Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1577 ศรเทพเด่นนภา
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1577 ศรเทพเด่นนภา
กระบวนค่ายกลใหญ่ที่หมอกไพศาลปกคลุมอยู่กลางฟ้าดิน พลิกม้วนอย่างเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง
แต่บนท้องฟ้ากลับมีสีเลือดบาดตาอบอวลตลอดเวลา มีเสียงครวญอริยะร่วงหล่นกึกก้อง
เนิ่นนานไม่เสื่อมคลาย!
ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนที่หลบอยู่ในกระบวนค่ายกลที่อยู่ห่างไปต่างอึ้งงันอยู่ตรงนั้น ไอเย็นเยียบปกคลุมไปทั่วกายราวกับตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่ใครก็ล้วนรู้ชัดว่ามีมกุฎอริยะคนแล้วคนเล่ากำลังประสบเคราะห์ ร่วงหล่นในกระบวนค่ายกลใหญ่ที่หมอกอบอวล
บนใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตกใจ
มกุฎอริยะเกือบร้อยคนและอริยะแท้กลุ่มหนึ่งเชียวนะ! กลับถูกฆ่าเช่นนี้หรือ
นั่นเป็นกระบวนค่ายกลระดับใด
เหตุใดจึงถูกกักขังไว้ภายใน อริยะประหนึ่งไร้ค่าเชียวหรือ
“สามสิบเก้าคนแล้ว หากรวมกับคนที่ตายในมือเจ้าหมอนั่นก็ห้าสิบหกคนถ้วนแล้ว!”
สือพั่วไห่โกรธจนหน้าเขียว ตาแทบถลนออกมา
ครั้งนี้เขาถูกเชิญมา เดิมทีเขายังดูถูกไม่น้อย คิดว่าเซวี่ยชิงอีทำเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เป็นการเคลื่อนกำลังคนเกินเหตุอย่างสิ้นเชิง
แต่ตอนนี้เขาถึงเข้าใจว่าเหตุใดเซวี่ยชิงอีจึงระมัดระวังขนาดนี้!
อีกฝ่ายมีแค่คนเดียวก็ทลายการปิดล้อมโจมตีของมกุฎอริยะสามสิบคน พลังต่อสู้โดดเด่นน่ากลัว
นี่ทำให้สือพั่วไห่ยังใจสั่น รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
และตอนนี้อีกฝ่ายอาศัยกระบวนค่ายกลที่วางขึ้นลวกๆ ก็กักขังมกุฎอริยะทั้งหมดได้ ฝีมือเช่นนี้น่าเหลือเชื่อจริงๆ
มองเห็นสีเลือดบนท้องฟ้า ได้ยินเสียงครวญอริยะร่วงหล่นที่ดังก้องไปทั่ว สีหน้าของสือพั่วไห่ก็ดูแย่อย่างที่สุด
“นี่ก็คือการวางแผนของเจ้าหรือ”
ฮว่าหงเซียวสีหน้าเย็นเยียบ เขาเองก็ไม่สามารถสงบได้แล้ว ถามออกมา
เซวี่ยชิงอีกำสองมือแน่น พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ จึงฝืนข่มความเดือดดาลและความอัดอั้นในใจไว้
“เหตุการณ์นี้ใครก็ไม่อยากเห็น ทว่าสถานการณ์ยังไม่นับว่าย่ำแย่นัก พวกเจ้าลองดู กระบวนค่ายกลใหญ่นั่นกำลังด้อยพลังลง!”
เซวี่ยชิงอีชี้ไปไกลๆ เสียงเผยความชิงชังเข้ากระดูก “ข้ารับรองว่ารอตอนที่กระบวนค่ายกลนี้สลายไป ข้าจะลงมือเป็นคนแรก สังหารเจ้าหมอนั่นซะ!”
เขากัดฟันจนแทบจะแหลกแล้ว
ครั้งนี้เขาทนมานานแล้ว สถานการณ์ที่ทุ่มเทจัดวางอย่างดีที่สุด เดิมคิดว่าสามารถใช้อานุภาพประดุจอัสนีบาตรกำจัดหลินสวินได้
แต่ไม่คิดว่า…
กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันมากมายขนาดนี้!
