น่าสะพรึงปานใด
เพียงแต่พวกเขาไม่ได้เอ่ยเตือน ด้วยไม่เกี่ยวข้องกับตนจึงไม่สนใจ และไม่อยากเข้าไปเอี่ยวในการต่อสู้นี้
ถึงอย่างไรโลกภายนอกสุดท้ายก็ต่างจากแดนมกุฎอยู่ดี
เบื้องหลังสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกอูจินหวนล้วนมีขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งหนุนอยู่ ไม่อาจไม่ทำให้ผู้คนกริ่งเกรง
ขณะเดียวกันมกุฎราชันเหล่านี้ก็มีบางส่วนไม่ได้มองสถานการณ์ของหลินสวินในแง่ดีเท่าไร
หากให้ขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้นรู้เรื่องราวที่เขาก่อขึ้นในแดนมกุฎ เกรงว่าคงโกรธจนอริยะออกโรงโจมตีเอง!
หลินสวินอาจจะแข็งแกร่งอย่างที่สุด ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งแห่งแดนมกุฎ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของอริยะ
“หลินสวินออกมาแล้ว!” มีคนตะโกนดังลั่น
สวบ!
และพร้อมกันนั้นฟากฟ้าเหนือเมืองนำทางนั่น เงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเดินออกมาจากอุโมงค์อากาศ อาภรณ์โบกพลิ้ว บุคลิกปราศจากมลทิน เป็นหลินสวินนั่นเอง
ชั่วขณะเดียวสายตาทั่วลานต่างมองไป บรรยากาศก็ยิ่งเงียบกริบและกดดันมากขึ้น
อากาศดุจดั่งจะควบแข็ง
“เจ้าก็คือเด็กเหลือขอแซ่หลิน?”
ยามนี้อูจินหวนทนไม่ไหวเป็นคนแรก ส่งเสียงเย็นเยียบออกไป ไอสังหารน่าสะพรึงก็แผ่ออกจากร่างของนางประหนึ่งครอบคลุมฟ้าดินก็ไม่ปาน
สีหน้าหลินสวินราบเรียบ กวาดสายตามองทั่วลาน สุดท้ายก็มองไปที่ร่างสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันอย่างพวกอูจินหวน ฮวาซิงฉวี่ทั้งกลุ่ม
“แค่พวกเจ้าเหล่านี้เองหรือ” เขาขมวดคิ้ว คล้ายแปลกใจอยู่บ้าง
สิ่งนี้พาให้ทั่วลานตะลึงอึ้งค้าง สมกับเป็นเทพมารหลิน ตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงระดับนี้ยังหน้าไม่เปลี่ยนสี อาจหาญเปี่ยมล้น
“เจ้าเดรัจฉานนี่ ยังกล้าปากดีอีก!”
พวกฮวาซิงฉวี่ ทั่วเฉิงจื่อ ซางฮูหยินต่างยบันดาลโทสะแล้ว “คิดจริงๆ หรือว่ามีอริยะหญิงลึกลับคนนั้นคอยหนุนหลังเจ้า แล้วพวกข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้า”
หลินสวินกล่าวเรียบเฉย “พวกเจ้าพูดผิดแล้ว ตอนนี้ข้าเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชันคนหนึ่ง ต่อกรกับพวกเจ้า… ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
ประโยคเดียวเผยท่าทางเหยียดหยันเต็มเปี่ยม
บุคคลขอบเขตมกุฎส่วนหนึ่งต่างลอบทอดถอนใจในใจ นี่ก็คือหลินสวิน ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบใดล้วนอาจหาญเต็มเปี่ยม
แต่สำหรับพวกอูจินหวนแล้ว นี่ก็คือการท้าทายความน่ายำเกรงของพวกเขาอย่างใหญ่หลวง!
คนรุ่นหลังคนหนึ่ง เคี่ยวกรำในแดนมกุฎสิบปีก็กล้ามองข้ามหัวพวกเขาเหล่านี้เสียแล้ว?
