Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1635 เดินหมากเรียกคลื่นลม ทลายค่ายกลเทพผีผวา
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1635 เดินหมากเรียกคลื่นลม ทลายค่ายกลเทพผีผวา
“สหายน้อย เชิญ”
สีหน้าหลิงเซียวจื่อกลับสู่ปกติ มีสง่าราศี วางภูมิดั่งยอดปรมาจารย์
“ขอรับ”
หลินสวินพยักหน้า ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็คีบตัวหมากขึ้นวางบนตำแหน่งแรกของแผนภาพเก้าวัง ‘วังหรดี’
ตัวหมากนี้มีชื่อเรียกว่า ‘หมากภูผาธารา’ หลอมด้วยวิชาลับ ภายในบรรจุพลังเร้นลับ ขอเพียงใช้ความคิดสั่งการ ก็สามารถประทับกระบวนค่ายกลที่ตนรังสรรค์ขึ้นมาไว้ภายในนั้นได้
วู้ม…
เมื่อหลินสวินเดินหมาก ‘โลกว่างเปล่า’ บนตำแหน่งวังหรดี พลันถูกกระบวนค่ายกลกระบวนหนึ่งปิดครอบเอาไว้
ตำแหน่งที่ดูคล้ายขนาดประมาณกำปั้น อันที่จริงสามารถบรรจุกระบวนผนึกขนาดใหญ่กระบวนหนึ่งเอาไว้ได้
นี่ก็คือความอัศจรรย์ของกฎเกณฑ์ห้วงอากาศ
ระดับราชันอริยะก็สามารถควบคุมพลัง ‘อาณาเขตห้วงอากาศว่างเปล่า’ ได้ และสามารถซุ่มซ่อนความยิ่งใหญ่ในความเล็กจ้อย หลอมภูผาธาราหมื่นลี้ไว้กลางฝ่ามือได้
สำหรับกึ่งจักรพรรดิ การควบคุมนัยเร้นลับห้วงอากาศว่างเปล่ายิ่งไม่ใช่เรื่องยากเข้าไปใหญ่
แผนภาพเก้าวังหนังสัตว์ผืนนี้ก็คือสมบัติห้วงอากาศว่างเปล่าชิ้นหนึ่ง
“กระบวนผนึกอนุเวหา”
สัตว์ประหลาดเฒ่าในลานจำกระบวนค่ายกลที่หลินสวินวางได้ในทันที ต่างพากันส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้ กระบวนค่ายกลนี้ธรรมดาเกินไปจริงๆ
อย่าว่าแต่หลิงเซียวจื่อ ต่อให้พวกเขาลงมือเองก็สามารถทลายมันได้โดยง่าย
‘เจ้าหนูนี่ยังเด็กอยู่จริงๆ’
ในใจคคนไม่น้อยรู้สึกขำขัน ยิ่งมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ ว่าหลินสวินจะต้องแพ้อย่างไร้ข้อกังขา
“เจ้าหนู นี่หมากเน่าอะไรของเจ้า!”
ซุ่นจี้โมโห กระบวนค่ายกลนี้ช่างธรรมดาเกินไปจริงๆ ไม่ได้เรื่องสุดขีดชัดๆ อุบายแค่นี้ยังคิดอยากชนะหลิงเซียวจื่อ ช่างเพ้อเจ้อฝันหวานอย่างสิ้นเชิง
“ผู้อาวุโส ชมหมากไม่ส่งเสียงคือสุภาพชน”
หลินสวินกลับเยือกเย็นและสงบนิ่งมาก
ซุ่นจี้จ้องหลินสวินอย่างดุดันปราดหนึ่ง สุดท้ายก็ถอนใจยาวอย่างจนปัญญา จบกัน ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ตนพ่ายแพ้ยับเยิน แม้แต่เจ้าหนูนี่ก็ยังเสียโสมสมบัติแปดวิญญาณไปอีกคน อับอายขายขี้หน้ายกใหญ่โดยแท้
สีหน้าหลิงเซียวจื่อราบเรียบ ทั้งไม่ได้ถากถางและไม่ได้ดูเบา คีบหมากหนึ่งตัวขึ้นมาเช่นกัน เมื่อความคิดขยับไหว วิชาทลายค่ายกลพลันทะลักสู่ตัวหมาก
ปึง!
