Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1920 คนละสามกระบวน ต้านไหวหรือไม่
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1920 คนละสามกระบวน ต้านไหวหรือไม่
ตอนที่ 1920 คนละสามกระบวน ต้านไหวหรือไม่
เบื้องหน้ายอดเขาชำระหยก
เบื้องหน้ายอดเขาชำระหยก
ยามมองเห็นขบวนของชายหนุ่มชุดม่วงจวนอวี๋เหิง สายตาของหลินสวินล้วนเปลี่ยนเป็นหรี่ลงเล็กน้อย เป็นเจ้าหมอนี่ดังคาด!
ปีนั้นบนแท่นสักการะ หนึ่งในแดนสามผนึกของแหล่งสถานคุนหลุน จวนอวี๋เหิงเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งยุคคนแรกที่อาศัย ‘แรงปรารถนาสรรพชีวิต’ สักการะเป็นอริยบุคคล
ศิลามรรคสักการะที่เขาประทับไว้ลอยแขวนที่ระดับความสูงเจ็ดพันจั้ง ทำเอาสะท้านทั่วลาน
แน่นอน เมื่อเทียบกับผลงานสักการะที่หลินสวินสร้างขึ้นในปีนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าจืดจางไปไม่น้อย
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงว่าผ่านไปหลายปี จะถึงกับได้พบอีกฝ่ายอีกครั้งในที่แห่งนี้ หนำซ้ำดูจากอานุภาพที่อีกฝ่ายสำแดงออกมา ได้ทะยาสู่ระดับมกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์แล้ว!
‘นี่ยังไม่ทันถึงสิบปี อีกฝ่ายก็ทะลวงระดับจากมกุฎมหาอริยะขั้นสมบูรณ์มาถึงขั้นนี้ได้ สมกับเป็นผู้สืบทอดของเรือนมรรคจักรวาล…’
หลินสวินนึกถึงผู้แข็งแกร่งอย่างพวกกู่ฉางซิน เยี่ยนฉุนจวินที่สังหารไปในแหล่งสถานคุนหลุนในปีนั้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ คนเหล่านี้ล้วนมาจากเรือนมรรคจักรวาลเหมือนกับจวนอวี๋เหิง!
เพียงแต่ว่าปีนั้นตอนอยู่บนแท่นสักการะ จวนอวี๋เหิงไม่ได้ตั้งตนเป็นอริกับหลินสวิน หนึ่งเพราะเกรงกลัวพลังต่อสู้ของหลินสวิน สองกลับเพราะไม่อยากแส่หาเรื่องวุ่นวาย เลี่ยงไม่ให้ถ่วงเวลาการสักการะเป็นอริยะของเขา
ฉะนั้นกับจวนอวี๋เหิง หลินสวินก็ไม่ถึงขั้นมองเป็นศัตรูเท่าใดนัก
แต่เขาก็รู้ดีเช่นกันว่าพบหน้ากันครั้งนี้ เกรงว่าคงจะไม่รื่นรมย์สักเท่าไหร่แล้ว
ดังคาด ทันทีที่จวนอวี๋เหิงในชุดม่วงมาถึง นัยน์ตากระจ่างดุจดวงดาราคู่นั้นก็จ้องบนตัวหลินสวินเขม็ง
มุมปากเขายกโค้งเจือแววนึกสนุก กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าสำนักเหิงเซียว นี่ท่านออกจะไม่เที่ยงตรงไปหน่อยแล้ว”
เหิงเซียวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งกล่าวว่า “คุณชายจวนอวี๋ นี่ท่านพูดเรื่องอะไร”
“เฮอะ เลิกเสแสร้งได้แล้ว”
จวนอวี๋เหิงเหยียดหยัน เห็นได้ชัดว่าไม่เกรงใจยิ่ง ไม่สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นไม่น่าดูของเหิงเซียวสักนิด ชี้ไปทางหลินสวินแล้วพูดกับจื่อเชวี่ยที่อยู่ข้างๆ ว่า “คนที่เจ้าเจอในตลาดมืดใต้ดินใช่คนผู้นี้หรือไม่”
จื่อเชวี่ยมองสำรวจหลินสวินอย่างละเอียดครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างเคลือบแคลง “คุณชาย น่าจะไม่ใช่คนผู้นี้ กลิ่นอายและท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ของเขาต่างจากคนที่ข้าเคยเจออย่างสิ้นเชิง”
