Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1522 นัยเร้นลับของระดับมกุฎอริยะ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1522 นัยเร้นลับของระดับมกุฎอริยะ
ที่มาพร้อมกับเสียงนั้น คือกลางห้วงอากาศแสงกระจ่างศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นค่อยๆ วาดเค้าโครงออกมาเป็นเงาร่างที่สูงโปร่งหล่อเหลาสายหนึ่ง
เรือนผมดำของเขาพลิ้วไหว มุมปากเจือรอยยิ้ม ทั่วร่างไหลเวียนละอองแสงสว่างไสว อาภรณ์โบกสะบัด ดุจดั่งเทพมาเยือนโลก ให้ความรู้สึกผ่องแผ้วไร้มลทิน สว่างเต็มสมบูรณ์แก่ผู้คน
เพียงยืนสบายๆ อยู่ตรงนั้นก็มีพลานุภาพราวเบื้องบนเชื่อมฟ้า เบื้องล่างผสานดิน ปรายตามองสรรพชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
เสี่ยวอิ๋นอึ้งค้างก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นก็เอี้ยวหัว เมื่อเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยสายนั้นชัดถนัดตาแล้ว ความรู้สึกนึกคิดที่แต่เดิมว่างเปล่าขุ่นมัว ก็ค่อยๆ กลับสู่สภาวะกระจ่างชัดเจนอีกครั้ง
เขาดีดตัวดังผึง นัยน์ตาแดงก่ำ กล่าวอย่างตื้นตัน “นะ นะ นาย… นายท่าน! เป็นท่านจริงๆ!?”
ยามกล่าวเขายังคล้ายไม่อยากเชื่อ โฉบพรวดไปยังบ่าของหลินสวิน ดึงปลายหูของหลินสวิน คราวนี้จึงพบว่าเป็นจริงดังคาด จึงทำหน้าโล่งอกฉายรอยยิ้ม ตื้นตันจนมือไม้พันกัน
“ฮ่าๆ นายท่านยังมีชีวิตอยู่! พิบัติเคราะห์เฮงซวยนั่นก็ทำอะไรนายท่านของข้าไม่ได้!”
มองเห็นท่าทางดีใจแทบคลั่งของเขา หลินสวินเองก็อดหัวเราะไม่ได้
ด้านข้างสีหน้าของรั่วอู่ก็อยู่ในสภาวะงุนงงเหมือนกัน เนิ่นนานกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ กล่าวว่า “เจ้า… เหยียบย่างระดับมกุฎอริยะแล้วหรือ”
หลินสวินพยักหน้า “โชคดีที่สำเร็จแล้ว”
แม้ว่ารั่วอู่จะเดาได้แต่แรก ทว่ายามเมื่อได้รับการยืนยันในใจก็ยังคงพลุ่งพล่านระลอกหนึ่ง แววตามึนงงอยู่ดี
สำเร็จแล้ว…
ไม่ได้เข้าร่วมการช่วงชิงในแดนลับนรกโลกันตร์ ไม่ได้หยิบยืมพลังภายนอกใดๆ ในพิบัติเคราะห์ที่น่าสะพรึงและพิสดารจนถึงครั้งยากจะได้เห็นอย่างที่สุดนั้น หลินสวินทะยานฝ่าเคราะห์ สยายปีกบรรลุอริยะ!
“มิน่าเมื่อครู่ข้าจึงไม่สามารถจับกลิ่นอายของเจ้าได้ ที่แท้เจ้าก็เป็นผู้ที่หลุดพ้นมรรคาอมตะ เหยียบย่างระดับมกุฎอริยะแล้ว… หนำซ้ำหากข้าเดาไม่ผิด ระดับมกุฎอริยะที่เจ้าบรรลุก็ไม่ธรรมดายิ่ง”
รั่วอู่สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งถึงระงับความสะท้านสะเทือนภายในเอาไว้ได้
หลินสวินขบคิดแล้วกล่าวว่า “ความรู้สึกในนั้นข้ายังไม่ทันได้สัมผัสละเอียดนัก ต้องให้ข้าสร้างความมั่นคงในระดับนี้ก่อน”
หลินสวินกล่าวพลางนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น
วู้ม!
