Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1930 ทะลวงขั้นสู้กึ่งจักรพรรดิ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1930 ทะลวงขั้นสู้กึ่งจักรพรรดิ
ตอนที่ 1930 ทะลวงขั้นสู้กึ่งจักรพรรดิ
ไม่กี่วันหลังจากนั้น
ไม่กี่วันหลังจากนั้น
หลินสวินและป๋อหยาจื่อหวนกลับสำนักยุทธ์เสวียนจีด้วยกันเงียบๆ
ทันทีที่กลับไป หลินสวินก็เริ่มเตรียมการปิดด่านฝึกปราณ
ห่างจากการเปิดม่านงานชุมนุมถกมรรคอีกเพียงครึ่งปี ในช่วงนี้หลินสวินตัดสินใจจะยกระดับศักยภาพของตนไปอีกขั้น!
หน้าถ้ำสวรรค์แดนมงคลในยอดเขาชำระหยก
“เสวียนเยวี่ย ช่วงที่ข้าปิดด่าน รบกวนเจ้าช่วยข้ารวบรวมข่าวที่เกี่ยวข้องกับงานชุมนุมถกมรรคสักหน่อย”
หลินสวินกำชับ
ข้างกายเขาจินเทียนเสวียนเยวี่ยในชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ งดงามราวกับเซียนพยักหน้าพูด “คุณชายวางใจเถอะ”
“แน่นอนว่าเจ้าเองก็อย่าละเลยการฝึกปราณ ของสิ่งนี้เจ้าเก็บไว้”
หลินสวินคิดๆ แล้วก็ประทับการหยั่งรู้และใจความในการฝึกปราณของตนไว้ในม้วนหยกก่อนยื่นส่งให้
จินเทียนเสวียนเยวี่ยสังเกตคร่าวๆ แล้วใจเต้นขึ้นมา ความประหลาดใจพวยพุ่งเต็มแน่น!
นางรู้คุณค่าของม้วนหยกนี้เป็นอย่างดี แม้ไม่ใช่วิชายุทธ์และไม่ใช่มรดก แต่ประสบการณ์ฝึกปราณและการหยั่งรู้ภายในกลับเรียกได้ว่าเป็นสมบัติที่ไม่อาจประเมินค่า
ควรรู้ว่าคุณชายของตนแทบจะไร้ศัตรูในระดับอริยะแล้ว ไม่เช่นนั้นไม่มีทางชิงอันดับหนึ่งของศึกถกมรรคแคว้นเมฆามาได้อย่างง่ายดายแน่
“ขอบคุณคุณชายมาก”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งคู่ทอประกาย
หลินสวินยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าถ้ำสวรรค์แดนมงคล
“ที่ผู้อาวุโสพูดไว้ไม่ผิด ติดตามคุณชายฝึกปราณ แม้เป็นเพียงผู้ติดตามคนหนึ่ง แต่ก็เป็นศุภโชคที่หายาก…”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยพึมพำ
นางมีบุคลิกสง่างาม งดงามเลิศล้ำ เป็นพวกที่เย่อหยิ่งสูงส่งอยู่แล้ว แต่ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ยังไม่เคยมีใครทำให้นางนับถือได้เช่นนี้!
……
ครืน!
ในถ้ำสถิต หลินสวินนั่งขัดสมาธิ รอบตัวเผยปรากฏการณ์ประหลาดที่ยิ่งใหญ่ ประกายศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียน ประกายแสงราวกับพิรุณ เสียงมรรคดังก้อง
ตั้งแต่นั่งยานลมกรดข้ามฟ้าดารามาถึงโลกใหญ่หงเหมิงจนวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินปิดด่านอย่างแท้จริง
ทุกอย่างล้วนเพื่อทะลวงระดับ!
