Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1472 ซากศพราชันอริยะ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1472 ซากศพราชันอริยะ
โครม!
พอชายหนุ่มจักจั่นทองจากไป ตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์เก่าแก่นั้นก็พังทลายสนั่นหวั่นไหว แปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นควันเต็มฟ้ามลายหายไปด้วย
หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้น มองดูทุกอย่างนี้ อารมณ์ความรู้สึกว้าวุ่นไม่หยุด
ประสบการณ์เข้าสู่ป่าต้นหม่อนคราวนี้ก็ดูเกินจริง เหมือนฝันที่มีแสงสีพิสดารน่าเหลือเชื่อ
แรกสุดก็ตกไปในหุบเหวหมื่นเคราะห์ ชักนำตัวดุร้ายน่ากลัวเจ็ดตัวด้วยโคมไร้มลทินให้ติดตามมาตลอดทาง
ต่อมาหลินสวินถึงรู้ว่าตัวดุร้ายน่ากลัวเจ็ดตนนี้ ถึงกับเป็นบุคคลแกร่งกล้าที่ปกป้องมรรคให้มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ในตอนนั้น
แต่ละคนล้วนมีที่มาที่ไปใหญ่ยิ่ง!
เพียงแต่เพราะถูกพลังต้องห้ามกำราบ จึงทำให้พวกเขาเปลี่ยนเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง ไม่อาจปลุกสติของตนเองให้ตื่นได้
แล้วก็เพราะอาศัยโคมไร้มลทิน จึงทำให้พวกเขาคืนสติกลับมา เสาะหา ‘ทางหวนคืน’ จนพบ
ก่อนจากไป พวกเขาแต่ละคนได้มอบ ‘ของที่ระลึก’ ให้หลินสวินชิ้นหนึ่ง
ชายหนุ่มจักจั่นทองบอกว่า ในอนาคตของที่ระลึกเหล่านี้จะมีประโยชน์มาก
กระทั่งมาถึงหน้าตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ หลินสวินได้เห็นศึกกึ่งจักรพรรดิที่แท้จริง และยังได้พบคนใหญ่คนโตที่น่าครั่นคร้ามเหลือคณาคนแล้วคนเล่าด้วย
ผีเสื้อราตรีสีเลือดที่แปลงกายเป็นชายหนุ่มชุดขาวนามเฟยหลัน บรรพจารย์บัวโลหิตที่รูปร่างเหมือนเด็ก ศีรษะมีใบบัวสีเลือดใบหนึ่ง ดอกกระบี่พันปีกที่กลีบดอกแผ่ปราณกระบี่พร่างพรายมากมาย…
ทุกอย่างล้วนทำให้หลินสวินรู้สึกสั่นสะท้าน จิตวิญญาณกระทบกระเทือน
จวบจนชายหนุ่มจักจั่นทองปรากฏตัว กลับทำให้หลินสวินรู้สึกทอดถอนใจที่ ‘อ่านหนังสือมาสิบปี สู้ฟังคำวีรชนครั้งหนึ่งไม่ได้’
อธิบายระดับการฝึกปราณ บรรยายวิถีบรรลุอริยะ ในการพูดคุยที่ดูเหมือนเรื่อยเฉื่อยตามใจ ความจริงแล้วเป็นการไขข้อกังขาที่ไม่ด้อยไปกว่าได้เรียนรู้จากการเผยแผ่มรรค
จากนั้นก็ได้ขึ้นบันไดหินเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น ส่งผลให้พลังหลอมกายแปรสภาพระหว่างการเคี่ยวกรำด่านแล้วด่านเล่า เหยียบย่างสู้ระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้า
ท้ายที่สุด ได้ปลุกอภินิหารพรสวรรค์ ‘หยุดเวลา’ ที่เบื้องหน้าประตูใหญ่ตำหนักจักรพรรดิในคราวเดียว!
