Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1680 ดุจดั่งทวยเทพประทับร่าง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1680 ดุจดั่งทวยเทพประทับร่าง
หุบเขาตะวันคล้อย
ดูคล้ายหุบเขาแห่งหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงภายในนั้นก็เหมือนโลกขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ภายในโลกแห่งนี้ ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเป็นสีทองอร่าม เพลิงหลอมทองหลั่ง ภูผาธาราลุกโหม มีหินหนืดพวยพุ่งจากฟากฟ้าให้เห็นทุกแห่งหน
อาคารเก่าแก่สีทองหลายหลังตั้งตระหง่านเรียงราย ลอยแขวนกลางห้วงอากาศ อีกาทองตัวแล้วตัวเล่าสยายปีกมหึมา โผบินกลางฟ้าดิน
นี่ก็คือรังของเผ่าอีกาทอง คงอยู่มาจนปัจจุบันนับตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เป็นต้นมา รากฐานแข็งแกร่งจนน่ากลัว
แต่ในวันนี้กลับมีความโกลาหลปะทุขึ้น
โครมครืน!
เสียงดังกระหึ่มระลอกแล้วระลอกเล่าดังสะเทือนหู ทำให้โลกเล็กๆ นี้สั่นสะเทือน ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองมากมายล้วนถูกทำให้แตกตื่น
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“รีบไปดูเร็ว!”
เสียงอุทานแตกตื่นดังขึ้นสี่ทิศ เงาร่างไม่รู้เท่าไหร่พุ่งกรูออกมาจากพื้นที่ต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นพวกคนรุ่นหลัง บริวาร สาวใช้ของเผ่าอีกาทอง
“สวรรค์! เป็นเคราะห์สวรรค์!”
“นะ นี่… เป็นไปได้อย่างไร?”
ไม่นานผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองมากมายต่างมองเห็น บริเวณปากทางเข้าหุบเขาตะวันคล้อย มหาเคราะห์ไพศาลที่ไหลร่วงดุจน้ำตกแผ่ครอบฟ้าดินมาเยือน
ทุกที่ที่กวาดผ่านล้วนมีอสนีเคราะห์ที่เหมือนน้ำทะลักกระหน่ำลงมา คดเคี้ยวดุจมังกร เจิดจ้าลุกโชน วิวัฒน์เป็นรูปร่างแปลกประหลาดต่างๆ นานา
ภาพสะท้านสะเทือนเช่นนี้ทำให้ทุกคนล้วนสั่นเทิ้ม เบิกตากว้าง ประหนึ่งมหาพิบัติวันสิ้นโลกมาเยือน
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
คนมากมายต่างสะพรึงกลัว รู้สึกคับข้องใจ
ที่นี่เป็นถึงหุบเขาตะวันคล้อย เป็นอาณาเขตของพวกเขาเผ่าอีกาทอง ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดเป็นต้นมา เคยเกิดเรื่องน่ากลัวเช่นนี้เสียเมื่อไหร่
ทอดสายตามองทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณ ใครจะกล้ามุ่งหน้ามาบุกรุก
ไม่มี!
ดังนั้นเมื่อเห็นเคราะห์มหึมาเช่นนี้มาโจมตี ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองที่อยู่ภายในหุบเขาตะวันคล้อยมาทุกยุคทุกสมัยเหล่านี้จึงล้วนรู้สึกไม่อยากเชื่อ
“หัวหน้าเผ่าล่ะ ผู้อาวุโสพวกนั้นล่ะ เหตุใดพวกเขาจึงไม่ขวางไว้”
มีคนตะโกน
นั่นสิ พิบัติเคราะห์ไพศาลระดับนี้มาเยือน สัตว์ประหลาดเฒ่าในเผ่าพวกนั้นจะไม่รู้สึกถึงสักนิดเชียวหรือ
“เร็วเข้า! เปิดผนึกอริยะ!”
มีผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสส่งเสียงตะโกนลั่น
แต่คนส่วนใหญ่กลับลนลานหนีตาย โกลาหลไม่เป็นขบวน เพราะอสนีเคราะห์ที่พลิกม้วนมานั่นประหนึ่งพายุสายฟ้า
โครมครืน!
