Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2042 ผู้คนในโลกต่างเรียกข้าว่าเซียนผลาญ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2042 ผู้คนในโลกต่างเรียกข้าว่าเซียนผลาญ
ตอนที่ 2042 ผู้คนในโลกต่างเรียกข้าว่าเซียนผลาญ
“ศิษย์น้องเล็ก ขอเพียงเจ้าพูดคำเดียว พวกเราก็จะพาเจ้าไปด้วยกัน พวกเราคีรีดวงกมลดำรงมาถึงตอนนี้ ไม่เคยกลัวภัยพิบัติอะไร ต่อให้ไปฟากฝั่งฟ้าดาราก็เป็นเช่นนี้”
รั่วซู่สีหน้าจริงจัง
พวกจวินหวน หลี่เสวียนเวย เสวี่ยหยาต่างก็มองที่หลินสวิน
“ศิษย์พี่ ข้าตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อ”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วตัดสินใจ
พาตัวเองไปติดตาข่ายอะไร เป็นเคราะห์ไม่ใช่โชคอะไร เขาก็ไม่ได้สนเช่นกัน
แต่เขากลับต้องคำนึงถึงเรื่องหนึ่ง ถ้าบิดามารดาและท่านลู่ยังมีชีวิตอยู่ จะต้องอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้!
ถ้าตนไปทั้งแบบนี้แล้ว จะยังได้พบพวกเขาได้อย่างไร
เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูต่างลอบถอนหายใจโล่งอก ก่อนหน้านี้พวกเขาออกจะกังวลจริงๆ ว่าหลินสวินจะจากไปพร้อมกับผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้น เช่นนั้นก็จะอันตรายเกินไป
พอเห็นว่าหลินสวินมีท่าทีหนักแน่น พวกรั่วซู่ต่างไม่โน้มน้าวอีก
“เอาอย่างนี้ พวกเราแต่ละคนให้ของรักษาชีวิตศิษย์น้องเล็กไว้คนละชิ้น เช่นนี้แล้วต่อให้ภายหน้าเขาพบกับอันตรายใดก็จะไม่ถูกคนอื่นรังแกแล้ว”
หลี่เสวียนเวยเสนอ
ในการประชันหมากยิ่งใหญ่คราวนี้ ขุมอำนาจศัตรูเหล่านั้นมีเฒ่าดึกดำบรรพ์ล้มตายไม่รู้เท่าไร ถ้าพวกเขาไปแล้ว ศัตรูพวกนี้จะต้องไปล้างแค้นหลินสวินอย่างบ้าคลั่งแน่!
“ดี”
พวกรั่วซู่ต่างตอบรับ
“ไม่ได้”
“ทำแบบนี้ไม่เหมาะ”
ศิษย์พี่ใหญ่กับชายหนุ่มจักจั่นทองพากันเอ่ยปากขัดขวางแทบจะพร้อมกัน
“พวกเราฝึกปราณ หากพึ่งกำลังภายนอกท่าเดียวจะเป็นโทษมากกว่าคุณ ข้าเห็นว่าศิษย์น้องเล็กอยู่ไม่ไกลจากระดับจักรพรรดิ หากต้องการเสาะแสวงพลังแห่งมกุฎตอนแจ้งมรรค สภาวะจิตจะต้องไม่มีสิ่งที่พึ่งพิงหรือผูกมัดใดๆ แม้แต่นิดเดียว หาไม่แล้วมรรควิถีในอดีตต้องสูญเปล่าไปหมด”
ศิษย์พี่ใหญ่เสียงต่ำลึกและเคร่งขรึม
ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ยเรียบๆ “ไม่ผิด ผงาดขึ้นท่ามกลางการเคี่ยวกรำ เกิดใหม่ในความเป็นความตาย จึงจะสร้างมรรคไร้เทียมทานได้ กำลังภายนอก… จะดึงมาไม่ได้”
จวินหวนพูดอย่างร้อนลนว่า “แต่จะให้ศิษย์น้องเล็กดิ้นรนบนทางเดินโบราณฟ้าดาราคนเดียวก็ไม่ได้อยู่ดีกระมัง”
“เขาไม่ใช่คนเดียว”
ชายหนุ่มจักจั่นทองแววตามีลับลมคมใน
ผู่เจินเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “สหายยุทธ์ เจ้ามาว่าว่าศิษย์น้องเล็กของข้าไม่ใช่คนทำไม”
ชายหนุ่มจักจั่นทองบื้อใบ้แล้ว
แต่หลินสวินกลับกระจ่างใจ ยิ้มเอ่ยกับพวกรั่วซู่ว่า “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ถ้าพวกท่านหวังดีกับข้าจริงๆ เช่นนั้นก็เชื่อฟังศิษย์พี่ใหญ่เถอะ”
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตัวคนเดียว ซียังอยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์นี่!