เมื่อวางตัวหมากลง กระบวนค่ายกลที่หลินสวินวางไว้ในวังหรดีพลันทลายครืนไม่เป็นท่า สลายไปไร้ร่องรอย
กระดานแรกหลินสวินแพ้แล้ว
หลิงเซียวจื่อกล่าว “เจ้าหนุ่ม รามือเสียตอนนี้ยังทัน”
หลินสวินสีหน้าไม่สุขไม่เศร้า กล่าวว่า “มหามรรคดุจกระดานหมาก ข้ายินดีเป็นเบี้ย แม้เคลื่อนไหวช้า แต่ไม่ก้าวถอยหลัง”
“พูดได้ดี!”
ฮูหยินชุดม่วงโฉมงามคนนั้นดวงตาทอประกาย ร้องโพล่งออกมา
สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ ก็อดหัวเราะร่วนไม่ได้ พูดดีแค่ไหนฟังไปก็เปล่าประโยชน์ แต่ไรมาบนโลกนี้ล้วนไม่ขาดแคลนพวกดื้อแพ่ง รั้นหัวชนกำแพงก็ไม่ยอมเหลียวหลัง
หลิงเซียวจื่อไม่พูดมากความอีก คีบหมากขึ้นหนึ่งตัว ยื่นมือวางลงบนตำแหน่งวังอุดร
ปฐมาจารย์สลักลายมรรคอย่างเขา กระบวนค่ายกลที่มีในสมองไม่เพียงพันหมื่น ลงมือลวกๆ ก็สามารถวางกระบวนค่ายกลที่เข้มงวดกระบวนหนึ่งได้
“กระบวนผนึกย้อนทวิลักษณ์คล้อยดารา”
บรรดาสัตว์ประหลาดเฒ่าล้วนมองออก ลอบพยักหน้า กระบวนค่ายกลนี้ไม่ถึงขั้นยากเข็ญ แต่หากไม่มีรากฐานของปฐมาจารย์สลักวิญญาณ กลับยากยิ่งที่จะทลายนัยเร้นลับภายในนั้นได้
ต่อให้รู้รายละเอียดทุกอณูของกระบวนค่ายกลนี้ก็เปลืองแรงเปล่า
เพราะทันทีที่กระบวนค่ายกลนี้สร้างเสร็จ พันเปลี่ยนหมื่นแปร ถูกควบคุมโดยผู้วางกระบวนอย่างสิ้นเชิง ยิ่งฝีมือของผู้วางกระบวนค่ายกลสูงเท่าไหร่ กระบวนค่ายกลก็ยิ่งถูกทลายยากเท่านั้น
หลิงเซียวจื่อวางกระบวนค่ายกลนี้นับว่าเมตตาแล้ว ไม่ได้มีท่าทีจงใจรังแกหลินสวิน เห็นชัดว่าหมายใช้กระบวนค่ายกลนี้ทำให้หลินสวินยอมถอยไปเอง
“จบกัน ข้าก็เคยแพ้อนาถให้กับกระบวนค่ายกลนี้ เจ้าหนูนี่…”
ซุ่นจี้ถึงขั้นทนดูต่อไปไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว
แต่เหนือความคาดหมายของทุกคน หลินสวินขบคิดเพียงครู่เดียวก็คีบหมากตัวหนึ่งขึ้นมาและวางส่งๆ ลงไป
ปึง!
เดินหมากเรียกคลื่นลม ทลายค่ายกลเทพผีผวา!
กระบวนผนึกย้อนทวิลักษณ์คล้อยดาราที่ถูกเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าตั้งความหวังเอาไว้ ถึงกับถูกทลายลงเพียงชั่วพริบตา
คนไม่น้อยต่างอุทานแปลกใจอย่างอดไม่อยู่ มองดูหลินสวินอีกครา มิน่าเจ้าหนูนี่ถึงกล้าดีเดือดปานนี้ ที่แท้ก็มีฝีมืออยู่บ้าง
“หือ”
ซุ่นจี้อ้าปากกว้าง ทั้งรู้สึกออกจะตั้งตัวไม่ทัน เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลินสวินจะพิชิตกระบวนค่ายกลที่หลิงเซียวจื่อวางอย่างราบรื่นปานนี้
“น่าสนใจ” นัยน์ตาฮูหยินชุดม่วงโฉมงามฉายแววแปลกไป
กระดานที่สอง หลินสวินชนะ!