พูดได้ว่าการตื่นขึ้นของอภินิหารหยุดเวลาเป็นหนึ่งในผลเก็บเกี่ยวชิ้นใหญ่ที่สุดของหลินสวินคราวนี้ เพราะพลังของอภินิหารหยุดเวลาช่างเย้ยฟ้าและน่าหวาดหวั่นเกินไปจริงๆ
จากนั้นด้วยการนำของชายหนุ่มจักจั่นทอง หลินสวินได้เห็นโต๊ะและเบาะรองนั่งที่ติดตามมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์มาตลอดในเส้นทางฝึกปราณ และได้รู้เบาะแสในอดีตของมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์บางประการ…
จวบจนได้เห็นชามหมื่นเคราะห์แปรนภา หลินสวินจึงรู้ว่า ศาสตราจักรพรรดิที่แท้จริงชิ้นหนึ่ง ถึงกับสามารถแปลงเป็นโลกอันอัศจรรย์น่าเหลือเชื่อแห่งหนึ่งออกมาได้…
นรกหมื่นเคราะห์!
และที่นรกหมื่นเคราะห์ ทำให้เขาสลายเคราะห์มรรคตัดขาดที่ติดอยู่ในใจได้อย่างปลอดภัยด้วยการยืมมือเหล่ากึ่งจักรพรรดิ
จ้าวหยวนจี๋ก็อาศัยโอกาสนี้ชิงจุดเปลี่ยนใหญ่ และสลายเคราะห์พิฆาตมรรค การจะบรรลุระดับจักรพรรดิก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
ชายหนุ่มจักจั่นทองก็อาศัยโอกาสนี้ทำลายเคราะห์กักขัง ทะยานผ่านอากาศจากไป เหยียบย่างขึ้นไปสู่ทางเดินโบราณฟ้าดาราอันลึกลับนั้น…
ทั้งหมดนี้ต่างดูน่าเหลือเชื่อได้ปานนั้น
แต่ตอนนี้พอหลินสวินมาคิดดูกลับรู้สึกกลายๆ ว่าหลังจากชายหนุ่มจักจั่นทองปรากฏตัว เรื่องทั้งหมดนี้ก็ทำให้รู้สึกว่าเขาวางแผนไว้เสร็จสรรพ กระทำการเป็นขั้นเป็นตอนราวกับอยู่ในการอนุมานและควบคุมของเขามานานแล้ว
ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกกระวนกระวายหรือจิตใจไม่สงบสักนิด และไม่ได้ทำให้หลินสวินตื่นตระหนกหรือรู้สึกเหนือความคาดหมาย
นี่ก็ดูน่าเหลือเชื่ออยู่ในที
คนบางคน พอยืนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้รู้สึก ‘สงบใจ’ ราวกับไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่ใช่ปัญหายุ่งยากอีกแล้ว!
“เป็นคนยอดเยี่ยมคนหนึ่งจริงๆ…”
นิ่งเงียบมาครู่ใหญ่ หลินสวินก็เอ่ยพึมพำอย่างอดไม่ได้ บนตัวชายหนุ่มจักจั่นทองมีพลังที่ทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสและสงบใจได้โดยไม่รู้ตัว
ไม่ได้เกี่ยวกับที่เขาจะเป็นบุคคลระดับจักรพรรดิหรือไม่
“ผู้อาวุโส เรื่องที่ท่านฝากให้ทำ ข้าจะต้องทำให้ได้”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นำใบไม้หิมะน้ำแข็งที่อยู่ในฝ่ามือใบนั้นเก็บเข้าไปในเจดีย์สมบัติไร้อักษรอย่างระมัดระวัง
ใบไม้ใบนี้จะมีประโยชน์หลังจากการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนมาเยือน!