ก็เห็นว่ายามหายใจราวกับพายุพัดโหม กระแสอากาศกลายเป็นรูปงู กลืนกินดูดรับ กล้ามเนื้อรอบตัวเปล่งแสงอร่าม ท่วงทำนองมรรคพรูไหล
และภายในร่าง สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณสั่นสะท้านราวกับภูเขาไฟปะทุ ไหลเวียนอยู่ในทุกส่วนของร่างกาย ปลดปล่อยอานุภาพไร้ขอบเขตอันว่างเปล่าชัดเจนดุจดั่งเทพเซียนไปทั่วทั้งตัว!
โชคดีที่อยู่ในถ้ำสวรรค์แดนมงคล มีพลังผนึกหนาแน่นปกคลุม
ไม่เช่นนั้นแค่ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นตอนฝึกปราณของเขา ก็สามารถชักนำปรากฏการณ์ประหลาดจากฟ้า เมฆถาโถมแปดทิศได้แล้ว!
ทุกอย่างล้วนเพราะมรรควิถีที่หลินสวินสั่งสมแข็งแกร่งและทรงพลังเกินไป มรรคาทั้งสามอย่างหลอมกาย หลอมปราณ และหลอมจิตล้วนเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งแห่งยุค
เหมือนที่หลินสวินและเจียงซิงเชวี่ยคุยกันก่อนหน้านี้ อยากจะบรรลุมรรคที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็จะต้องฝึกพลังที่ไม่เคยมีมาก่อน!
ตั้งแต่วันนี้ หลินสวินก็จดจ่ออยู่กับการฝึกปราณ เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
……
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น
ในถ้ำสวรรค์แดนมงคลของยอดเขาชำระหยก
เสียงก้องสะท้อนปานจักรวาลแรกกำเนิดดังขึ้นในร่างหลินสวิน ละอองแสงศักดิ์สิทธิ์เป็นประกายพุ่งออกจากร่างเขา พร่างพราวราวกับรุ้ง งดงามเรืองรอง
สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าว่ากลิ่นอายรอบตัวเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เผยลักษณ์มหัศจรรย์มากมาย
มีหุบเหวกลืนกิน มีเตาหลอมโลก มีกฎเกณฑ์แห่งมรรคมากมายสลับทับซ้อนกัน สว่างไสวเป็นประกาย เจิดจ้าสะดุดตา
เสียงมรรคเป็นระลอกดุจเสียงท่องสวดภาวนาของเทพไท้ก้องกังวาน
ชั่วขณะเดียวทั้งตัวเขาปกคลุมด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามชั้นหนึ่ง ราวกับราชันอริยะกำราบโลก คงอยู่ชั่วนิรันดร์
ทะลวงแล้ว!
ครู่ใหญ่ตอนที่ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ หลินสวินลืมตาขึ้น ทันใดนั้นราวกับหุบเหวใหญ่คู่หนึ่งปรากฏขึ้น ทุกที่ที่สายตากวาดผ่านห้องอากาศล้วนพังทลาย ประหนึ่งถูกกลืนกินอย่างไรอย่างนั้น
‘ระดับมกุฎราชันอริยะขั้นปลาย…’
เมื่อสัมผัสพลังที่พวยพุ่งอยู่ในตัว ในใจหลินสวินเกิดความพอใจที่อธิบายไม่ถูกตามธรรมชาติ นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ฝึกปราณยึดมั่นกับการเสาะแสวงมรรค
การเปลี่ยนแปลงของระดับพลังเช่นนี้ ประหนึ่งว่าคนผู้นี้ได้นิพพานและเกิดใหม่ครั้งหนึ่ง ทั้งกายใจล้วนรู้สึกได้ยกระดับอย่างที่สุด
ความรู้สึกเช่นนั้นมหัศจรรย์ไม่อาจบรรยาย
หลินสวินลุกขึ้นเดินออกจากถ้ำสถิต
ตั้งแต่ยามศึกถกมรรคแคว้นเมฆา พลังปราณของเขาก็ห่างจากการบรรลุขั้นแค่เสี้ยวเดียวแล้ว ตอนนี้ปิดด่านมาหนึ่งเดือน พลังปราณจะเกิดการทะลวงก็เป็นเรื่องปกติ
แต่ตอนนี้หลินสวินอยากลองพลังหลังจากทะลวงขั้นสักหน่อย
เขามังกรขด
ช่วงนี้เหิงเซียวเจ้าสำนักสำนักยุทธ์เสวียนจีพักอยู่บนยอดเขานี้เป็นการชั่วคราว
“ยินดีกับสหายน้อยที่ทะลวงระดับขึ้นไป ใกล้หนทางแห่งมหามรรคขึ้นอีกก้าว!”