พวกรั่วซู่เห็นดังนี้จึงทำได้แค่ปล่อยไป
แต่ครู่ต่อมาพวกเขาก็เคลื่อนไหวอย่างน่าตะลึง…
“ศิษย์น้อง ก่อนแจ้งมรรคระดับจักรพรรดิ ศิษย์พี่ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ นี่คือ ‘คัมภีร์ไพศาล’ ที่ศิษย์พี่ใช้ทั้งชีวิตเขียนขึ้นมา เจ้าเอาไปสิ”
ศิษย์พี่เสวี่ยหยามอบม้วนหยกม้วนหนึ่งให้หลินสวิน
“ศิษย์น้อง นี่เป็นประสบการณ์ใจความส่วนหนึ่งตั้งแต่ข้าเริ่มฝึกปราณจนตอนนี้ มีนามว่า ‘เห็นแจ้งต้นกำเนิด’ อาจมีประโยชน์กับการฝึกปราณของเจ้าในภายหน้า”
ศิษย์พี่ชื่อจวินส่งม้วนหยกเล่มหนึ่งให้หลินสวิน
“ศิษย์น้อง นี่เป็น ‘วิชาบัวเขียวหยั่งโลก’ ของข้า…”
“ศิษย์น้อง ‘คัมภีร์กระบี่มหาลมกรด’ เล่มนี้ เจ้ารับไว้ด้วย…”
ชั่วขณะเดียวศิษย์พี่ทั้งหลายต่างพากันก้าวมาข้างหน้า มอบตำรามรดกที่ฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้ให้หลินสวินทีละคน
ทุกเล่มล้วนเป็นยอดคัมภีร์ที่เรียกได้ว่าลึกลับสุดหยั่ง หลอมรวมนัยเร้นลับมหามรรคแตกต่างกันไป สุ่มหยิบมาสักเล่มล้วนทำให้ระดับจักรพรรดิยังอิจฉา!
ควรรู้ว่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ระดับจักรพรรดิไม่อาจเทียบได้ แม้แต่ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิยังสู้ไม่ได้ แต่ละคนแข็งแกร่งและน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอีกคน
คัมภีร์ที่พวกเขาทิ้งไว้ให้เป็นประทับในมรรควิถีของพวกเขาแต่ละคน จะธรรมดาสามัญได้หรือ
และตอนนี้ คัมภีร์เหล่านี้ต่างถูกพวกเขามอบให้ศิษย์น้องเล็กอย่างหลินสวิน!