นี่เป็นถึงเคราะห์แห่งมหาอริยะที่พุ่งเป้าเล่นงานบุคคลขอบเขตมกุฎอย่างหลินสวิน สามารถกวาดสังหารระดับมหาอริยะขั้นสัมบูรณ์อย่างอูเหิงเจิ้นได้ นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ เล่า
ชั่วขณะเดียว พร้อมๆ กับการเคลื่อนย้ายของอสนีเคราะห์ ในหุบเขาตะวันคล้อยไม่รู้มีผู้แข็งแกร่งถูกสังหารไปเท่าไหร่ วิญญาณแตกซ่าน
อาคาร เนินเขา ต้นไม้ใบหญ้า ทางเดิน สวนโอสถแต่ละแห่ง… ล้วนสลายไปภายใต้อสนีเคราะห์โหมคลั่ง
เสียงร้องคร่ำครวญ โหยไห้ วิงวอน ตกใจหวาดผวาต่างๆ ยิ่งดังก้องในไม่รู้สิ้น
ฟ้าดินสั่นสะเทือน ปรากฏภาพการทำลายล้างครั้งใหญ่!
ยามนี้อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองธรรมดาทั่วไปเลย ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่เหยียบย่างระดับอริยะก็ยังไม่มีใครไม่ขวัญหนีดีฝ่อ
ส่วนอูเหิงเทียนเล่า
เขาก็เผ่นหนีเช่นกัน นำคนใหญ่คนโตของเผ่าอีกาทองกลุ่มหนึ่งเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามที่ต้นเทพฝูซางตั้งอยู่
ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาไม่อาจไปใส่ใจสักนิด!
ตอนนี้อูหยาจื่อตายแล้ว นั่นเท่ากับเผ่าอีกาทองสูญเสียเสาหลักไปหนึ่งคน ส่วนสองราชันอริยะอย่างอูเฟิงจื่อ อูหลิงจื่อ ล้วนกำลังกำราบเจ้ามารบาปคนนั้นที่หน้าต้นเทพฝูซาง
ก็มีแต่หนีไปถึงที่นั่นจึงจะมีหวังพลิกสถานการณ์!
…
เบื้องหลังหลินสวินบังคับอสนีเคราะห์ กระตุ้นไม่ลดละ
เขาเหมือนเป็นเทพแห่งการทำลายล้าง ตลอดทางมีทัณฑ์อสนีกว้างใหญ่ติดตาม ทำลายล้างผู้แข็งแกร่งและสิ่งมีชีวิตเผ่าอีกาทองไม่รู้เท่าไหร่
ผนึกอริยะหลายชั้นปรากฏขึ้น แกร่งกร้าวครัดเคร่ง แต่อยู่ต่อหน้าหลินสวินก็อ่อนแอดุจกระดาษเปื่อย ถูกอสนีเคราะห์ผ่าทลายบดขยี้ ย่อยยับไปภายใต้เสียงก้องกระหึ่มเป็นระลอก
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
หลินสวินในเวลานี้ประดับอานุภาพแห่งเคราะห์สวรรค์ ประหนึ่งเทพสวรรค์กรำศึก!
ด้านหลังเขา พวกเจ้าคางคก อาหลู่ เซ่าเฮ่าที่ไล่ตามมาติดๆ พอเห็นเช่นนี้ล้วนเลือดลมพลุ่งพล่าน สะท้านสะเทือนอย่างบอกไม่ถูก
ระหว่างนั้นเสมือนย้อนกลับไปกรำศึกในสมรภูมิเก้าดินแดน!
“ฆ่า!”
อาหลู่ตะโกนลั่น ถือกระบองเหล็กท่อนหนึ่งพุ่งพรวดออกไป กลิ่นอายกลืนภูผาธารา
ตูม!