หลิงเซียวจื่ออึ้งไปเล็กน้อยแต่ไม่ทันไรก็กลับสู่สภาวะปกติ นัยน์ตาลุ่มลึก มองหลินสวินอย่างลึกล้ำปราดหนึ่งพลางกล่าว “ดูเหมือนว่าสหายน้อยจะเตรียมตัวมาพร้อม ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่ดูเบาเจ้าไป”
“ผู้อาวุโสปราณีแล้ว”
หลินสวินไม่ลำพองไม่ร้อนรน ไม่ถ่อนตนไม่โอหัง วางตัวราบเรียบ
หลิงเซียวจื่อเก็บสายตากลับมาแล้วเอ่ยว่า “ตาเจ้าวางกระบวนค่ายกลแล้ว”
เขาตัดสินใจใช้พลังแท้จริงแล้ว เขาเป็นถึงปฐมาจารย์สลักลายมรรค ผ่านประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานไม่รู้เท่าไหร่กว่าจะมีบารมีอย่างวันนี้ได้ ย่อมไม่ยอมให้เกิดเรื่อง ‘เรือล่มในคลองตื้น[1]’ อย่างแน่นอน
“เจ้าหนู ครั้งนี้ต้องวางกระบวนค่ายกลที่ร้ายกาจหน่อย!”
ซุ่นจี้อดร้องเตือนไม่ได้
ทันใดนั้นกึ่งจักรพรรดิบางส่วนเริ่มไม่พอใจ “เหล่าซุ่น กฎเกณฑ์ที่ว่าชมหมากไม่ส่งเสียงเจ้าไม่เข้าใจหรือ หากยังโหวกเหวกอีกก็อย่าโทษที่พวกข้าไล่เจ้าเชียว”
ซุ่นจี้กระอักกระอ่วน เงียบปากทันควัน
สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้หลินสวินคล้ายไม่รับรู้สักนิด นิ่งคิดอยู่นานกว่าจะเดินหมาก
วู้ม…
กระบวนค่ายกลหนึ่งวิวัฒน์ออกมาใน ‘วังอีสาน’
หลิงเซียวจื่อสังเกตครู่หนึ่ง นัยน์ตาหดตัวลงอย่างยากจะสังเกตเห็น กระบวนค่ายกลนี้ลึกล้ำขึ้นมาบ้างแล้ว แม้เป็นปรมาจารย์สลักลายมรรคยังยากจะวางกระบวนค่ายกลที่เร้นลับเช่นนี้ได้
‘คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนูนี่จะมีความเชี่ยวชาญระดับนี้ในวิถีสลักวิญญาณ เป็นผู้มีความสามารถที่ฟูมฟักได้’
หลิงเซียวจื่อรำพันในใจ แต่การเคลื่อนไหวในมือไม่ได้ชักช้า เดินหมาก ทลายกระบวนค่ายกล เปี่ยมราศีของปฐมาจารย์สลักลายมรรคอย่างเด่นชัด
สัตว์ประหลาดเฒ่าในลานฉายแววชื่นชมอย่างอดไม่อยู่ หลิงเซียวจื่อสมกับเป็นหลิงเซียวจื่อ ทลายกระบวนค่ายกลดุจผ่าลำไผ่ เคลื่อนไหวเบาๆ ก็มีอานุภาพหักทำลายสรรพสิ่ง
กระดานที่สาม หลิงเซียวจื่อชนะ
ไม่ได้พูดพล่าม หลิงเซียวจื่อคีบหมากหนึ่งตัวขึ้นมาทันที วางบนตำแหน่งวังบูรพา เสียงวู้มก้องกังวาน กระบวนผนึกขนาดใหญ่ที่เคร่งครัด แปรเปลี่ยนหลายหลากปรากฏขึ้นมา ลักษณ์ประหลาดอัศจรรย์ปานอนุมานถึงสรรพสิ่ง
‘ดี!’
เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าร้องชมในใจ กระบวนค่ายกลนี้เพิ่งเผยฝีไม้ลายมือแท้จริงของหลิงเซียวจื่อออกมา อัศจรรย์เหนือบรรยาย
สีหน้าซุ่นจี้ฉายแวววิตก เจ้าเฒ่าอย่างหลิงเซียวจื่อนี่ เห็นชัดว่าเริ่มใช้ฝีมือแท้จริงแล้ว ไม่คิดปรานี หมายจะฆ่าหลินสวินอวดศักดา
กลับเห็นหลินสวินไม่ลนลานไม่ร้อนรน สีหน้าสงบนิ่ง หลังจากสังเกตโดยละเอียดครู่หนึ่งก็ค่อยๆ คลี่ยิ้ม เดินหมากวางลงไป
ปึง!