จวนอวี๋เหิงอึ้งไป นัยน์ตาปรากฏประกายสีทองชวนสยดสยองเป็นสายๆ มองสำรวจหลินสวินตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างจองหองไร้กลัวเกรงครู่หนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วกล่าวว่า “เขาไม่ได้แปลงโฉมและปลอมตัว เจ้าแน่ใจนะว่าดูไม่ผิด”
จื่อเชวี่ยพยักหน้า “บ่าวไม่กล้าปลิ้นปล้อนในเรื่องใหญ่เช่นนี้เด็ดขาด”
เมื่อเห็นเช่นนี้เหิงเซียวจึงกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านี่น่าจะเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น สหายน้อยผู้นี้นามว่าจินตู๋อี เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งคว้าตำแหน่งอันดันหนึ่งในศึกถกมรรคแคว้นเมฆา ทั่วทั้งแคว้นเมฆาไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของเขา”
“อันดันหนึ่งของศึกถกมรรคแคว้นเมฆาหรือ”
จวนอวี๋เหิงอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะร่วน “เจ้าสำนักเหิงเซียว นี่ท่านกำลังเตือนข้าว่าจินตู๋อีนี่หาเรื่องไม่ง่ายอย่างนั้นหรือ”
ด้านหลังเขา บรรดาหญิงสาวงามละมุนทรงเสน่ห์เหล่านั้นต่างปิดปากหัวเราะเบาๆ
จากฐานะของนายน้อย มีหรือจะเกรงกลัวอันดันหนึ่งของศึกถกมรรคแคว้นเมฆาขี้ปะติ๋วคนหนึ่ง
เหิงเซียวกล่าว “คุณชายเข้าใจผิดแล้ว คนแก่เช่นข้าแค่อยากบอกว่า ท่าน… อาจจำคนผิดหรือไม่”
“เป็นไปไม่ได้!”
จวนอวี๋เหิงหนักแน่นแน่วแน่ สายตาเขาเอาแต่จ้องหลินสวินราวกับจับจ้องเหยื่อก็ไม่ปาน เจือแววนึกสนุกและเย็นเยีย
“เจ้าสำนักเหิงเซียว ข้าอยากพูดคุยกับสหายยุทธ์จินตู๋อีผู้นี้สักหน่อย หากท่านไม่อยากหาเรื่องวอดวายมาสู่สำนักยุทธ์เสวียนจี ก็เชิญถอยอออกไปหนึ่งก้าว อย่าได้แทรกแซง”
น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย ทว่ากลับปรากฏท่าทีเหยียดหยันที่ราวกับชี้แนะเรื่องสำคัญก็ไม่ปาน
ควรรู้ว่าที่นี่เป็นถึงสำนักยุทธ์เสวียนจี เหิงเซียวก็เป็นเจ้าสำนักของสำนักยุทธ์เสวียนจี! แต่ยามนี้จวนอวี๋เหิงถึงกับข่มขู่อย่างไม่เกรงใจสักนิด ต้องการให้เหิงเซียวถอยออกไป!
นี่ไม่อาจใช้คำว่าบ้าระห่ำมาบรรยายได้แล้ว หากแต่เป็นไม่เห็นเหิงเซียวและสำนักยุทธ์เสวียนจีที่อยู่เบื้องหลังเหิงเซียวอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
สีหน้าเหิงเซียวเปลี่ยนเป็นมืดทะมึนทันใด ภายในใจเดือดปุดๆ สุดขีด
และเวลานี้เองหลินสวินที่เอาแต่นิ่งเงียบดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้างจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าสำนักเหิงเซียว ข้าเองก็อยากถือโอกาสนี้พูดคุยกับคุณชายจวนอวี๋ผู้นี้สักหน่อย ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรท่านก็ไม่ต้องสนใจทั้งนั้น”
เหิงเซียวอึ้งไป