ภาพเช่นนี้ เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูมองจนตาลายไปครู่หนึ่ง ในใจยังต้องทอดถอนใจ มีฐานะ ‘ศิษย์น้องเล็ก’ ของคีรีดวงกมล เป็นเรื่องที่น่าอิจฉาจริงๆ
“ศิษย์น้อง กินมากย่อยไม่หมด คัมภีร์มรรคเหล่านี้หยั่งรู้ได้ แต่อย่าให้สิ่งนี้มากระทบกับมรรควิถีตัวเอง”
รั่วซู่กำชับจริงจัง
หลินสวินพยักหน้า ความอบอุ่นเต็มเปี่ยมผุดขึ้นในใจ
“เวลาไม่มากแล้ว ข้าไปหาคนผู้หนึ่งก่อน”
ก็ในตอนนี้เอง จู่ๆ ศิษย์พี่ใหญ่ก็ทะลวงอากาศจากไป
“ต้องไปพบแม่นางชุดม่วงคนนั้นแน่”
หลี่เสวียนเวยทอดถอนใจ
ตอนนี้จวินหวนคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ เดินไปไกลลิบ พอชูมือขึ้นกวัก พลังจิตดั้งเดิมของจักรพรรดิอสนีดับสูญจี้เสวียนก็ปรากฏขึ้น
เมื่อได้เห็นภาพนี้ พวกรั่วซู่ก็ทอดถอนใจอีกครา พวกเขาจะไม่รู้จักคนลุ่มหลงในรักอย่างจี้เสวียนได้อย่างไร
“ข้าก็จะไปพบคนผู้หนึ่ง”
หลี่เสวียนเวยนึกถึง ‘ชาวประมงน้อย’ ศิษย์ฝากนามคนนั้น
“เอ่อ ข้านึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องที่ยังทำไม่จบ”
“ลูกกลอนโอสถหม้อนั้นข้ายังไม่ได้รับ”
“ไปเถอะ ถือโอกาสก่อนไป”
ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนแล้วคนเล่ารีบร้อนจากไป ไม่นานนักในที่นั้นก็เหลือเพียงพวกรั่วซู่ เสวี่ยหยา
ไกลออกไป ชายหนุ่มจักจั่นทอง เฒ่าโดดเดี่ยว และราชครูสนทนากัน
ไกลออกมาอีก เสวียนซั่งเฉินพาเสวียนจิ่วอิ้น ส่วนบรรพจารย์จักรพรรดิฉานถูพาหลิงเคอจื่อ ต่างคนต่างจากไปเงียบๆ
การประชันหมากยิ่งใหญ่ครั้งนี้ปิดฉากลงแล้ว
แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่า ผลกระทบที่การประชันหมากครั้งนี้สร้างขึ้นเพิ่งเริ่มต้น
และตอนนี้หลินสวินถึงรับรู้ได้ว่าการจากลาครั้งนี้กำลังจะมาเยือนจริงๆ แล้ว…
……
โลกมืดขมุกขมัว เต็มไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้างพังพินาศ
ตูม!
ฟ้าดินปั่นป่วน ฝุ่นควันถั่งโถม
การห้ำหั่นอันโหดร้ายหาใดเทียบครั้งหนึ่งดำเนินมาหลายวันแล้ว
ทั้งสองฝ่ายที่สู้ศึกกัน คนหนึ่งเป็นเด็กสาวเพรียวบางสูงโปร่งที่สวมชุดดำ ม่านหมวกคลุมบดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง มือถือทวนศึกกระดูกขาวที่มีแสงดาวดุจภาพฝันไหวเคลื่อนเล่มหนึ่ง
คู่ต่อสู้ของนางเป็นสัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่บุกมาในวัฏจักรว่างเปล่าตัวหนึ่ง มันตัวโตเท่าภูเขา ปกคลุมด้วยเกล็ดเย็นเยียบ ขาทั้งสี่เหมือนเสาค้ำฟ้า ดวงตาราวกับทะเลสาบ แดงฉานดุจโลหิต แผ่กลิ่นอายโหดเหี้ยมดุร้ายออกมา
สวบ!
เมื่อเงาร่างเด็กสาวก้าวกระโดดบิดตัว พลังที่สั่งสมไว้นานแล้วไหลมารวมกันบนทวนศึกในชั่วพริบตานี้ แล้วแทงออกไปอย่างรุนแรง
เร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทั้งยังดุดันถึงที่สุด
ฟุบ!