ตอนที่เขานั่งสมาธิ ฉับพลันด้านหลังศีรษะก็ปรากฏวงแสงกลมวงหนึ่ง เรืองรองดุจอาทิตย์ดวงใหญ่ รุ้งวิเศษรายล้อม แสงบินดั่งสายฝน
ท่ามกลางความเลือนราง กลางวงแสงนั้นปรากฏลักษณ์ประหลาดนานัปการ มีหุบเหวใหญ่กลืนเวิ้งฟ้า มีเจินหลงครวญคำราม มีน้ำไฟไหลเวียน มียอดเอกอุเคลื่อนโคจร มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แห่งไร้มรณะไม่ดับสูญคละคลุ้ง…
ยิ่งกว่านั้นยังมีสัทครรลองมหามรรคที่คล้ายเสียงสวรรค์ระลอกแล้วระลอกเล่าแว่วดังแผ่กว้าง
ทอดมองจากไกลๆ เขาดุจดั่งทวยเทพไม่ผิดเพี้ยน ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ไพศาล มีความน่าเกรงขามที่เหมือนปรายตามองสรรพชีวิตก็ไม่ปานอย่างหนึ่ง
‘แค่ดูจากลักษณ์อริยมรรคนี่ ข้าก็ด้อยกว่าเขาหนึ่งช่วง…’
ในใจรั่วอู่สะดุ้งเฮือกไปครู่หนึ่ง
เสี่ยวอิ๋นก็กำหมัดแน่นด้วยความฮึกเหิม “รอหลังจากระดับของนายท่านมั่นคงแล้ว ก็ถึงเวลาไปสังหารเจ้าเฒ่าเหลือขอพวกนั้นแล้ว!”
ในช่วงเวลานี้ไม่รู้มีผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณตั้งเท่าไหร่ถูกสังหาร ร่างของพวกเขาล้วนถูกโยนลงกลางหุบเหวใหญ่แห่งนี้
หนำซ้ำเล่อเซวี่ยซิวนั่นมักจะส่งเสียงข่มขู่แบบไม่ปกปิดใดๆ อีกด้วย
นี่ทำให้เสี่ยวอิ๋นข่มกลั้นความโกรธเกลียดและเคียดแค้นในอกเอาไว้นานแล้ว!
“ข้าแค่อยากให้นายท่านพาข้าไปเสาะหาจุดเปลี่ยนบรรลุมกุฎอริยะครั้งหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้น ตอนที่นายท่านสู้กับมกุฎอริยะ ก็ไม่ต้องต่อสู้กรำศึกเพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว”
ผีเสื้อมารแยกฟ้ากล่าวเสียงเบา
เสี่ยวอิ๋นฉีกยิ้มกล่าวว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ก่อนหน้านั้นต้องระบายความคับแค้นออกไป สังหารเจ้าพวกสวะต่างดินแดนเหล่านั้นเสียก่อน!”
…
ครืนโครม!
ภายในร่างหลินสวิน พลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านซัดโหมได้แปรเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นพลังปฐมอริยมรรคสีทองอร่ามผ่องพิสุทธิ์หาใดเปรียบ
ปฐม คือนัยแห่ง ‘แรกสุด’
เหมือนปฐมแรกรุ่ง หมายถึงวันแรกของปี
เหมือนปฐมยุค หมายถึงปีแรกของยุคสมัยใดๆ
เหมือนปฐมบัณฑิต หมายถึงคนแรกที่สำเร็จบางสิ่ง
พลังปฐม ก็หมายถึงพลังแห่งต้นกำเนิดแรกสุดที่ก่อกำเนิดพลังวิญญาณ
พลังระดับนี้ มีเพียงผู้บรรลุอริยะเท่านั้นจึงจะสามารถควบคุมได้
ระดับพลังนี้ ซัดโจมตีส่งๆ คราหนึ่งยังสามารถกดทับเทือกเขาขาดสะบั้น บดขยี้ผู้แข็งแกร่งที่ต่ำกว่าระดับอริยะ แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
เวลานี้พลังปฐมอริยมรรคที่พลุ่งพล่านไหลทะลักภายในกายหลินสวินเจิดจรัสเรืองรอง ดุจดั่งอาทิตย์ร้อนแรงไม่เสื่อมคลาย ไพศาลราวไร้ขอบเขต เพียงแค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็สามารถทำให้อริยะแท้ทั่วไปหน้าเปลี่ยนสีและดีฝ่อเพราะเหตุนี้ได้แล้ว