จวนอวี๋เหิงยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น หัวเราะอย่างจองหองโอหัง กล่าวว่า “เจ้าน่าสนใจยิ่ง ข้าชื่นชมนัก อีกประเดี๋ยวขอเพียงเจ้ายังน่าสนใจเช่นนี้อยู่ ข้าย่อมไม่สร้างความลำบากให้เจ้าเป็นแน่”
เหิงเซียวทอดสายตามองไปทางหลินสวิน เห็นฝ่ายหลังท่าทางแน่วแน่ก็ทอดถอนใจคราหนึ่งเอ่ยว่า “เอาเถิด ข้ารับรอง ยามที่พวกเจ้าสนทนากัน ไม่ว่าข้าหรือใครก็ตามในสำนักยุทธ์เสวียนจี ล้วนจะไม่แทรกแซงเรื่องของพวกเจ้าทั้งสองแน่นอน”
กล่าวเสร็จเขาหันตัวถอยหลีกไปไกลๆ
จวนอวี๋เหิงโบกมือคราหนึ่ง “จื่อเชวี่ย พวกเจ้าก็ถอยไปด้วย เรื่องนี้… คุณชายเช่นข้าจะจัดการด้วยตัวเอง”
พวกจื่อเชวี่ยพยักหน้าถอยออกไป
ไม่นาน บนยอดเขาชำระหยกก็เหลือเพียงหลินสวินและจวนอวี๋เหิงสองคน
“จินตู๋อีใช่หรือไม่ เหตุใดข้าถึงเพ่งเล็งเจ้า เจ้าน่าจะรู้อยู่เต็มอก”
จวนอวี๋เหิงจับจ้องหลินสวิน แววตาชวนสยอง “เอาอย่างนี้แล้วกัน สมบัติบรรพบุรุษของเซิงหย่วนตู้พวกนั้น ข้าต้องการเพียงสองชิ้น ประทับสำริดหนึ่งอัน ธงเหลืองอ่อนหนึ่งผืน ขอเพียงเจ้าส่งมอบออกมา ข้าจวนอวี๋เหิงย่อมชดเชยให้เจ้าอย่างเพียงพอ หากไม่เช่นนั้น…”
เขาตรงไปตรงมายิ่ง และแข็งแกร่งมากเช่นกัน ไม่ปกปิดความคิดของตนเลยสักนิด
“ไม่เช่นนั้นจะทำไมหรือ” หลินสวินกล่าวเรียบๆ
“ไม่เช่นนั้นก็มีแต่ต้องลงมือแล้ว ฝีมือสะท้อนความสามารถแท้จริง ถึงตอนนั้นก็ไม่มีการชดเชยอะไรแล้ว”
จวนอวี๋เหิงคลี่ยิ้มบางๆ เผยเรียวฟันขาวกระจ่างเรียงตัวสวย “แน่นอน เจ้าเป็นอันดันหนึ่งในศึกถกมรรคแคว้นเมฆา ต่อไปย่อมมีโอกาสเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรค หากบังคับแย่งชิงสมบัติเหล่านั้น ในใจเจ้าย่อมไม่ยินยอม”
หลินสวินยิ้มกล่าว “ดังนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร”
จวนอวี๋เหิงคล้ายกับคิดไม่ถึง เวลาแบบนี้หลินสวินถึงกับยังยิ้มออก
นี่มีแต่พิสูจน์ว่าหากอีกฝ่ายไม่ใช่เพราะมีความมั่นใจ ก็ต้องเป็นเพราะไร้ความเกรงกลัวต่อข่มขู่และฐานะของตนโดยสิ้นเชิง!
หลังจากอึ้งไปเล็กน้อยเขาก็กล่าวกล่าวเสียงเข้ม “ง่ายยิ่ง เจ้ารับสามกระบวนท่าของข้า ขอเพียงต้านไว้ได้ข้าจะจากไปทันที จะไม่รังควานเจ้าอีก หากต้านไม่ได้ ก็มอบสมบัติสองชิ้นนั้นออกมา ว่าอย่างไร”
หลินสวินส่ายหน้า “ไม่สู้เช่นนี้ดีกว่า เจ้ากับข้าต่างออกสามกระบวนท่า ข้าต้านไม่อยู่ ก็จะมอบสมบัติให้เจ้า เจ้าต้านไม่อยู่ เจ้าก็ต้องมอบสมบัติในมือออกมาเป็นอย่างไร”
จวนอวี๋เหิงนัยน์ตาหดรัด สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา กล่าวว่า “ฟังแล้วดูเหมือนยุติธรรมยิ่งอย่างว่า เพียงแต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะทำเช่นนี้”
หลินสวินกล่าว “ไม่กล้าหรือ”
จวนอวี๋เหิงอดหัวเราะลั่นไม่ได้ “น่าสนใจ น่าสนใจเหลือเกิน เช่นนั้นวันนี้ข้าก็จะขอคำชี้แนะสักหน่อย ว่าอันดันหนึ่งศึกถกมรรคแคว้นเมฆา มีน้ำยาอะไรถึงกล้าพูดจาเช่นนี้กับข้า!”