……
ในกระบวนค่ายกลใหญ่ปกฟ้าคลุมตะวัน
เงาร่างของหลินสวินพริบไหวอยู่ภายใน สีหน้าของเขาเย็นเยียบ นัยน์ตาดำนิ่งสนิท ราวกับนายเหนือหัวคนหนึ่งกำลังตระเวนล่าเหยื่อในอาณาเขตของตน
ทุกที่ที่ผ่าน อริยะล้วนร่วงหล่น!
ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ ทั้งยังอยู่ในกระบวนค่ายกลที่ตนสร้าง ทุกครั้งที่ลงมือล้วนมีอานุภาพสะเทือนฟ้าดิน สังหารสิบด้าน
ไม่ว่าสมบัติอริยะของเจ้าจะร้ายกาจเพียงใด วิชามรรคจะมหัศจรรย์แค่ไหน ข้าล้วนกำราบได้ทั้งหมด!
“ย่าห์!”
เสียงอริยะที่เต็มไปด้วยพลังเข่นฆ่าอันไร้ที่เปรียบดังก้องขึ้น มกุฎอริยะคนหนึ่งเปลี่ยนเป็นสัตว์เทพวัวขุยตัวหนึ่ง ส่งเสียงคำรามเทพ
คลื่นเสียงราวกับกระแสน้ำ ประหนึ่งสายฟ้าถล่มลงมาจากเก้าชั้นฟ้า
สัตว์เทพวัวขุยเหมือนกับเจินโห่วและผูเหลา ใช้คลื่นเสียงสร้างอิทธิพล วัวขุยที่กระโดดมาอยู่ในระดับมกุฎอริยะ ถึงขั้นสามารถสะเทือนภูผาธาราแปดพันลี้ ทำให้ดาราสั่นไหวได้ในการคำรามเดียว!
“เสียงจะดังเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์”
หลินสวินไม่มองด้วยซ้ำ เอามือไพล่หลังเดินหน้า แต่ตอนที่เสียงของเขาดังขึ้น นัยเร้นลับของเสียงคำรามผูเหลาก็โคจรออกมา
แต่ละคำแต่ละอักษรเหมือนสัญลักษณ์มหามรรค สว่างไสวบาดตา แผ่พุ่งออกไป
ราวกับเป็นจริงทันที คำพูดตัดสินความเป็นตาย!
ตูมโครม!
เสียงคำรามแห่งวัวขุยถูกสลายออกโดยตรง แม้ด้วยพลังของระดับมกุฎอริยะอย่างเขาก็ต้านการโจมตีระดับนี้ไม่ได้ ร่างกายระเบิดออกกลางอากาศ ร่างและจิตดับสลาย
ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในกระบวนค่ายกลไม่ขาดสาย
มกุฎอริยะบางคนถูกกระบี่ยอดสังหารฟันสังหาร บางคนถูกดาบหักฟาดฟัน บางคนถูกปราณกระบี่ไท่เสวียนกำราบ บางคนถูกดรรชนีมหาอุดมสลายบดขยี้แหลกละเอียด…
ในบรรดาพวกเขา มีเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่บรรลุมรรคมานานแล้ว มีบุตรเทพทายาทสายตรงเผ่าใหญ่ผู้มีพรสวรรค์น่าทึ่งและมีที่มาไม่ธรรมดา มีเทพธิดาที่มีมรดกเก่าแก่ มี…
แต่ล้วนถูกหลินสวินสังหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น!
เสียงกรีดร้องโหยหวน เสียงตะโกนไม่จำยอม เสียงคำรามบ้าคลั่งเดือดดาล… ดังต่อเนื่องเป็นระลอก
การฝึกปราณไม่ง่าย เสาะแสวงบนมหามรรคยิ่งไม่ง่าย คนที่สามารถบรรลุระดับมกุฎอริยะ ใครบ้างที่ไม่ใช่ผู้โชคดีที่ทุ่มเทความพยายาม ผ่านความยากลำบาก และโดดเด่นออกมาท่ามกลางฝูงชน
แต่เมื่อความตายมาเยือน สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงเถ้ากระดูกเท่านั้น!