ทันทีที่กระบองหวดลง อีกาทองที่หนีไม่ทันส่วนหนึ่งก็ถูกกระแทกกลายเป็นโคลนเนื้อทั้งอย่างนั้น ผืนดินล้วนถูกซัดแตก
“เรื่องบันเทิงเช่นนี้ จะขาดข้าจินตู๋อีไปได้อย่างไร”
เจ้าคางคกเลียริมฝีปาก เสียงฟุ่บดังขึ้น เคลื่อนผ่านห้วงอากาศ กลืนตะวันคายจันทรา พลังต่อสู้กร้าวแกร่งอย่างที่สุด
“ฮ่าๆๆ ทุกคน ถึงตาพวกเราลงมือแล้ว อย่าได้ถูกเจ้าหลินสวินนี่เอาหน้าไปคนเดียวเด็ดขาด!”
เซ่าเฮ่าหัวเราะลั่น ย่างเท้าทะยานขึ้นไป
ที่ตามมาติดๆ คือมกุฎอริยะแท้อย่างพวกรั่วอู เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน เยวี่ยเจี้ยนหมิง ชื่อหลิงเซียว หยวนฝ่าเทียน ราชันเผิงปีกทองน้อย ทุกคนต่างบุกโจมตี
ระดับอริยะแท้ อยู่ในดินแดนรกร้างโบราณยังเรียกได้ว่าเป็นคนที่เผด็จการกร้าวแกร่ง นับประสาอะไรกับมกุฎอริยะแท้ทั้งกลุ่มที่ผ่านการต่อสู้ดุเดือดอย่างสมรภูมิเก้าดินแดน
ชั่วขณะเดียวก็เห็นในหุบเขาตะวันคล้อยปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง เสียงดาบครวญคำราม วิชามรรคมากมายพาดขวาง ไหลหลั่งดุจธารสมบัติพร่างพราว
โลกเล็กสีทองที่กว้างใหญ่ ทุกที่ล้วนโกลาหล สะท้านสะเทือนและนองเลือด!
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ไอสังหารเดือดพล่านปิดครอบฟ้าดิน
และเวลานี้ หลินสวินก็มาถึงบริเวณที่ต้นเทพฝูซางตั้งอยู่แล้ว
…
ภูเขาสูงตระหง่าน กลิ่นอายปั่นป่วนคละคลุ้ง ละอองแสงเพลิงหลอมไหลเวียน นี่คือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์หาใดเปรียบ ดุจดั่งแดนพิสุทธิ์แห่งหนึ่งที่อยู่ยงคงนิรันดร์
ต้นไม้เก่าแก่ตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า หยั่งรากอยู่เบื้องหน้าภูเขาใหญ่ ลำต้นแข็งแกร่งทนทานปานมังกร ตัวลำต้นดุจดั่งหลอมจากทองคำ เปลวเพลิงลุกโชน
ใบไม้แต่ละใบนั่นเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์แขวนห้อยอยู่บนกิ่งไม้ เจิดจ้าเปล่งแสง ประกายไฟไหลหลั่งปานน้ำตก
ต้นเทพฝูซาง!
ต้นไม้เทพที่ชื่อก้องดินแดนรกร้างโบราณนับแต่อดีตจนปัจจุบัน ให้กำเนิดแหล่งเพลิงสมาธิ เรียกรวมกับชางอู๋ เจี้ยนมู่ คุนอู๋ ว่า ‘สี่ต้นไม้เทพ’
ตามตำนานเล่าว่า ‘คัมภีร์ยอดสุริยัน’ ที่บรรพบุรุษของเผ่าอีกาทองหยั่งถึง ก็มีต้นกำเนิดมาจากลวดลายตามธรรมชาติของต้นเทพฝูซาง
เมื่อหลินสวินมาถึง เงาร่างของผู้คนในแถบนี้ล้วนขยับไหว ยอดฝีมือเผ่าอีกาทองปรากฏตัว ในนั้นมีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับมหาอริยะอย่างอูเหิงเทียน
นอกจากนี้ยังมีราชันอริยะอีกสองคน
คนหนึ่งเป็นบุรุษชุดดำ ดวงหน้างามประหลาดราวเด็กหนุ่ม นัยน์ตาคู่นั้นเป็นสีทองประหนึ่งกระจก
อีกคนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนชุดเขียว มีสง่าดุจเซียน
คนแรกนามว่าอูเฟิงจื่อ คนหลังนามว่าอูหลิงจื่อ คอยดูแลหุบเขาตะวันคล้อยมาไม่รู้เนิ่นนานเท่าไหร่ ถูกมองเป็นเสาหลักของเผ่าอีกาทองเช่นเดียวกับอูหยาจื่อ
“แค่เจ้าหมอนี่หรือ”
อูเฟิงจื่อเอ่ยปาก เสียงปานกระบี่ครวญ คมกริบชวนสยอง
“แค่เจ้าเหลือขอนี่แหละ!”