และการกระทำในเวลานี้ของหลินสวิน ก็เป็นการมองข้ามพวกเขาจริงๆ!
เขาเพียงทอดสายตามองฟ้าดินทั่วสี่ทิศครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหยียบย่างบนห้วงอากาศ เดินมุ่งหน้าไกลออกไป
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่สนใจเสียงร้องโหวกเหวกของพวกอูจินหวนอีกเลย
ท่าทางเพิกเฉยมองข้ามเช่นนี้ของเขา พริบตาเดียวก็จุดชนวนไอสังหารที่ระงับไม่อยู่ตั้งแต่ต้นของพวกอูจินหวนทันที
“เจ้าเดรัจฉาน! ไปตายซะ!”
อูจินหวนกรีดร้อง ทั่วร่างเปล่งแสงพลางพุ่งกระโจนออกไป ฝ่ามือหนึ่งยื่นคว้ารุนแรง กรงเล็บยักษ์สีทองเจิดจ้าไร้ทัดเทียมสายหนึ่งควบรวม แหวกอากาศตะปบไปทางหลินสวิน
ตูม!
ห้วงอากาศล้วนแตกทลายเป็นเสี่ยงๆ
ผู้แข็งแกร่งละแวกใกล้เคียงไม่มีใครไม่ถอยหลบ ไม่ยินยอมถูกหอบม้วนเข้าไปในการเข่นฆ่านี้
น่าเสียดาย เผชิญหน้ากับการโจมตีน่าสะพรึงยิ่งเช่นนี้ หลินสวินยังคงเพิกเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้สา เพียงแค่มุ่นหัวคิ้วมองไปไกลๆ ในใจไม่เข้าใจยิ่ง
เขาย้อนกลับมาดินแดนรกร้างโบราณครั้งนี้ สิ่งที่ควรค่าให้เขาสนใจก็คืออริยะ ทว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่พบกลิ่นอายของอริยะคนใดเลย
นี่เห็นได้ชัดว่าออกจะผิดปกติ
ปัง!
กรงเล็บยักษ์สีทองนั่นยังไม่ทันเฉียดใกล้หลินสวินก็ถูกพลังไร้รูปสายหนึ่งสลายทิ้ง ละอองแสงระเบิดแตก
สิ่งนี้ทำให้อูจินหวนอึ้งงันสีหน้าเคร่งขรึม พลันตระหนักได้ว่าหลินสวินคงจะไม่ใช่พวกระดับราชันทั่วไป มิน่าถึงได้กล้ามั่นใจไร้กลัวเกรงเช่นนี้
“ฆ่า!”
อีกด้านหนึ่งฮวาซิงฉวี่เองก็อดไม่อยู่ลงมือแล้ว โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เงามายาสัตว์ปีศาจนับพันหมื่นพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เบียดเสียดแน่นขนัด แปรเปลี่ยนเป็นสายน้ำหลากพุ่งใส่หลินสวิน
ตูมโครม!
รอบกายหลินสวินแสงมรรคเคลื่อนโคจร การโจมตีที่ดูเหมือนน่ากลัวอย่างที่สุดนี้ก็แตกสลายท่ามกลางเสียงสนั่นหวั่นไหว มลายหายไปในห้วงอากาศ
ทอดมองจากไกลๆ ทั้งตัวเขาประดุจหมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกราย!
สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกอูจินหวน ฮวาซิงฉวี่ต่างหัวใจสะท้าน ในสมองได้สติขึ้นมาไม่น้อย ตระหนักได้ว่าคู่ต่อสู้ชักเริ่มไม่ชอบมาพากล
แต่จากสายตาของพวกเขาที่มองไป กลับไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายคุกคามใดๆ จากตัวหลินสวินสักนิด ราบเรียบเกินไปแล้ว
นี่มีเพียงความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
อีกอย่างก็คือ ปราณของอีกฝ่ายหนาแน่นและน่าสะพรึงเกินไป ทำให้พวกเขามองตื้นลึกไม่ออก!
“ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ก็ต้องรั้งตัวเจ้าเดรัจฉานนี่ไว้ให้ได้”
ซางฮูหยินออกโจมตีแล้ว เรียกดาบบินสีเขียวมรกตเล่มหนึ่งออกมา เสียงวู้มดังขึ้นหนึ่งคราก็กรีดเฉือนห้วงอากาศประหนึ่งกรีดกระดาษ ฉีกทึ้งห้วงอากาศออกเป็นทางยาวสายหนึ่ง คมกริบจนน่าสยดสยอง
นี่คืออาวุธราชันประจำตัวนาง ถูกฟูมฟักนานถึงพันปี อานุภาพย่อมเหนือธรรมดา
สวบ!
ดาบบินเขียวมรกตบั่นเฉือนลงมา เร็วประหนึ่งสายฟ้าสีเขียว แสบตาจนผู้คนต่างลืมตาไม่ขึ้น
การโจมตีนี้ทำเอาผู้แข็งแกร่งมากมายในที่นั้นต่างหวาดผวา
พลังของราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด มีหรือจะธรรมดาทั่วไป
ทว่าสิ่งที่ทำให้คนนับไม่ถ้วนปากอ้าตาค้างก็คือ หลินสวินยกมือขึ้นเหมือนเด็ดดอกไม้ คว้าดาบบินเขียวมรกตเล่มนั้นไว้ในมือ
การเคลื่อนไหวสบายๆ เป็นธรรมชาติ เรียบง่ายธรรมดา กลับพาให้ทั่วลานต้องหันมอง สูดหายใจเฮือก
วู้ม!
ดาบบินเขียวมรกตนั่นดิ้นขลุกขลักอย่างรุนแรงอยู่ในฝ่ามือหลินสวิน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้น
ไกลออกไปซางฮูหยินหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่แล้ว
“พวกเจ้า รู้หรือไม่อะไรที่เรียกว่ามกุฎราชัน”
หลินสวินหันตัวไป เอ่ยถามราบเรียบ
พวกอูจินหวนตกใจแกมสงสัย หยั่งเชิงจนถึงตอนนี้ทำให้พวกเขาเยือกเย็นลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ตระหนักได้ว่าท่าไม่ดีสักเท่าไร
ผู้ที่สามารถฝึกปราณจนถึงระดับพวกเขา ไม่มีใครโง่งมสักคน
โดยเฉพาะตอนที่เห็นหลินสวินคว้ามือสบายๆ หนึ่งครา ก็ควบคุมอาวุธราชันประจำตัวของซางฮูหยินได้อย่างแน่นหนา พวกเขาก็เข้าใจในทันที
หลินสวินในตอนนี้ไม่ใช่คนรุ่นหลังที่พวกเขาจะเหยียดหยันกดข่มได้อีกแล้ว แต่เป็นตัวตนในขอบเขตมกุฎระดับราชันที่แท้จริงคนหนึ่ง!
สิ่งที่ทำให้ในใจพวกเขากลัดกลุ้มที่สุดคือ ถึงแม้ช่วงเวลาฝึกปราณของพวกเขาจะเนิ่นนาน แต่กลับไม่รู้และไม่เคยได้สัมผัสอย่างแท้จริง ว่าอะไรที่เรียกว่าพลังของขอบเขตมกุฎระดับราชัน
และเพราะเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ก่อนหน้านี้พวกเขากล้าลงมืออย่างห้าวหาญไร้เกรงกลัว
“หลินสวิน เจ้าฆ่าศิษย์ทั้งหมดในขุมอำนาจพวกข้า ต่อให้เจ้าเป็นคนที่เหยียบย่างระดับมกุฎราชันคนหนึ่ง ก็ยากจะพ้นความตายไปได้!”