ผ่านไปครู่หนึ่งหลินสวินก็หันกายจากไป
ควรจากไปแล้ว จุดเปลี่ยนใหญ่ในป่าต้นหม่อนคราวนี้ปิดฉากลง อยู่ต่อก็ไม่มีความหมายแล้ว
หลินสวินเดินเลียบไปตามทางเดิมอย่างระมัดระวัง
ตอนที่เข้ามามีตัวดุร้ายที่แปรสภาพมาจากบุคคลน่าหวาดหวั่นเจ็ดคนคุ้มครอง ทำให้หลินสวินอยู่รอดปลอดภัยตลอดทาง
แต่ตอนนี้ หลินสวินไม่กล้าแน่ใจว่าระหว่างทางนี้จะพบภยันตรายที่รับมือได้ยากอะไรหรือไม่
แต่พอเดินหน้ามาตลอดทาง หลินสวินก็ค้นพบอย่างแจ่มชัดว่าหมอกขมุกขมัวที่ปกคลุมป่าต้นหม่อนกำลังสลายไปช้าๆ
โลกอันลึกลับราวกับไม่อาจคาดเดาได้แห่งนี้ประหนึ่งสูญเสียพลังน่าหวั่นใจไป มีทีท่าจะสงบลง
“ป้ายคำสั่งที่เฒ่าโดดเดี่ยวให้ชิ้นนี้ ดูท่าจะไม่ได้ใช้เสียแล้ว…”
หลินสวินโยนป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งในมือเล่น แล้วก็ยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่ได้ใช้ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว ภายหน้าต้องมีโอกาสได้ใช้แน่
ไกลออกไปพลันมีเสียงต่อสู้ดุเดือดดังขึ้น
หลินสวินใจหล่นวูบ ตึงเครียดไปทั้งตัว กำธนูวิญญาณไร้แก่นสารกับศรนภาครามไว้ในมืออย่างไม่ลังเล
เขาไม่ได้ลืมสิ่งที่จ้าวซิงเย่เคยกล่าวไว้ว่าในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิ ยังเป็นไปได้สูงยิ่งที่จะมีสิ่งมีชีวิตระดับอริยะ มหาอริยะและราชันอริยะ!
เพียงแต่ก็ในตอนที่หลินสวินกำลังจะเดินอ้อมเพื่อเลี่ยงบริเวณที่ต่อสู้นั้นเอง เขากลับได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นระลอกหนึ่ง
ทันใดนั้นสีหน้าเขาปรากฏแววประหลาด ที่แท้ก็เป็นพวกเขา!
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง หลินสวินก็เข้าประชิดอย่างเงียบเชียบ
…..
ที่นั่นเป็นแถบทะเลทรายขมุกขมัวแห่งหนึ่ง ซากศพสัตว์ใหญ่ยักษ์หาใดเทียบร่างหนึ่งนอนขวางบนผืนดิน เห็นได้ชัดว่าเพิ่งตายไปไม่นาน บนร่างใหญ่โตราวภูเขานั้นยังมีเลือดไหล
“ฮ่าๆๆ กึ่งจักรพรรดิพวกนั้นชักนำเคราะห์พิฆาตมรรคมา กลับเป็นเพราะพิบัติเคราะห์ครั้งนี้ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งที่จำศีลอยู่ในป่าต้นหม่อนต่างประสบเคราะห์ ถูกพลังของเคราะห์นี้สังหารไปสิ้น!”
หนิวเจิ้นอวี่หัวเราะร่า “นี่เป็นถึงตัวร้ายกาจที่เทียบได้กับมหาอริยะและราชันอริยะทั้งนั้น พวกมันตายแล้วกลับทำให้ข้าสะดวกขึ้น!”
สีหน้าเขาเปี่ยมไปด้วยความละโมบ
ซากศพใหญ่ยักษ์ตรงหน้านี้เป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตน่ากลัวระดับราชันอริยะตนหนึ่ง ที่ตายตอนประสบมหาเคราะห์ก่อนหน้านี้ไม่นาน
ดูเหมือนเป็นซากศพร่างหนึ่ง แต่สำหรับหนิวเจิ้นอวี่แล้วกลับเป็นสมบัติอันประเมินค่าไม่ได้ชิ้นหนึ่ง!