น้ำเสียงเย็นเยียบ สั่นสะเทือนจิตวิญญาณ
หลินสวินยิ่งตรงไปตรงมา ตรงดิ่งห้อทะยานขึ้นฟ้า ยืนกลางอากาศบนชั้นเมฆแล้วพูดกับจวนอวี๋เหิงว่า “พูดเหลวไหลให้น้อยหน่อย ขึ้นมาสู้กันสักตา”
อาภรณ์เขาโบกสะบัด ผมดำพลิ้วไหว นิ่งขรึมราวกับภูผาสูงตระหง่าน
“ดี!”
เงาร่างจวนอวี๋เหิงราวกับรุ้งวิเศษสายหนึ่งก็ไม่ปาน ทะยานแหวกอากาศ นัยน์ตามีประกายสีทองไหลเวียน จ้องมองหลินสวินที่อยู่ไกลๆ “เจ้าเริ่มก่อน หรือให้ข้าก่อน”
หลินสวินกล่าวเรียบๆ “หากข้าลงมือ เกรงว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสใช้สามกระบวนท่านั่นออกมาได้”
มุมปากจวนอวี๋เหิงกระตุกน้อยๆ อย่างไม่เป็นที่สังเกต เจ้าหมอนี่… ถึงกับจองหองยิ่งกว่าตนเสียอีก!
ในเวลาเดียวกันเหิงเซียวที่เลี่ยงออกไปอยู่ไกลๆ ก็หน้าเปลี่ยนสี นี่เห็นได้ชัดว่าคุยกันไม่ลงตัวเตรียมลงมือกันแล้ว!
จวนอวี๋เหิงเป็นทายาทเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลจวนอวี๋ ซ้ำยังเป็นผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคจักรวาลหนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่ ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็เป็นการล่วงเกินเขาไปแล้ว ผลที่ตามมาย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถรับไหวอย่างแน่นอน
นี่ทำให้ในใจเหิงเซียวอดกังวลขึ้นมาไม่ได้
ย้อนมองดูหญิงสาวงดงามทรงเสน่ห์อย่างพวกจื่อเชวี่ย หลังเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ต่างอดระบายยิ้มเยาะหยันล้อเลียนออกมาไม่ได้
จินตู๋อีนี่ถึงกับคิดลงมือกับนายน้อย?
เห็นๆ อยู่ว่าไม้ซีกงัดไม้ซุงชัดๆ!
พวกนางต่างรู้ดีที่สุดถึงความน่ากลัวของจวนอวี๋เหิง
“วางใจเถิด ข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าลงมือแน่นอน”
จวนอวี๋เหิงกล่าว ทันใดนั้นก็ย่างเท้าก้าวออกมา
แขนเสื้อเขาปลิวตลบ ประกายเจิดจ้าเสี้ยวหนึ่งพุ่งทะยานเหินฟ้าออกมาจากตัวของเขา ปั่นป่วนเมฆลมแปดทิศ
พริบตานั้นอานุภาพทั้งตัวเขาพลันเปลี่ยนไป เผด็จการกว้างไกล ราวกับเทพมาเยือนจากฟากฟ้า ทั่วร่างล้วนถูกแสงเทพสีม่วงบาดตากลบมิด
เสมือนอาทิตย์สีม่วงกลางนภา!
“กระบวนแรก!”
เขาทอดเสียงยาวราวกับมังกรครวญสะเทือนเก้าชั้นฟ้า ทันใดนั้นก็กดหนึ่งฝ่ามือออกไป
ตูม!
แสงมรรคสีม่วงกลางห้วงอากาศม้วนตลบ ควบรวมเป็นประทับฝ่ามือขนาดมหึมาดุจขุนเขาสายหนึ่ง ห้านิ้วประหนึ่งยอดเขา กลางรอยฝ่ามือประทับพลังกฎเกณฑ์อันเร้นลับงดงาม
สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ว่าห้วงอากาศใกล้ๆ กับประทับฝ่ามือแตกกระหึ่มเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นสภาพยับเยินปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง ท่วงทำนองมรรคอึงอลสนั่นหวั่นไหว ปรากฏลักษณ์ยิ่งใหญ่อย่างภูผาธาราแตกกระจุย มือเดียวปิดครอบฟ้า
ประทับมือยักษ์จักรวาล!