กระบวนค่ายกลพังทลาย
สัตว์ประหลาดเฒ่าในลานต่างแปลกใจเบิกตากว้าง นี่เป็นถึงฝีมือแท้จริงของหลิงเซียวจื่อ ต่อให้เป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณก็ใช่ว่าจะทลายลงได้
แต่ตอนนี้ถึงกับพังลงเช่นนี้แล้ว
“อู้ว”
ซุ่นจี้กลั้นไม่อยู่ ส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้ง สายตาที่มองหลินสวินเปลี่ยนไป เจือแววปิติยินดีประหนึ่งเก็บสมบัติได้ไม่ปาน
คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหนูนี่จะซ่อนคมไว้ลึกขนาดนี้!
สามารถทำลายกระบวนค่ายกลที่หลิงเซียวจื่อสร้างขึ้นอย่างง่ายดาย อย่างไรก็ต้องมีความเชี่ยวชาญระดับปฐมาจารย์สลักวิญญาณกระมัง
อย่างน้อยเขาซุ่นจี้ หากเจอกระบวนค่ายกลนี้ต้องแก้ไม่ได้แน่
ชั่วขณะเดียวในลานเงียบกริบอย่างแปลกประหลาด ยามสายตาทั้งหมดมองไปยังหลินสวินล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ขึ้นเงียบๆ
ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นหลินสวินเป็นพวกเด็กรุ่นหลังที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่ถึงขนาดเหยียบย่ำและเหยียดหยัน เพียงแต่คิดว่าอีกฝ่ายยังอายุน้อย ไม่รู้รุกรู้ถอย
ทว่าตอนนี้ พวกเขาถึงตระหนักได้โดยพลันว่าเจ้าหนุ่มที่ถูกพวกเขามองเป็นเด็กรุ่นหลังคนนี้ ถึงกับมีความเชี่ยวชาญในวิถีสลักวิญญาณที่ไม่ธรรมดาอย่างที่สุด
อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าเจ้าหมากเน่าอย่างซุ่นจี้มากโข!
ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว พวกเขายังคงมีความมั่นใจต่อหลิงเซียวจื่ออย่างแน่วแน่เช่นเดิม เพราะทั้งในนอกกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิแห่งนี้ ใครบ้างไม่รู้ว่าผลงานในวิถีสลักวิญญาณของหลิงเซียวจื่อ สามารถใช้คำว่า ‘แปลกแยกโดดเด่น’ มาอธิบายได้
หลิงเซียวจื่ออึ้งไปอีกครั้งไม่ได้
ครั้งนี้เขาไม่ได้ออมมือ สิ่งที่ใช้คือกระบวนผนึกลายมรรคที่เขาชำนาญเป็นที่สุด แต่ก็ยังถูกทำลายเหมือนเดิม นี่ได้แต่พิสูจน์ว่าเจ้าหนุ่มตรงหน้าคนนี้ไม่ธรรมดายิ่ง!
หลิงเซียวจื่อเก็บงำความคิด สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หว่างคิ้วฉายแววมุ่งมั่นขึ้นมา
ยามนี้ฝีมือของหลินสวินได้กระตุ้นจิตวิญญาณนักรบภายในใจของเขาสำเร็จแล้ว บังเกิดจิตต่อสู้ที่ไม่เคยมีมานานแล้ว
ไร้ศัตรูเกินไปก็ช่างเงียบเหงายิ่ง
ยามนี้ในที่สุดก็มีคู่ประลองที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว!
คนไม่น้อยสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของหลิงเซียวจื่อได้อย่างว่องไว ต่างอดเหลือบมองหลินสวินอีกครั้งไม่ได้ เจ้าหนูนี่… ช่างเหนือคาดจริงๆ
สำหรับทั้งหมดนี้หลินสวินคล้ายไม่รับรู้ ในใจจดจ่ออยู่กับการประชันหมากเบื้องหน้า
หากกล่าวว่าหลิงเซียวจื่อมีจิตต่อสู้แห่งการ ‘พานพบคู่ต่อสู้’ เช่นนั้นหลินสวินก็มีความกระหายหมายชนะหลังจาก ‘เบิกบานที่ได้เห็นเหยื่อ’
ในอดีตกาล มีร้อยสำนักประชันเสียง หมื่นมรรคประชันศึก
ตอนนี้เขาหมายใช้ความรู้ความเข้าใจในวิถีสลักวิญญาณมาประชันกับหลิงเซียวจื่อ!