เลือดเนื้อ ผิวหนังและเส้นขนทุกกระเบียดบนร่างของราชันอริยะต่างมีพลังกฎเกณฑ์มหามรรคประทับไว้ หากได้สกัดไป ไม่เพียงสามารถนำมาหลอมยา ยังใช้หลอมสมบัติได้อีกด้วย มีคุณประโยชน์ไม่อาจประเมินได้
ข้างกันหนิวทุนเทียนก็สีหน้าอิจฉาและหมายปอง
“พวกเราเสาะหามานานนัก กว่าจะได้พบซากศพที่ยังถือว่าสมบูรณ์แบบเช่นนี้ร่างหนึ่ง หายากยิ่งจริงๆ”
ตรงข้ามกัน พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬเอ่ยปากเสียงแหบ เขาสีหน้าซีดขาว ยังดูอ่อนแอเช่นเดิม แต่หว่างคิ้วกลับเปี่ยมไปด้วยแววตื่นเต้น
ก่อนหน้านี้ด้วยเคราะห์พิฆาตมรรคมาเยือน ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง หวั่นกลัวถึงที่สุด
แต่ต่อมาถึงพบว่าอาจเป็นเพราะพลังของพวกเขาอ่อนแอเกินไป จึงไม่ได้รับการโจมตีจากพิบัติเคราะห์ต้องห้ามนั้น
มีเพียงสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งที่กระจายกันอยู่ในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ที่ถูกพิบัติเคราะห์ต้องห้ามสังหารเกือบหมด โดยมากไม่เหลือแม้แต่ซากศพ!
จากจุดนี้แค่คิดก็รู้ว่าเคราะห์พิฆาตมรรคนั่นน่ากลัวปานไหน
เห็นได้ชัดว่าเพ่งเล็งบุคคลที่มีระดับกึ่งจักรพรรดิ แต่ด้วยพลานุภาพของพิบัติเคราะห์เช่นนี้ สิ่งมีชีวิตอื่นจึงโดนลูกหลงไปด้วย
เช่นซากศพสิ่งมีชีวิตระดับราชันอริยะที่อยู่ตรงหน้านี้ ยังถือว่าตายอย่างไม่อนาถนัก อย่างน้อยยังเหลือศพที่ยังถือว่าสมบูรณ์อยู่
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หนิวเจิ้นอวี่กับพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬตื่นเต้น
พวกเขาย่อมไม่กล้าหวังสูงไปช่วงชิงจุดเปลี่ยนใหญ่กับคนใหญ่คนโตระดับกึ่งจักรพรรดิเหล่านั้น แต่สามารถอาศัยโอกาสนี้เก็บสะสมวาสนาที่ทำให้พวกเขาใจเต้นบางอย่างได้
อย่างเช่น ซากศพราชันอริยะที่อยู่ตรงหน้านี้!
“ซากศพนี้ข้าจะเอาไปล่ะ สหายมรรคโลหิตทมิฬมีความเห็นหรือไม่”
ทันใดนั้นหนิวเจิ้นอวี่ก็หุบยิ้ม สายตามองไปยังพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬ เสียงราบเรียบ แต่กลับเผยความคุกคาม
รอยยิ้มบนใบหน้าแก่ชราของพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬพลันแข็งทื่อ
ชั่วขณะเดียวบรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นทันตา
กวงฝู่ชิงกับอั้นหลิงเจินที่อยู่ข้างพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬก็สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ทั้งตกตะลึงทั้งโกรธเคือง
“สหายยุทธ์ ซากศพนี้พวกเราพบก่อน หากเจ้าอยากเอาไปก็ย่อมได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องแบ่งให้พวกเราครึ่งหนึ่งหรือเปล่า”
ครู่ใหญ่พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬถึงสูดหายใจเฮือกหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