ตอนที่เห็นหลินสวินซึ่งปิดด่านมาหนึ่งเดือนปรากฏตัวบนเขามังกรขด เหิงเซียวอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นเผยสีหน้าตกใจก่อนจะเอ่ยแสดงความยินดี
หนึ่งเดือน!
อาจารย์อาเล็กของบรรพจารย์สำนักตนกลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พลังปราณบรรลุสู่ระดับมกุฎราชันอริยะขั้นปลาย
การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจนี้ทำให้เหิงเซียวอดพูดไม่ออก นี่มันปีศาจที่เรียกได้ว่าเย้ยฟ้าตัวเป็นๆ คนหนึ่งชัดๆ
“สหายยุทธ์ชมเกินไปแล้ว ข้ามาครั้งนี้เพียงอยากลองมรรควิถีของตนหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลง”
หลินสวินยิ้มพูด
เหิงเซียวชี้ที่ตัวเอง สายตาประหลาดใจ “เจ้า… คงไม่ได้อยากประลองกับข้าหรอกกระมัง”
หลินสวินพูด “หากท่านยินยอมชี้แนะด้วยตัวเอง นั่นย่อมยิ่งดี”
เหิงเซียวยิ้มขื่น
บนโลกนี้ระดับอริยะคนใดจะกล้าไปประลองกับกึ่งจักรพรรดิง่ายๆ เช่นนี้
ทว่าเหิงเซียวไม่ลืมว่าก่อนที่หลินสวินจะทะลวงขั้น ก็เคยโจมตีสังหารผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิหกคนด้วยพลังของตนเพียงคนเดียวมาแล้ว!
ภาพนองเลือดนั่น ทำให้จนตอนนี้เขานึกถึงแล้วในใจยังสั่นสะท้านระลอกหนึ่ง
“หงอวี่”
ในใจเหิงเซียวฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ ส่งเสียงเรียกหงอวี่ผู้อาวุโสสำนักยุทธ์เสวียนจีเข้ามา
“เจ้าสำนักมีอะไรหรือ”
ไม่นานหงอวี่ก็เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศมา
“สหายน้อยจินตู๋อีเพิ่งทะลวงขั้น อยากทดลองพลังต่อสู้ของตน เจ้ามาศึกษาแลกเปลี่ยนกับเขาสักรอบ”
เหิงเซียวยิ้มพูด
ตอนที่พูด ในใจเขาลอบคิดว่าตนเป็นถึงเจ้าสำนักคนหนึ่ง แม้เป็นระดับกึ่งจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์นานแล้ว แต่ถ้าแพ้จินตู๋อีในการประลอง…
จะเอาใบหน้าแก่ชรานี้ไปไว้ที่ไหน
แต่ถ้าให้หงอวี่ออกหน้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แล้ว
มุมปากของหงอวี่กระตุกระลอกหนึ่ง ใบหน้ามืดทะมึน ไม่เพียงแค่เหิงเซียว เขาเองก็เคยเห็นผลงานการต่อสู้อันอาจหาญของหลินสวินก่อนหน้านี้
ตอนนี้ได้ยินคำขอนี้ เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าผลลัพธ์ที่จะต้องเผชิญในการศึกษาแลกเปลี่ยนนี้เป็นอย่างไร
หงอวี่สูดหายใจลึกคราหนึ่ง รอยยิ้มแข็งทื่อไป ลองพยายามปฏิเสธ “เจ้าสำนักคงไม่รู้ว่าช่วงนี้ยามข้าฝึกปราณแล้วเจอ…”
เหิงเซียวตัดบท “แค่ศึกษาแลกเปลี่ยนเท่านั้น อย่าได้บ่ายเบี่ยงเลย”
หงอวี่จนคำพูด ทำได้เพียงฝืนตอบรับ
“สหายน้อย นี่เป็นแค่การแลกเปลี่ยนศึกษาเท่านั้น โปรดยั้งมือไว้ไมตรีด้วย”
ดวงตาของเขามองไปยังหลินสวิน แฝงแววจนปัญญาอย่างเปี่ยมล้น
กึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง กลับเป็นฝ่ายขอให้มกุฎราชันอริยะคนหนึ่งยั้งมือไว้ไตรี หากเผยแพร่ออกไปจะต้องกลายเป็นเรื่องตลกอย่างแน่นอน
แต่เหิงเซียวและหงอวี่รู้ดีว่า ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ไม่สามารถมองเป็นคนทั่วไปได้!
หลินสวินอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยยิ้มพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนลงมือสหายยุทธ์โปรดอย่าออมมือ”
หงอวี่รับปากทันที ความจริงเขาเองก็ไม่กล้าออมมืออยู่แล้ว
เห็นเช่นนี้เหิงเซียวก็จัดแดนลับแห่งหนึ่งให้ทั้งสองแลกเปลี่ยนกันโดยเฉพาะ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ใครเห็น
ไม่เช่นนั้นหากหงอวี่พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถเกินไปคงไม่น่าดูแล้ว…
ไม่นานหลินสวินและหงอวี่ก็เข้าสู่แดนลับนั่น
ส่วนเหิงเซียวรออยู่ด้านนอก
เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น เสียงเร่งร้อนของหงอวี่ก็ดังจากในแดนลับนั่น “เจ้าสำนัก รีบเชิญผู้ช่วยมาอีกคน ข้าคนเดียวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสหายน้อยจินตู๋อี!”
เหิงเซียวอึ้งงัน ยืนหยัดไม่ไหวเร็วขนาดนี้เชียวหรือ
ควรรู้ว่าหงอวี่เป็นถึงผู้อาวุโสดูแลสำนักยุทธ์เสวียน พลังต่อสู้ในระดับกึ่งจักรพรรดิแข็งแกร่งดุร้ายอย่างมาก!
เหิงเซียวตระหนักได้ถึงความผิดปกติ รีบสื่อจิตว่า ‘ไท่เจิง เจ้ารีบมาหน่อย’
ฟุ่บ!
ห้วงอากาศไหวเคลื่อน เงาร่างอันสูงใหญ่กำยำปรากฏตัว คนผู้นี้ก็คือไท่เจิง หนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักยุทธ์เสวียนจี ผู้ยิ่งใหญ่ระดับกึ่งจักรพรรดิขั้นปลายคนหนึ่ง
“เจ้าไปในแดนลับนี้แล้วช่วยหงอวี่สู้หน่อย”
เหิงเซียวรีบพูดว่า สถานการณ์เร่งด่วน เขาเองก็อธิบายความเป็นไปไปทัน
ก็เห็นไท่เจิงจ้องเขม็ง พูดอย่างตกใจ “ถึงกับมีคนสู้กับผู้อาวุโสหงอวี่ได้หรือ ข้าไปดูสักหน่อย!”
เสียงเต็มไปด้วยไอสังหาร ยังไม่ทันสิ้นเสียงเขาก็พุ่งเข้าโลกลับนั่นไปแล้ว
เหิงเซียวลอบเอ่ยว่า “กึ่งจักรพรรดิสองคน คงจะต้านได้สักพักกระมัง”
แต่ไม่นานเสียงของไท่เจิงก็ดังมาอีก เผยความอับอายและเดือดดาล “เจ้าสำนัก ท่านแกล้งข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”
เหิงเซียวสูดหายใจสะท้าน กล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนก็ไม่ไหวหรือ”
“ไม่ไหว!”