มรดกสูงสุดอย่างหนึ่งที่สืบทอดมาจากเรือนมรรคจักรวาล ยามนี้ถูกจวนอวี๋เหิงผสานเข้าสู่พลังเขตแดนมรรคแห่งตนแล้วปลดปล่อยออกมา
‘แกร่งนัก!’
ในใจเหิงเซียวสะท้าน เขาเคยพบเห็นบุคคลแห่งยุคมากมายในศึกถกมรรคแคว้นเมฆา และเคยเห็นพวกร้ายกาจเหมือนอย่างพวกลู่ตู๋ปู้ อู่หวง เซี่ยอวี่ฮวา ซูมู่หาน
เมื่อเทียบกับคนเหล่านี้ จวนอวี๋เหิงไม่ด้อยกว่าเลยสักนิด ถึงขั้นอยู่เหนือกว่าด้วยซ้ำ!
“สยบ!”
ประทับฝ่ามือสีม่วงที่ราวกับปิดครอบนภาโจมตีกำราบลงมาจากฟากฟ้า
ทอดมองอยู่ไกลๆ เสมือนมือแห่งวิญญาณเทพมาเยือนจากนอกชั้นฟ้า!
“นายน้อยเริ่มควบคุมพลังแห่งตนได้ยอดเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ราวกับบรรลุจุดสูงสุดในบัดดล อัศจรรย์ถึงขีดสุด”
จื่อเชวี่ยและหญิงสาวคนอื่นๆ ไม่มีใครไม่ทำหน้าคลั่งไคล้เลื่อมใส
หลินสวินยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เพียงยื่นแขนขวาออกมาบีบกลางอากาศคราหนึ่ง
ประทับฝ่ามือสายหนึ่งควบรวมขึ้นมาเช่นกัน ตระหง่านดั่งภูผา เจือกลิ่นอายเวิ้งว้างหนาทึบ พวยพุ่งห้อทะยานอยู่กลางอากาศ
ประทับทั้งสองปะทะกัน ชั้นเมฆสิบทิศแตกกระจุยทันควัน กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยร่วงสลาย แสงมรรคอันน่าสะพรึงไหลพล่าน ปะปนกับเสียงก้องกระหึ่มดุจฟ้าคำรามที่ดังออกมาจากจุดที่ทั้งสองปะทะกัน สะเทือนฟ้าสะท้านดิน
ยามเมื่อหมอกควันจางหาย
หลินสวินยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทั่วร่างรายล้อมด้วยแสงมรรคเรืองรอง ท่วงท่าสันโดษ ไม่ได้บาดเจ็บแต่อย่างใด
“นี่…”
“ถึงกับถูกเขาต้านไว้ได้หรือ”
“มิน่าเขาถึงกล้าสู้กับนายน้อย ที่แท้ก็มีน้ำยาอยู่นี่เอง แต่หากเขาคิดว่านายน้อยมีปัญญาเท่านี้ล่ะก็ นั่นย่อมผิดมหันต์แล้ว”
เหล่าสตรีอย่างจื่อเชวี่ยต่างเผยสีหน้าตกใจ แต่ล้วนไม่ลนลาน เห็นได้ชัดว่าแน่วนิ่งยิ่ง มั่นใจในตัวจวนอวี๋เหิงเต็มเปี่ยม
“หากสามกระบวนท่าของเจ้ามีอานุภาพแค่นี้ ครั้งนี้เกรงว่าคงจะแพ้จนเละไม่เป็นท่า”
บนห้วงอากาศ คำพูดของหลินสวินสบายๆ และราบเรียบ
“อย่างนั้นหรือ”
นัยน์ตาจวนอวี๋เหิงเยียบเย็น เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง อานุภาพทั่วร่างพลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง แผ่กว้างดุจอาทิตย์ดวงใหญ่กลางนภา ประกายแสงสาดส่องหมื่นจั้ง
กระบวนท่าก่อนหน้านี้เพียงแค่หยั่งเชิงเท่านั้น ตอนนี้เขารู้ชัดแล้ว ว่าควรใช้พลังระดับไหนกำราบคู่ต่อสู้ที่เห็นได้ชัดว่าฝีปากโอหังหาใดเปรียบคนนี้!
………………………..