ทวนศึกกระดูกขาวดุจแสงเคลื่อน ทะลวงผ่านกลางคอของสัตว์ประหลาดฟ้าดาราตนนั้น ชักนำน้ำเลือดเหม็นคลุ้งสีเขียวซีดให้พุ่งออกมา
สัตว์ประหลาดฟ้าดาราส่งเสียงคำรามเหมือนเจ็บปวดยิ่งออกมา สะท้านจนฟ้าดินปั่นป่วน
แต่สุดท้ายร่างกายใหญ่โตราวภูเขาของมันก็ล้มลงดังสะเทือน ฝุ่นควันฟุ้งกระจายเต็มฟ้า
พอได้เห็นภาพนี้ ร่างสูงโปร่งเพรียวบางของเด็กสาวก็ร่วงตกลงจากกลางอากาศอย่างเงียบงัน ล้มดังปึงลงไปกับพื้น
มุมปากที่หมวกคลุมบังไว้มีเลือดสดๆ ไหลออกมา
แต่นางกลับไม่เคยส่งเสียงใดๆ ออกมา เงียบเชียบอยู่ตลอด มุมปากที่เม้มแน่นเผยให้เห็นแต่ความดื้อดึง
พูดอีกอย่างก็คือ ตั้งแต่วันที่มาถึงสนามรบแห่งนี้ นางยังไม่เคยพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
หลายปีมานี้ในฟ้าดินอันเวิ้งว้างแห่งนี้ นางหนึ่งคนหนึ่งทวนต่อสู้ห้ำหั่น หลั่งเลือดนับไม่ถ้วน ได้รับบาดเจ็บมากมายยิ่งนัก
ประสบกับอันตรายไม่รู้เท่าไร และไม่รู้ว่าผ่านภัยคุกคามชี้เป็นชี้ตายมากมายเพียงใด
แต่สุดท้ายนางก็ยังมีชีวิตอยู่
และเมื่อมีชีวิตอยู่ นางก็ไม่หยุดสู้!
เพียงแต่…
คราวนี้นางออกจะยืนหยัดไม่อยู่แล้ว นอนอยู่กับพื้น เลือดที่มุมปากไหลไม่หยุด
วู้มๆๆ!
สายลมรุนแรงพัดผ่านฟ้าดิน ม้วนตลบฝุ่นทราย
ฟ้าดินสั่นสะเทือน เงาร่างสัตว์ประหลาดยักษ์ใหญ่โตมิดฟ้าร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากนอกท้องฟ้าอันมืดมิด จากนั้นก็กดข่มห้วงอากาศมาเยือนโลกแห่งนี้
สัตว์ประหลาดฟ้าดาราอีกตัวหนึ่ง ทั้งยังแข็งแกร่งจนไม่อาจคาดคิด กลิ่นอายโหดเหี้ยมน่ากลัวเช่นนั้นทำให้ฟ้าดินต่างจมสู่เสียงหวีดหวิวและสั่นสะเทือน
ตูม!
สัตว์ประหลาดฟ้าดาราเหยียบภูผาธาราคำรามออกมา ส่วนลึกในดวงตามีแต่กลิ่นอายเย็นชาและเหี้ยมเกรียม
เด็กสาวที่นอนอยู่กับพื้นขยับร่างกาย คลานขึ้นมาอย่างยากลำบากจะสู้ต่อ แต่สุดท้ายก็ลุกไม่ขึ้น
อาการบาดเจ็บของนางรุนแรงเกินไปแล้ว
แผลเก่าที่สั่งสมอยู่ในร่างหลายปีต่างก็ปะทุขึ้นพร้อมกันในพริบตาที่นางล้มลงนั้น และกำลังผลาญทำลายพลังชีวิตของนาง
“หลินสวิน…”
ชั่วขณะที่อันตรายหาใดเทียบนี้ เด็กสาวที่ต่อสู้มานานปีแต่ไม่เคยพูดแม้สักคำ เงียบเชียบจนเหมือนไม่มีคลื่นความรู้สึก เอ่ยเรียกชื่อหนึ่งออกมาเบาๆ
หลินสวิน เพียงแค่สองคำ แต่กลับเหมือนใช้พลังที่นางมีทั้งหมดจนสิ้น
เด็กสาวเค้นพลังเฮือกสุดท้าย กำทวนศึกในมือแน่น
ก็ในตอนนี้เอง เสียงเอ๊ะเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น
เพียงเสียงเดียวเท่านั้นกลับทำให้ร่างของสัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่พลานุภาพปั่นป่วนฟ้าดินตัวนั้นแข็งทื่อ รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ครู่ต่อมาก็เห็นว่าเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ละอองแสงถักทอดุจภาพฝันมายา รูปลักษณ์ก็ดูคลุมเครือ เห็นแค่ว่ารูปร่างของเขาสูงใหญ่โดดเด่นราวกับยอดเขาสูงเด่นทะลุเมฆาลูกหนึ่ง
โดยเฉพาะดวงตาทั้งสอง ยามกะพริบตาราวกับดวงดารามากมายในวัฏจักรหมุนวน โผนทะยาน และดับสลายไป สะท้อนภาพปรากฏการณ์ประหลาดอันยิ่งใหญ่อย่างจักรวาลผันแปร สรรพชีวิตเกิดดับออกมาภาพแล้วภาพเล่า!