อูเหิงเทียนสีหน้าคล้ำเขียวเกรี้ยวกราด ดวงตาแดงก่ำ
ไกลออกไปหลินสวินหยุดเท้ากลางอากาศ ถึงตอนนี้พลังมหาเคราะห์ที่เขากลืนเข้ามาล้วนหมดสิ้นแล้ว
แต่แม้ไม่มีพลังด่านเคราะห์เช่นนี้ก็ไม่มีปัญหา
“ดูท่าหุบเขาตะวันคล้อยในยามนี้ คนที่แกร่งที่สุดก็มีแค่ระดับราชันอริยะแล้ว…”
หลินสวินกวาดมองทุกคน สีหน้าเรียบเฉย
แม้จะเผชิญหน้ากับราชันอริยะสองคนและพวกคนชั้นสูงของเผ่าอีกาทองทั้งกลุ่ม เขาก็ไม่เคยแสดงอาการกริ่งเกรงออกมาสักนิด
“เจ้าสวะ เจ้ามารบาปนั่นถูกกำราบแล้ว ไม่มีทางมาช่วยเจ้าได้อีก เจ้ายังไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้อีกหรือ”
อูเหิงเทียนกัดฟันแน่น
จุดนี้หลินสวินเองก็สัมผัสได้เช่นกัน ตอนที่อยู่นอกหุบเขาตะวันคล้อย ระหว่างธนูวิญญาณไร้แก่นสารและวิญญาณอาวุธนั่นเกิดการขานรับอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้นอย่างหนึ่ง
และก็เพราะการขานรับเช่นนี้ ทำให้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารระเบิดอานุภาพดุดันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำลายเกราะของอูหยาจื่อ และสังหารได้เป็นผลสำเร็จ
แต่ว่าหลังจากสังหารอูหยาจื่อแล้ว การขานรับกันนี้ก็อันตรธานหายไป สันนิษฐานจากจุดนี้ วิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสารต้องประสบปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน
เมื่อรู้ดังนี้หลินสวินกลับไม่ได้ตกใจลนลาน ตรงข้ามมุมปากกลับฉายแววเหยียดเยาะ “น่าขัน เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าคนแซ่หลินมาครั้งนี้ เพียงเพื่อช่วยผู้อาวุโสคนนั้นออกไปเท่านั้น”
นิ่งไปพักหนึ่ง สีหน้าเขาเย็นเยียบกล่าวว่า “จนป่านนี้แล้ว ข้าคนแซ่หลินขอพูดตรงๆ วันนี้หุบเขาตะวันคล้อยต้องถูกลบชื่อออกจากดินแดนรกร้างโบราณ!”
“สามหาว!”
อูเฟิงจื่อตะโกนลั่น อานุภาพกดดันของระดับราชันอริยะดุจดั่งเขาถล่มคลื่นยักษ์โหมซัด บดซัดไปทางหลินสวิน
แต่เหนือความคาดหมายของทุกคน หลินสวินยืนนิ่งกลางอากาศ เงาร่างไม่ขยับเขยื้อนสักนิด!