ชั่วขณะนี้สำหรับเหล่ามกุฎอริยะที่ถูกกักขังในค่ายกล หนึ่งวันยาวนานราวกับหนึ่งปี เห็นได้ชัดว่าทรมานอย่างที่สุด
ความสิ้นหวัง ไร้ที่พึ่ง หวาดกลัวและร้อนรนพุ่งโจมตีจิตใจของพวกเขาราวกับคลื่นซัดสาด ทำให้สีหน้าของพวกเขาหม่นแสงย่ำแย่อย่างไม่มียกเว้น
“หืม?”
แต่ไม่นานก็มีคนสังเกตเห็นว่าหมอกที่ตลบอบอวลอยู่ทั่วสี่ด้านแปดทิศเริ่มสลายแล้ว และพลังสัมผัสของตนก็แผ่ออกไปได้เช่นกัน
“ฮ่าๆๆ ฟ้าย่อมไม่ไร้ทาง ค่ายกลนี้จะสลายแล้ว!”
มีคนหัวเราะลั่น
“ยืนหยัดไว้ จะต้องยืนหยัดไว้!”
มีคนตะโกนเสียงดัง
และในเวลาเดียวกัน หลินสวินชะงักฝีเท้าทันใด หว่างคิ้วขมวดอย่างยากจะสังเกตเห็น พลังกระบวนค่ายกลนี้กำลังจะสลายแล้วจริงๆ
“ยังเหลืออีกยี่สิบเก้าคน…”
ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นหลินสวินก็สัมผัสได้ถึงจำนวนของมกุฎอริยะเหล่านั้น และพวกเขาเองก็รวมตัวกันแล้ว
หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่ง หยิบธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรเทพทั้งสองอย่างศรแห่งนภาครามและศรแห่งนิรันดร์
……
“ในที่สุดก็จะสลายแล้ว!”
ดวงตาแดงก่ำของเซวี่ยชิงอีเป็นประกาย ฮึกเหิมขึ้นมา
“ครั้งนี้ข้าจะให้เจ้าหมอนี่ตาย!”
สือพั่วไห่สีหน้าเย็นเยียบ ไอสังหารพลุ่งพล่านราวกับกระแสธาร
ชิ้ง!
ฮว่าหงเซียวไม่พูดอะไร เพียงหยิบดาบแคบยาวรูปแบบโบราณและเรียบง่ายออกมา บนคมดาบประทับลวดลายอริยะร่ำไห้ ดูดุร้ายอย่างที่สุด
ก่อนหน้านี้ทั้งสามล้วนข่มกลั้นความชิงชังและเดือดดาลไว้เต็มอก ทำได้เพียงมองมกุฎอริยะที่ถูกขังไว้ในกระบวนค่ายกลถูกสังหารโดยไม่สามารถทำอะไรได้ ทรมานพวกเขาจนแทบบ้าแล้ว
ตอนนี้ในที่สุดก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะตอบโต้แล้ว
“วางกระบวนค่ายกล!”
เซวี่ยชิงอีออกคำสั่ง เสียงสะเทือนเมฆา
ใกล้ๆ พวกเขายังมีผู้แข็งแกร่งระดับอริยะแท้ห้าร้อยกว่าคน ได้ยินเช่นนี้ต่างเรียกธงสีเหลืองอ่อนออกมา เงาร่างสลับทับซ้อนยืนแยกกัน
ทันใดนั้นธงสีเหลืองอ่อนมากมายสะบัดไปมา แผ่ปราณกระบี่ที่แสบตาออกมา ปราณกระบี่แต่ละสายล้วนเผยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง
ปราณกระบี่หลายร้อยสายโฉบพุ่ง พลันรวบตัวเป็นเจตกระบี่ไพศาลเทียมฟ้า อานุภาพยิ่งยง สั่นคลอนดารา เผด็จการเหนือใต้ฟล้า!