และตำแหน่งตันเถียนของหลินสวินก็ควบรวมเป็นเค้าโครงโลกแห่งหนึ่ง ดุจดั่งถ้ำผสานที่หายใจได้แห่งหนึ่ง พ่นกลืนชุบหลอมพลังปฐมอริยมรรครอบกายไม่หยุดหย่อน
นี่คือ ‘โลกถ้ำผสาน’ ที่มีเฉพาะอริยะแท้ รวบรวมมรรควิถีและต้นกำเนิดทั่วร่างของอริยะแท้คนหนึ่ง
ในโลกถ้ำผสานของหลินสวิน มีเทือกเขาขนาดเท่าหัวแม่มือลูกหนึ่งเรืองแสงทองอร่าม ดูคล้ายเล็กจ้อยแต่กลับให้กลิ่นอายแข็งแกร่งทนทาน สูงใหญ่ไร้ขอบเขต ตั้งตระหง่านเทียมฟ้าแก่ผู้คน
นี่ก็คือ ‘รากฐานอริยมรรค’ หรือถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘ภูเขามรรคต้นกำเนิด’ บนนั้นประทับนัยเร้นลับของมหามรรคทั้งปวงเอาไว้ รวบรวมสารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั่วร่างของผู้ฝึกปราณ
ภูเขามรรคต้นกำเนิดยิ่งแข็งแกร่งทนทาน ก็หมายความว่ารากฐานของผู้ฝึกปราณยิ่งมั่นคง
วันใดวันหนึ่งเมื่อภูเขามรรคต้นกำเนิดยกตัวขึ้นกลายเป็นเสาค้ำฟ้าที่ค้ำยันโลกถ้ำผสาน นั่นเท่ากับก้าวสู่ระดับราชันอริยะ ได้ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของอริยมรรคแล้ว
ยามนี้แม้ภูเขามรรคต้นกำเนิดของหลินสวินจะมีขนาดเพียงหัวแม่มือ แต่มีกลิ่นอายเทียมฟ้าครอบปฐพี ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ตั้งตระหง่านไร้ขอบเขตแล้ว!
มหามรรคที่ประทับอยู่บนนั้น สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณที่สั่งสมทั้งหมดยิ่งหนาแน่น ทำให้ภูเขามรรคต้นกำเนิดทั้งลูกล้วนเปล่งแสง สาดละอองแสงปลิวว่อน
กล่าวง่ายๆ คือ ระดับอริยะแท้มีพลังปฐมอริยมรรค เปิดโลกถ้ำผสาน ครองภูเขามรรคต้นกำเนิด นี่คือมาตรฐานอันเป็นเอกลักษณ์ของระดับนี้
…
นอกจากนี้จิตวิญญาณของหลินสวินก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน
ก่อนหน้าพลังจิตที่แบ่งออกเป็นสามส่วน คือลักษณ์ของอดีต ปัจจุบัน อนาคต
และตอนนี้พลังจิตสามส่วนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง สามลักษณ์รวมตัวคล้ายสามยอดบุปผา ควบคุมดูแลอยู่กลางห้วงนิมิต ส่องประกายเจิดจ้า
เมื่อมองอย่างละเอียด พลังจิตของหลินสวินก็เหมือนเทพองค์หนึ่ง รูปจำลองเคร่งขรึม แสงมรรคไหลเวียน ปรากฏท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ไม่ดับสลายประหนึ่งยืนยงไม่เสื่อมสูญ!
ยามเมื่ออยู่บนมรรคาอมตะ หลินสวินเคี่ยวกรำมรรคาสามอย่างหลอมปราณ หลอมจิต หลอมกาย และต่างเหยียบย่างสู่ยอดมกุฎ
ยามนี้ในที่สุดข้อดีก็ปรากฏออกมา
กล่าวอย่างไม่เกินจริง ลำพังเพียงแค่พลังจิตวิญญาณของเขา ก็สามารถทำให้มกุฎอริยะเหมือนกันรู้สึกถึงความกดดันและสั่นสะท้านได้!
พลังจิตระดับนี้ ถูกมองอีกอย่างเป็น ‘รูปจำลองวิญญาณอริยะ’!