อานุภาพที่น่าสะพรึงเพียงพอจะกำราบระดับมหาอริยะทั้งปวงนั่น ทันทีที่เข้าใกล้หลินสวินก็มลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทุกคนนัยน์ตาหดรัด ต่างอดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้
และในเวลานี้ พร้อมกับเสียงครวญดังชิ้งๆ กระบี่เทพเล่มหนึ่งที่ทั่วเรือนอบอวลด้วยพยับหมอกสีดำแปลกประหลาด ยามนี้พลันปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือหลินสวิน
กระบี่เล่มนี้มีแสงดำรายล้อม แปลกประหลาดน่าเกรงขาม ประหนึ่งว่าภายในนั้นเป็นประตูใหญ่เชื่อมไปยังขุมนรก ทำให้ผู้คนสั่นเทิ้มทั้งที่ไม่ใช่หน้าหนาว
เป็นศาสตราอริยะฟ้าประทานที่ชิงมาจากมือบุตรนรกนั่นเอง…
กระบี่อเวจี!
พร้อมกันนั้นกลิ่นอายของหลินสวินก็เปลี่ยนตามไปด้วย แม้แต่เงาร่างยังเริ่มเลือนราง รายล้อมด้วยแสงมรรคคลุมเครือสายแล้วสายเล่า อานุภาพไร้รูปนั้นทำให้ฟ้าดินแถบนี้จมสู่บรรยากาศน่าสะพรึง
ต่อให้เป็นราชันอริยะอย่างพวกอูเฟิงจื่อ อูหลิงจื่อ ยังอดหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ ไม่ได้
กลิ่นอายน่าสะพรึงนัก!
นี่ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งที่เพิ่งเหยียบย่างระดับมหาอริยะคนหนึ่งจะมีได้
หลินสวินในยามนี้สำแดงท่วงทำนองจิตที่สันโดษดั่งหน้าผา เย็นยะเยียบยิ่งกว่าหิมะออกมา หว่างคิ้วเจือแววผงาดกร้าวเหนือทั่วหล้าอยู่รางๆ!
เพียงแต่ในใจหลินสวินกลับยิ้มขื่นไม่สิ้น
เพราะเขาในยามนี้ได้ถูกพลังที่หญิงลึกลับ ‘ซี’ ปลดปล่อยออกมาควบคุม
ตามที่ซีว่า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เห็นคุ้มค่าให้นางออกโรงเองเลยสักนิด…
และหลังจากนั้นหลินสวินก็ค้นพบว่า ตนเองถูกพลังลึกลับนี่ควบคุมแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้อัศจรรย์ยิ่ง
เหมือนเขากลายเป็นคนนอก มองดูอยู่ข้างๆ อย่างสงบ
แต่การเปลี่ยนแปลงอันยอดเยี่ยมทั้งหมดที่เกิดขึ้นในร่าง ล้วนถูกเขาสัมผัสถึงได้อย่างชัดเจน
ก็เหมือน… ถูกวิญญาณเทพสิงร่าง!
“ลงมือ!”
พูดเหมือนช้าแต่ความจริงนั้นเร็วยิ่ง สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดของกลิ่นอายหลินสวิน อูเฟิงจื่อและอูหลิงจื่อสบตากับปราดหนึ่ง พุ่งโจมตีโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด
ล้วนสำแดงพลังของเขตแดนแห่งมรรคออกมา!
ครืน!
เขตแดนมรรคที่สร้างขึ้นจากเปลวเพลิงสีเขียวแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ครอบคลุมฟ้าดิน นี่เป็นเขตแดนมรรคเพลิงเขียวที่เกิดจากอูเฟิงจื่อ!
วู้ม!
ใบไม้คล้ายเปลวเพลิงสีทองใบหนึ่งปรากฏขึ้น แล้วขยายใหญ่ขึ้นกะทันหัน ลวดลายบนใบไม้ดุจดั่งกฎเกณฑ์มหามรรคถักทอ ก่อตัวขึ้นเป็นเขตแดนมรรคมหึมาอีกแห่ง
แดนทองใบอัคคี!
นี่คือวิชาเทียมฟ้าของอูหลิงจื่อ
ภายในแดนมรรค เป็นภาพสะท้อนของมรรควิถีแห่งตน ประหนึ่งเปิดโลกเล็กกลางฟ้าดิน และราชันอริยะก็เป็นนายเหนือหัวภายในนั้น มีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย!
…