มองดูอย่างละเอียด ในเจตกระบี่ยิ่งใหญ่นั่นถึงกับคล้ายมีอริยบุคคลบรรพกาลเป็นร้อยพันอยู่ภายใน แต่ละคนปลดปล่อยความน่าเกรงขามแห่งอริยมรรคเต็มกำลัง
“ค่ายกลศึกวิญญาณอริยะหรือ”
สือพั่วไห่หรี่ตา
ค่ายกลศึก เป็นวิธีต่อสู้ที่เสริมส่งกันและกัน หาได้ยากอย่างยิ่ง
ก็เหมือนกับยามสองทัพประชันกันตามปกติ ต่างวางค่ายกลศึกเตรียมพร้อมต่อสู้ ใช้กลศึกควบคุม มักได้รับผลอย่างมหัศจรรย์ในการเข่นฆ่า
ทว่าหลังจากบรรลุระดับอริยะแล้ว การวางค่ายกลศึกก็จะต่างออกไป มักมีเงื่อนไขที่เข้มงวดอย่างที่สุด เพราะมรรคาที่เสาะหาไม่เหมือนกัน พลังไม่เท่ากัน ยากจะตอบสนองกันอย่างสมบูรณ์
ทว่าสือพั่วไห่เองก็เคยได้ยินว่า ในดินแดนโบราณมารโลหิตมีวิชา ‘ค่ายกลศึก’ อันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งแพร่หลายอยู่
ขอเพียงแค่บุคคลระดับอริยะทุกคนพกสมบัตินามว่า ‘ยันต์แห่งค่ายกลศึก’ เอาไว้ ด้วยการตอบสนองระหว่างยันต์แห่งค่ายกลศึก ก็จะสามารถรวมพลังแห่งอริยะเข้าด้วยกัน บิดเป็นเชือกเส้นหนึ่งแล้วสำแดงอานุภาพอันน่ากลัวเหนือจินตนาการออกมา
“ไม่ผิด ค่ายกลศึกนี้นามว่า ‘สวรรค์ดำเนิน’ สื่อนัยถึงหาทางแห่งสรวงสวรรค์ เดิมทีหากมีอริยะแท้แปดร้อยคนร่วมมือกัน พลังต่อสู้ที่สำแดงออกมาก็สามารถสังหารคู่ต่อสู้ระดับมหาอริยะได้”
เซวี่ยชิงอีพูดเสียงขรึม “ที่น่าชิงชังคือ เมื่อครู่นี้มีอริยะแท้จำนวนหนึ่งถูกม้วนเข้าไปในกระบวนค่ายกลหมอกนั่น ตอนนี้เหลือเพียงห้าร้อยกว่าคนวางกระบวน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ อานุภาพของค่ายกลศึกนี้ต่อให้เป็นข้าก็ไม่กล้าประชันซึ่งหน้า”
ฟังถึงตรงนี้สือพั่วไห่และฮว่าหงเซียวต่างเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
เซวี่ยชิงอีเป็นถึงหนึ่งในแปดยอดนภาคราม เป็นผู้นำของดินแดนโบราณมารโลหิต กลับบอกว่าไม่กล้าประชันด้วย แค่คิดก็รู้ว่าอานุภาพของค่ายกลศึกนี้แข็งแกร่งเพียงใด
“คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้พี่เซวี่ยเตรียมการพร้อมขนาดนี้ มีค่ายกลนี้ การสังหารเจ้าคนแซ่หลินนั่นก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ!”
สือพั่วไห่หัวเราะเสียงดังพูด
ตูม!