…
ขณะเดียวกันบนมรรคาหลอมกาย หลินสวินก็ย่างสู่ระดับมกุฎอริยะแล้วเช่นกัน
นี่คือกายเนื้อบรรลุอริยะอย่างแท้จริง ก็เหมือน ‘กายทองมุนินทร์ไร้มรณะ’ แห่งลัทธิพุทธ ‘ร่างจริงจอมมรรคแก้ว’ แห่งลัทธิเต๋า ‘ร่างมารไร้มรณะ’ แห่งสำนักมาร
ทุกอณูเนื้อหนัง ทุกเอ็นกระดูก ทุกจุดชีพจร ล้วนปรากฏท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์หมื่นเคราะห์ไม่ดับสูญ!
สังขารของหลินสวินในตอนนี้ จึงจะเรียกได้ว่าเป็น ‘ร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์’!
แต่ก็ยังแตกต่างจากร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์ที่บันทึกไว้ในมรดก ‘เคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์’ มีอานุภาพสยบย่ำจักรวาล บดขยี้ปวงสวรรค์เพิ่มขึ้นมาอย่างหนึ่ง
นี่คืออานุภาพพลังกายที่กลั่นหลอมออกมาจากใจความแห่ง ‘จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ’ และเชื่อมผสานเข้ากับร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์อย่างสมบูณ์แบบ!
แต่หลังจากผ่านการเคี่ยวกรำใน ‘หอยอดมรรค’ ทำให้หลินสวินหยั่งถึงการมีอยู่ของ ‘กายมรรค’ แล้ว
นั่นคือการนำพลังมหามรรครอบตัวชุบหลอมเข้าไปภายในร่างอย่างสิ้นเชิง เช่นนี้ยามเคลื่อนไหวก็จะเจือท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์มหามรรค
ตอนนี้หลินสวินบรรลุกายมกุฎอริยะแล้ว ภายหน้าช้าเร็วก็ต้องหลอมร่างให้เป็นกายมรรคอย่างแท้จริงแน่นอน!
…
หลอมปราณ หลอมจิต หลอมกาย
มกุฎมรรคาสามสาย หลังจากบรรลุมกุฎอริยะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คุณประโยชน์มากมายที่นำมาสู่หลินสวิน สามารถใช้คำว่านับไม่หวาดไม่ไหวมาบรรยายได้เลยทีเดียว
แต่ควรรู้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนหาใช่โชคช่วย!
แรกสุดเพื่อจะฝึกฝนสามมรรคาพร้อมกัน ความต้องเสี่ยงอันตรายครั้งใหญ่ ความน่าสะพรึงของพิบัติเคราะห์ที่ผ่านมาไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ จะสามารถรับรู้ได้สักนิด
ลำพังแค่การข้าม ‘เคราะห์มรรคตัดขาด’ ก็ไม่รู้ว่าต้องทุ่มเทความพยายามและหยาดเหงื่อแรงกายไปเท่าไหร่แล้ว
และยามนี้ ก็แค่ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้วก็เท่านั้น
หลินสวินนั่งสมาธิเงียบๆ การรับรู้ทั้งหมดล้วนอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงใหม่เอี่ยมแห่งตน ในใจสงบราบเรียบ ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่เกิดความว้าวุ่น
สำหรับเขาแล้ว บรรลุมกุฎอริยะ เดิมก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
หาไม่เหตุใดเขาต้องอ้อมจากดินแดนรกร้างโบราณไปโลกชั้นล่าง แล้วเหยียบย่างจากโลกชั้นล่างมาสมรภูมิกระหายเลือด สุดท้ายก็มาที่สมรภูมิเก้าดินแดนแห่งนี้ด้วยเล่า
ทั้งหมดนี้ล้วนทำเพื่อบรรลุอริยะเช่นในปัจจุบัน!
ตอนนี้ในที่สุดความปรารถนานี้ก็บรรลุผล และไม่เสียแรงที่เขาทุ่มเทความอุตสาหะมากมายเพื่อสิ่งนี้
สองสามวันต่อมา
หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิ
“นายท่าน จะออกไปฆ่าศัตรูตอนนี้เลยหรือไม่”
เสี่ยวอิ๋นที่รอคอยอยู่ด้านข้างตั้งแต่แรกกล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหว
หลินสวินหยัดกายลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่รีบ ข้ายังจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับวิธีการต่อสู้ของระดับอริยะ”
ขณะพูด เขาทอดสายตามองไปทางรั่วอู่ที่อยู่ไม่ไกล
รั่วอู่สวมอาภรณ์สีแดง ใบหน้าอรชรงามหมดจด เนตรดาราดั่งมายา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเองก็อยากรู้ยิ่งนักว่าเจ้าจะร้ายกาจเพียงใดกันแน่”
เห็นได้ชัดว่านางเดาได้แต่แรกแล้วว่าหลินสวินจะต้องมองนางเป็นคู่ต่อสู้ ทำการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การต่อสู้แน่นอน
“เชิญ”
หลินสวินยิ้มพลางยกมือส่งสัญญาณ
สวบ!