ไม่นานหลินสวินก็เดินหมาก ตำแหน่งวังอาคเนย์ปรากฏกระบวนค่ายกล คลุมเครือราวกับหมอก รางเลือนสุดหยั่ง
ครั้งนี้หลิงเซียวจื่ออนุมานเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ กว่าจะคีบหมากขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทลายกระบวนค่ายกลนี้ทิ้งไป
จากนั้นหลิงเซียวจื่อก็เริ่มวางกระบวนค่ายกล
ในลานเงียบกริบ ทุกคนต่างอดประหม่าขึ้นมาไม่ได้ จิตใจจดจ่อกับการประชันหมากทั้งหมด ใครๆ ล้วนดูออกว่าหลิงเซียวจื่อแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ขณะเดียวกัน หลินสวินเองก็ไม่อาจดูถูก!
เวลานี้ภายในใจซุ่นจี้ กระสับกระส่าย ตึงเครียด ตื่นเต้น แปลกประหลาด ดีใจ… ทุกอารมณ์ความรู้สึกที่ควรมีล้วนปรากฏ ซับซ้อนเป็นที่สุด
ยามหลินสวินมาถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ซุ่นจี้ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นคนรุ่นหลังคนหนึ่ง แต่ใครเลยจะคาดคิด คนรุ่นหลังเช่นนี้ วันนี้กลับสร้างความตื่นตาตื่นใจให้เขาไม่น้อย
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้เขาก็ยังรู้สึกตึงเครียดอย่างยากจะเลี่ยง ความแข็งแกร่งของหลิงเซียวจื่อเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน หาไม่ในช่วงหลายปีมานี้เขาก็คงไม่แพ้การประชันหมากทุกครั้งหรอก
ปึง!
หนึ่งชั่วยามให้หลัง หลินสวินทำลายกระบวนค่ายกลที่หลิงเซียวจื่อวางไว้ได้ บรรดาสัตว์ประหลาดเฒ่าต่างอดสะท้านสะเทือนไม่ได้
ประชันหมากมาถึงตอนนี้ เข้าสู่กระดานที่หกแล้ว
หลินสวินชนะสามแพ้สาม หลิงเซียวจื่อก็ชนะสามแพ้สามเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าฝีมือพอวัดพอเหวี่ยง ต่างไม่มีใครยอมใคร
เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิมานานมากแล้ว ใครเลยจะคาดคิด ว่าวันนี้ชายหนุ่มรุ่นเยาว์คนหนึ่งจะถึงขั้นสามารถขับเคี่ยวกับหลิงเซียวจื่อได้อย่างสูสี
ชั่วขณะนั้นท่าทีที่ทุกคนมีต่อหลินสวินก็เริ่มเปลี่ยนไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงขนาดมีสัตว์ประหลาดเฒ่าหัวใจไหวสะท้าน ลอบร้อนรนขึ้นมา ถ้าหากหลิงเซียวจื่อพ่ายแพ้ จะไม่เป็นการพิสูจน์ว่าก่อนหน้านี้พวกเขามีตาหามีแวว ไม่รู้จักแยกแยะหยกเลี่ยมทองหรอกหรือ
กระดานที่เจ็ดหลินสวินเป็นฝ่ายวางกระบวนค่ายกล เพียงแค่วางกระบวนค่ายก็เสียเวลาขบคิดและอนุมานไปกว่าสามชั่วยามกว่าจะเดินหมาก
ในขั้นตอนนี้บรรยากาศในลานก็ยิ่งเงียบกริบและกดดันมากขึ้นทุกที
ต่อให้เป็นราชันอริยะและกึ่งจักรพรรดิ ล้วนเลี่ยงความรู้สึกปากคอแห้งผากได้ยาก
การประชันหมากระดับนี้ ยากจะพบเจอ หาได้ยากเกินไป!
——
[1] เรือล่มในคลองตื้น หมายถึง เกิดปัญหาหรือเรื่องผิดพลาดในจุดที่ตัวเองมั่นใจ