หนิวเจิ้นอวี่หัวเราะหยันออกมา สีหน้าเผยให้เห็นความเหี้ยมเกรียม เอ่ยว่า “เจ้าเฒ่า ถ้าไม่ได้เห็นแก่ที่พวกเราสองทัพเคยร่วมมือกันมาก่อน เจ้าคิดว่าข้าจะมาปรึกษากับเจ้าหรือ”
เขาหยุดไปแล้วเอ่ยต่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ถ้าลงมือ เกรงว่าพวกเจ้าอย่าว่าแต่ได้สมบัติ ต่อให้อยากจะออกไปจากที่นี่ยังยากเลย”
พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬยิ่งหน้าเสียแล้ว ลอบกันฟัน แต่ในที่สุดก็ฝืนยิ้มให้ “ช่างเถอะ ซากศพนี้ก็ให้เป็นของสหายยุทธ์แล้วกัน”
พูดออกไปแล้ว แต่ใจก็เจ็บปวด แค้นเคืองหาใดเทียบ
หากไม่ใช่ก่อนหน้านี้ถูกนางผู้หญิงหน้าเหม็นจ้าวซิงเย่ทำให้บาดเจ็บสาหัส และยังถูกไอ้สวะตัวจ้อยแซ่หลินลอบโจมตีไปครั้งหนึ่ง ทำให้รากฐานมหามรรคของตนได้รับบาดเจ็บ พลังชีวิตเสียหายหนัก ตอนนี้จะถูกหนิ่วเจิ้นอวี่นี่ขู่ได้อย่างไร
“ผู้รู้กาลเทศะเป็นผู้ล้ำเลิศ เจ้าเฒ่า เจ้าฉลาดนัก”
หนิวเจิ้วอวี่หัวเราะร่าขึ้นอีกครั้ง ลำพองใจนัก
แม้เขาก็ได้รับบาดเจ็บเพราะจ้าวซิงเย่ แต่เทียบกันแล้ว กลับมั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าจะกดข่มพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬได้ นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขากล้าฮุบวาสนาตรงหน้านี้ไปคนเดียว
หลินสวินแอบมองภาพนี้ลับๆ แทบกลั้นขำไม่อยู่ อริยะสองคนกลับเล่นจำอวดหมากัดกัน เรื่องนี้น่าสนุกมากจริงๆ
โดยเฉพาะสีหน้าของพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬตอนนี้ อย่างกับพ่อแม่ตายไป ไม่ต้องพูดถึงว่าไม่น่าดูขนาดไหน
แต่ครู่ต่อมาหลินสวินก็ดวงตานิ่งขึง
ก็เห็นว่าตอนที่หนิวเจิ้นอวี่สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง กำลังจะเก็บศพราชันอริยะที่มีแสงประกายปกคลุมนั้น เหตุประหลาดก็เกิดขึ้นฉับพลัน
ซากศพราชันอริยะนั้นกลับระเบิดออกทันที กลิ่นอายพิบัติเคราะห์ต้องห้ามแถบหนึ่งก็แผ่กระจายออกมาท่ามกลางฝนเลือดปลิวว่อนไปด้วย
ภายใต้ความตกใจ แม้หนิวเจิ้นอวี่จะหลบไปตามจิตใต้สำนึก แต่ยังถูกกลิ่นอายต้องห้ามนั้นตกต้อง พลันร้องโหยหวนน่าหดหู่หาใดเทียบ
ก็เห็นว่าแขนข้างหนึ่งของเขากลายเป็นฝุ่นธุลีปลิวว่อนในชั่วพริบตา!
ภาพที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ก็ทำเอาพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬตกตะลึงเช่นกัน ทันใดนั้นรอยยิ้มเยาะเย้ยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ฮ่า ดูท่าวาสนาครั้งนี้จะเอาไปได้ยากนะ”
“ไอ้แก่ เจ้ารนหาที่ตายหรือ”
หนิวเจิ้นอวี่บันดาลโทสะ วาสนาครั้งหนึ่งไม่ได้มา กลับเสียแขนไปข้างหนึ่งเพราะสิ่งนี้ หากหลบไม่ทันคงสิ้นชีพไปแล้ว
ภัยที่เข้ามากะทันหันนี้จะไม่กระตุ้นให้หนิวเจิ้นอวี้กราดเกรี้ยวได้อย่างไร
“เสียแขนไปข้างหนึ่ง ตอนนี้… เจ้ายังอยากข่มขู่ข้าอยู่ไหม”
พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬสีหน้าเหี้ยมเกรียม เอ่ยอย่างเย็นชา
——