เทพธิดารั่วอู่หายลับไปกลางอากาศ ครู่ต่อมาก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าหลินสวิน ฝ่ามือขาวเนียนดุจหยกกดลงไป พลังอริยมรรคพุ่งยิงดั่งภูเขาถล่มคลื่นยักษ์ซัดโหม
พร้อมๆ กับเสียงดังอื้ออึง หลินสวินถูกซัดลอยกระเด็นออกไปตรงๆ แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่กลับเห็นได้ชัดว่าซวนเซอยู่บ้าง
เขาลูบจมูกป้อยๆ ยิ้มเหยเกกล่าวว่า “เอาอีก มาอีก”
การแปรเปลี่ยนใหม่เอี่ยมของพลัง ทำให้เขาเหมือนเปลี่ยนจากมดปลวกตัวหนึ่งกลายเป็นมังกรยักษ์กะทันหัน จึงยังไม่สามารถควบคุมพลังที่ตนมีทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ
“เช่นนั้นข้าต้องคว้าโอกาสครั้งนี้ จัดการเจ้างามๆ สักตั้งแล้ว หาไม่ภายหน้าคงไม่มีโอกาสล้ำค่าเช่นนี้อีกแน่”
รั่วอู่ยิ้มเจิดจ้า เริ่มบุกโจมตี
ตูม!
นางลงมือดุจสายฟ้า ไม่ปรานีแต่อย่างใด ซัดพลังอันเป็นของมกุฎอริยะออกไป
แน่นอนนางยังคงออมมืออยู่บ้าง หาไม่แดนลับวังใต้ดินแห่งนี้คงต้องรับความเสียหายใหญ่หลวงเท่านั้นแล้ว
ระหว่างที่กำลังประมือแลกเปลี่ยนกันอยู่นั้น นางยังไม่ตระหนี่ คอยชี้แนะเคล็ดลับการต่อสู้แบบใหม่บางส่วนแก่หลินสวิน
อย่างเช่น ควรต่อสู้ด้วยการเคลื่อนผ่านห้วงอากาศอย่างไร
จุดนี้สำคัญที่สุด
ควรรู้ว่าขอเพียงบรรลุอริยะ ก็จะสามารถครอบครองวิธีเคลื่อนย้ายผ่านอากาศ เกี่ยวโยงไปถึงการโคจรนัยเร้นลับห้วงอากาศ เรื่องนี้สำหรับหลินสวินแล้วเป็นสิ่งแปลกใหม่อย่างสิ้นเชิง
ส่วนปีกผลาญเทพ สุดท้ายก็เป็นแค่สมบัติ ไม่ใช่พลังเคลื่อนย้ายแห่งตน
ปึง!
ไม่ทันไรหลินสวินก็ถูกโจมตีถอยกรูดอีกครั้ง เงาร่างซวนเซ
เพียงแต่นัยน์ตาของเขากลับยิ่งทอประกายและแน่วแน่มากขึ้นเรื่อยๆ แรงฮึดสู้พลุ่งพล่าน กล่าวว่า “เอาอีก!”
เสี่ยวอิ๋นที่อยู่ไกลๆ ก็กำหมัดแน่น กล่าวปลุกใจ “นายท่าน ในฐานะชายชาตรีที่บรรลุมกุฎอริยะคนหนึ่ง อย่าแพ้ให้สตรีคนใดที่กล้าต่อสู้กับท่านเป็นอันขาด หาไม่ต่อไปจะเงยหน้าอ้าปากได้อย่างไร”
นี่ทำเอารั่วอู่อดกลอกตาไม่ได้ ผรุสวาทกลั้วหัวเราะหนึ่งประโยค “เจ้าสุนัขรับใช้ที่กลัวแต่ใต้หล้าจะไม่วุ่นวาย!”
——