หลังจากเขาปรากฏตัว ก็ไม่ได้สนใจสัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่ตกใจจนตัวแข็งทื่อ หยุดนิ่งไม่ไหวติงตัวนั้น แล้วพุ่งตรงมาอยู่เบื้องหน้าเด็กสาว
“ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ถึงกับยังมีชีวิตอยู่…”
เมื่อมองดูบนร่างเด็กสาว เงาร่างนี้ก็เผยสีหน้าตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่ จากประสบการณ์ของเขาแล้ว เคยเห็นเรื่องเกิดเรื่องตายไม่รู้เท่าไร
ทว่ายังเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่าทั้งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสปานนี้ แต่ยังรอดมาได้!
ในสายตาของเขา
ร่างเด็กสาวที่ถูกชุดดำบังไว้ก็เหมือนเครื่องกระเบื้องที่มีรอยแตกระแหงนับไม่ถ้วน แผลเก่าแผลใหม่ปนกันมั่ว แทบไม่มีสักกระเบียดที่สมบูรณ์
และภายในร่างของนาง อวัยวะภายใน เส้นเลือด ชีพจร เอ็นกระดูก… ต่างได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่สุด สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณต่างกำลังแห้งเหือด!
อาการบาดเจ็บเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นเกรงว่าคงตายไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง
แต่นางยังทนมาถึงตอนนี้ได้ อย่างกับปาฏิหาริย์ครั้งหนึ่ง
แน่นอนว่าเมื่อเห็นมือเด็กสาวที่กำทวนศึกไว้แน่น เงาร่างนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง มาถึงขั้นนี้แล้วยังอยากสู้อีกหรือ
เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เบือนหน้าไปมองสัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่อยู่ไกลออกไป
เพียงแค่การเหลือบมองครั้งเดียว
สัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่พลานุภาพน่ากลัวจนทำให้ฟ้าดินแห่งนี้ต่างหวีดร้องปั่นป่วนนั้น ก็ถูกเผาเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อนเต็มฟ้า!
‘ดูท่า ที่จักจั่นทองเชิญข้ามาโลกนี้ก็เพราะเจ้าแล้ว…’
ขณะที่เขาครุ่นคิด นิ้วมือก็กดลงไปบนหว่างคิ้วของเด็กสาวเบาๆ พลังชีวิตอันนุ่มนวลและเปล่งปลั่งก็ผุดเข้าไปในร่างของเด็กสาวไปด้วย
พริบตานี้เด็กสาวเหมือนฟื้นคืนพลัง กำลังจะดิ้นรนลุกขึ้นแต่กลับถูกเขาดันไว้เบาๆ เอ่ยว่า “อย่ากังวลไป ถ้าเจ้าขัดขืนอีกก็จะสิ้นชีพแล้วนะ”
เด็กสาวเอ่ยเสียงเย็นยะเยือกว่า “เจ้าเป็นใคร”
เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้าชื่อเฉินหลินคง ผู้คนในโลกเรียกข้าว่า ‘เซียนผลาญ’”