ทั่วเฉิงจื่อเอ่ยปากเยียบเย็น “หากตอนนี้เจ้ายอมโดยดี บางทีพวกเราอาจจะให้โอกาสเจ้ากลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่อีกครั้ง”
ถึงแม้น้ำเสียงจะเลือดเย็น แต่ใครต่างก็ฟังออก ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปแล้ว ไม่กล้ายโสโอหังอีก กล้าเพียงแค่พูดจาข่มขู่เช่นนั้น
แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง ต่อให้หลินสวินจะเป็นระดับมกุฎราชัน แต่เขาจะเอาอะไรไปสู้กับขุมอำนาจใหญ่พวกนั้น
“ก็จริง พวกเจ้าฝึกปราณจนป่านนี้ยังไม่เคยพบเห็นขอบเขตมกุฎระดับราชันมาก่อน ย่อมไม่รู้ว่าขอบเขตนี้หมายถึงอะไรเป็นธรรมดา ข้าช่างถามเหลวไหลนัก”
หลินสวินหัวเราะหยันตัวเอง
แต่ประโยคนี้พอตกถึงหูพวกอูจินหวน กลับเสมือนกำลังหัวเราะเยาะความเบาปัญญาของพวกเขา ทำให้สีหน้าพวกเขาไม่น่าดูถึงขีดสุด
มีเพียงราชันที่อยู่ในขอบเขตมกุฎเช่นเดียวกันพวกนั้น ถึงจะเข้าใจความรู้สึกของหลินสวินที่สุด ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้
เจ้าเฒ่าพวกนี้เกรงว่ายังไม่ทันตระหนักได้ ว่ายุคสมัยที่พวกเขาเป็นตัวแทนนั้น นับแต่นี้ต่อไปจะกลายเป็นอดีตและถูกพัดเลือนหายไป
ดินแดนรกร้างโบราณในภายภาคหน้า จะต้องมีบุคคลขอบเขตมกุฎมาคอยชี้นำอย่างแน่นอน!
“เจ้าเดรัจฉานน้อย ในอาณาเขตเผ่าอีกาทองของข้ายังกล้าจองหองปานนี้ ข้าว่าเจ้าคร้านจะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ!”
ความมั่นใจของอูจินหวนเปี่ยมล้น เพราะหุบเขาตะวันคล้อยที่เป็นแหล่งพำนักของเผ่าอีกาทองก็อยู่ห่างออกไปแปดพันลี้เท่านั้น
และเป็นเวลานี้ที่หลินสวินลงมือแล้ว
ชิ้ง!
กลางฝ่ามือดาบบินเขียวมรกตเล่มนั้นส่งเสียงหึ่งๆ พุ่งโฉบออกมาโดยพลัน เร็วจนน่าเหลือเชื่อ และดุดันถึงขั้นเกินกว่าจินตนาการ
พรวด!
ต่อมาหัวของหญิงชราอย่างอูจินหวนก็ลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ เลือดดั่งน้ำพุสาดกระเซ็น
พริบตานั้น สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดคนหนึ่งก็ถูกสังหารทั้งอย่างนี้!
เรียบง่ายสบายๆ บั่นเฉือนศัตรูในพริบตา ภาพนองเลือดที่เหนือความคาดหมายระดับนี้ซัดสะเทือนทั่วลานโดยพลัน
“เจ้า…”
ฮวาซิงฉวี่จากเขาวิญญาณหมื่นอสูรหน้าเปลี่ยนสีทันควัน เพียงแต่เขาเพิ่งคิดจะพูดอะไรก็รู้สึกเจ็บปวดที่ลำคอ เบื้องหน้าดำมืด สูญเสียสติครองตัวโดยพลัน
และหัวของเขาก็ลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ ลากเป็นเส้นโค้งที่งดงามสยดสยองสายหนึ่ง