เสียงของหงอวี่และไท่เจิงดังมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ชั่วขณะหนึ่งเหิงเซียวไม่อาจสนใจเรื่องอื่นอีก ส่งเสียงขานเรียกอีกครั้ง “จินจิ่วหลิง เฮ่อจู้ สุ่ยชิว…”
เขาเรียกสามชื่อในรวดเดียว
ไม่นานเงาร่างสามสายก็ทยอยมาถึง มีทั้งชายและหญิง รูปลักษณ์แตกต่างกัน ล้วนเป็นบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิของสำนักยุทธ์เสวียนจี
“เฮ่อจู้ เจ้าเข้าไปก่อน”
เหิงเซียวรีบพูด
เฮ่อจู้งงไปหมด แต่ก็เข้าสู่แดนลับนั่นไปตามคำสั่ง
ตอนนี้เองเหิงเซียวจึงอธิบายกับกึ่งจักรพรรดิอีกสองคน “พลังปราณของสหายน้อยจินตู๋อีเพิ่งทะลวงขั้น ข้าจึงส่งคนไปศึกษาแลกเปลี่ยนกับเขาสักหน่อย เพื่อพิสูจน์พลังต่อสู้ของเขา”
จินตู๋อี!
จินจิ่วหลิงและสุ่ยชิวสูดหายใจสะท้านตามๆ กัน พวกเขาเองก็เห็นภาพที่หลินสวินสังหารกึ่งจักรพรรดิหกคนมาแล้ว จะไม่รู้ผลลัพธ์ที่จะเจอในการแลกเปลี่ยนนี้ได้อย่างไร
“เจ้าสำนัก เฮ่อจู้คนเดียวคงไม่ไหวกระมัง”
สุ่ยชิวอดพูดไม่ได้
เหิงเซียวส่ายหน้า “ไม่ใช่คนเดียว ก่อนหน้าเฮ่อจู้ หงอวี่และไท่เจิงได้เข้าไปแล้ว”
“ที่แท้ก็ผู้อาวุโสสามคนร่วมมือกัน” จินจิ่วหลิงโล่งอก
สุ่ยชิวสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก “ไม่ถูกสิ หากพวกเขาสามคนสามารถต้านได้ ยังจะเรียกพวกเรามาทำไม”
ประโยคเดียวทำเอาจินจิ่วหลิงหัวใจสะท้านขึ้นมา
ตอนนี้เองเสียงของหงอวี่ดังจากแดนลับนั่นอีกครั้ง “ไม่พอ ไม่พอ เจ้าหมอนี่โหดเกินไปแล้ว ตัวประหลาดชัดๆ! รีบส่งคนเข้ามา!”
เสียงเผยความตื่นตระหนกและลนลาน
พวกสุ่ยชิวมองหน้ากัน กึ่งจักรพรรดิสามคนเชียวนะ ลงมือพร้อมกันยังกำราบเจ้าหนุ่มนั่นไม่ได้หรือ
เหิงเซียวกัดฟันทันที กล่าวว่า “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เฒ่าชราอย่างพวกเราจะเสียหน้าไม่ได้เด็ดขาด!”
เขาสะบัดมือใหญ่ “พวกเจ้าสองคนเข้าไปพร้อมกัน!”
ในใจพวกสุ่ยชิวเกิดความอักอ่วนที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ให้กึ่งจักรพรรดิอย่างพวกเขาลงมือพร้อมกันมากขนาดนี้ เพียงเพื่อกำราบคนรุ่นเยาว์ระดับมกุฎอริยะคนหนึ่ง ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ล้วนดูน่าขายหน้ามาก…
เหิงเซียวโมโห “ยังนิ่งอยู่ทำไม รีบไปสิ!”
พวกสุ่ยชิวสบตากัน ทำได้เพียงฝืนตอบรับ ก่อนเงาร่างพริบไหวหายเข้าไปในแดนลับนั่น
……………………..