และตอนนี้เอง ห่างออกไปมีเสียงสั่นไหวน่าตกใจดังมา กระบวนค่ายกลปกฟ้าคลุมตะวันที่ปกคลุมกลางฟ้าดินสลายไป ณ ตอนนี้
ทันใดนั้นบริเวณนั้นล้วนสามารถมองเห็นได้ชัดถนัดตา เผยเงาร่างมกุฎอริยะกลุ่มหนึ่งออกมา
“อะไรกัน เหลือแค่ยี่สิบกว่าคนหรือ”
เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้น
พวกเซวี่ยชิงอี สือพั่วไห่ ฮว่าหงเซียวหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างอดไม่ได้
เวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งเค่อ มกุฎอริยะเกือบร้อยคนก็เหลือเพียงยี่สิบเก้าคน ความสูญเสียนี้หนักหน่วงเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนบุคคลระดับอริยะแท้ที่ถูกม้วนเข้าไปในกระบวนค่ายกลไม่เหลือรอดสักคน เห็นได้ชัดว่าถูกกำจัดไปหมดแล้ว!
แรงโจมตีอันโหดร้ายนี้ทำเอาทุกคนในที่นั้นต่างเดือดดาล สีหน้ามืดทะมึน สายตาหันขวับไปมองบนฝั่งทะเลที่อยู่ห่างไป
ที่นั่นเงาร่างของหลินสวินยืนตระหง่านกลางอากาศ เสื้อผ้าเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน ท่วงทำนองมรรคพร่างพราวไหลวนทั่วร่าง ละโลกพ้นโลกีย์ บริสุทธิ์ว่างเปล่าราวกับเซียน
แต่ตอนนี้ทุกคนกลับเพียงรู้สึกแสบตา จิตวิญญาณเหมือนถูกทิ่มแทงจนเจ็บ ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
นั่นเป็นเพราะธนูคันหนึ่ง!
ธนูใหญ่ดุดันที่สร้างขึ้นจากกระดูกขาวมากมายคันหนึ่ง สายธนูแดงสดราวกับเลือดถูกง้างจนตึง รอบๆ คันธนูใหญ่พายุโหมกระหน่ำ ห้วงอากาศล้วนยุบทลายจมลงไปอย่างไร้สุ้มเสียง สะท้อนภาพอริยะร่วงหล่นที่เหลือเชื่อเป็นฉากๆ
มีกาทองร่ำไห้เป็นสายเลือด มีสุริยันร่วงหล่น มีอริยะถูกสังหาร!
และบนสายธนู ศรสีดำสนิทวางอยู่บนนั้น ที่ปลายศรแผ่ไอดุร้ายออกมาปกคลุมฟ้าดิน!
แย่แล้ว!
พวกเซวี่ยชิงอี สือพั่วไห่ ฮว่าหงเซียวต่างหนาวเหน็บในใจ ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ
เพียงแต่ตอนที่พวกเขาจะไปขวางก็ไม่ทันแล้ว
ปัง!
เสียงสายธนูราวกับฟ้าระเบิด ดังก้องสิบทิศ ก็เห็นศรแห่งนภาครามสีดำสนิทพุ่งออกมา ดุจดั่งรุ้งเทพสายหนึ่งจากเก้าชั้นฟ้าทะลวงออกมาอย่างรวดเร็ว กรีดเป็นรอยแยกยาว
ไอดุดันที่น่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เคลื่อนออกไปพร้อมลูกศร แปรเปลี่ยนเป็นแสงโชติช่วงน่าสะพรึงกลัว พวยพุ่งออกไป
ตูม!
ต่อมามกุฎอริยะยี่สิบเก้าคนที่เพิ่งหลุดรอดจากกระบวนค่ายกล ก็เหมือนถูกดาวหางพุ่งชนอย่างไรอย่างนั้น
อากาศบริเวณนั้นล้วนถูกไอดุร้ายน่ากลัวนี้กลบมิด
พวกเซวี่ยชิงอีที่อยู่ห่างไปแข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน เป็นศรที่น่ากลัวนัก!
พอมองดูอีกครั้ง บริเวณนั้นฝนเลือดสาดกระเซ็น เสียงโหยหวนสะท้านฟ้า ภาพอันนองเลือดปรากฏขึ้นบนโลกราวกับเป็นขุมนรก!
——