Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2188 อานุภาพแห่งดวงกมล ไร้ขอบเขตไร้ศัตรู
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2188 อานุภาพแห่งดวงกมล ไร้ขอบเขตไร้ศัตรู
ตอนที่ 2188 อานุภาพแห่งดวงกมล ไร้ขอบเขตไร้ศัตรูฟ้าดาราปั่นป่วน มีเพียงบริเวณที่ที่หลินสวินกำลังข้ามด่านเคราะห์อยู่เท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบ เขาแปลงเป็นเตาหลอมเข้ากำราบประกาศิตอสนีเคราะห์ สภาพจิตใจและเจตจำนงไร้ระลอกคลื่นแม้เพียงเสี้ยว
การปรากฏตัวของชายกำยำผู้นั้นทำให้เขาไร้หวาดหวั่นไร้สะพรึงอย่างสิ้นเชิง ไม่ทุกข์ไม่สุข
“ค่าตอบแทนที่จ่ายไปเมื่อตอนนั้น รอมาหมื่นกาล ในที่สุดอาจารย์เขาก็ออกมือแล้ว!”
ในโลกมืด จ้งชิวที่หยิ่งทระนงถึงกระดูกเวลานี้กลับฮึกเหิมขึ้นมาอย่างหาได้ยาก นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววปิติยินดี
ซีอึ้งไป เพิ่งตระหนักได้ว่าที่จ้งชิวพูดถึงคือใคร อดสะท้านไหวไม่ได้ กล่าวว่า “ทั้งหมดนี้อาจารย์ของเจ้าเดาได้แต่แรกแล้วหรือ”
จ้งชิวส่ายหน้า “นี่คือโอกาสที่ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ หากไม่ใช่เพราะศิษย์น้องเล็กใช้มรรควิถีแห่งตนคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ ความทุ่มเทที่อาจารย์ลงแรงไปในปีนั้น… คงต้องสูญเปล่าไหลไปตามกระแสน้ำเป็นแน่”
“เป็นความทุ่มเทแบบไหนกันแน่” ซีอดถามไม่ได้
จ้งชิวไม่ได้พูด
เพราะแม้แต่เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัด เขารู้เพียงว่า นับแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาอาจารย์ก็จากไปแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าไปที่ไหน
ซีใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “กล่าวเช่นนี้ วาสนาครั้งนี้ต้องตกเป็นของหลินสวินแน่แล้วหรือ”
จ้งชิวส่ายหน้า “ยังไม่ถึงช่วงเวลาสุดท้ายใครก็บอกไม่ได้”
…
ตูม!
แสงมรรคไร้เสื่อมสูญอึงอล ขวานยักษ์เล่มนั้นถูกซัดสะเทือนจนส่งเสียงปั่นป่วน ร่างใหญ่โตบึกบึนมือถือขวานยักษ์พลันซวนเซถอยกรูดออกมา แต่ละก้าวที่เหยียบย่างทำให้ห้วงอากาศแตกกระจุย
และพร้อมกันนั้นสายน้ำแห่งกาลเวลาซัดสาด เงาร่างกำยำที่ยืนนิ่งเหนือเกลียวคลื่นกล่าวเสียงเรียบ
“หากเป็น ‘ขวานเบิกฟ้า’ ของจริงยังมีโอกาสขัดขืน แต่ลำพังแค่เจตจำนงเสี้ยวหนึ่งที่เป็นของมัน ก็ไม่ต่างอะไรกับการปาไข่ใส่หิน”
เงาร่างกำยำสายนี้ ย่อมเป็นเจ้าแห่งคีรีดวงกมล!
ไกลออกไปชายสามหญิงหนึ่งเหล่านั้นต่างขมวดคิ้ว นัยน์ตาทอประกายวาววับ กลิ่นอายน่าสะพรึง การปรากฏตัวของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลทำให้พวกเขาต่างแปลกใจยิ่ง
และเวลานี้พวกระดับจักรพรรดิที่อยู่ไกลๆ เหล่านั้นต่างตกใจยิ่งยวด แสงมรรคที่รายล้อมขวานยักษ์ประหนึ่งไม่เสื่อมสูญนั้นน่าสะพรึงถึงขึ้นไม่อาจจินตนาการได้ ใครจะกล้าเชื่อว่านั่นเป็นเพียงพลังเจตจำนงของสมบัติชิ้นหนึ่ง
พวกเขาเป็นใคร มาจากที่ไหน อยู่ในยุคสมัยไหนกันแน่
ทุกคนกล้าเพียงฟันธงว่า พวกเขาไม่ใช่คนของทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ เพราะออกมาจากกลางวังวนแห่งกาลเวลานั่น
นี่เสมือนพิสูจน์ได้ว่า… พวกเขา… ไม่หวั่นเกรงการโจมตีของกฎระเบียบกาลเวลา!
นี่สะท้านสะเทือนเกินไป เหนือจินตนาการ เส้นทางแห่งระดับจักรพรรดิ กาลเวลาเป็นนายเหนือหัว ใครบ้างจะไม่หวั่นเกรงการโจมตีของกาลเวลา
ต่อให้เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิก็ทำได้เพียงเริ่มต้นสัมผัสและหยั่งรู้กาลเวลา ถึงได้มีพลังที่สามารถสอดส่องนัยเร้นลับ ‘ย้อนบรรพ์’ ได้
ทว่าบรรพจารย์จักรพรรดิกลับไม่อาจไม่หวาดกลัวระเบียบกาลเวลาได้!
นี่ก็เหมือนเทพนิยายในตำนานเทพชัดๆ!
แต่ตอนนี้พวกเขาทุกคนล้วนเป็นพยานเห็นปาฏิหาริย์เช่นนี้พร้อมกัน
“ปาไข่ใส่หินหรือ ไม่สิ เจ้าไม่ใช่ว่าก็เป็นกายมรรคเจตจำนงสายหนึ่งเหมือนกันหรือ เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่าในมิติเวลาต้อยต่ำเช่นนี้ กลับมีคนเช่นเจ้าอยู่ด้วย”
ชายสง่างามองอาจ ผู้นำที่ถือทวนศึกเอ่ยปาก น้ำเสียงกระหึ่มดุจดั่งพันทัพหมื่นอาชาห้อตะบึง ก้องสะท้อนทั่วฟ้าดาราแถบนี้
แสงมรรคที่ประหนึ่งไม่เสื่อมสูญแห่ห้อม ส่องแสงจนเขาเหมือนกับเทพสูงสุด
มิติเวลาต้อยต่ำ!
ในใจสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับจักรพรรดิเหล่านั้นสั่นสะท้าน ไม่อาจสงบนิ่ง ทั่วหล้าฟ้าดาราไพศาลปานใด กลับถูกคนมองว่าต้อยต่ำ!
“กบก้นบ่อมองฟ้า”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเอ่ยปากเสียงเรียบ “สถานที่ที่พวกเจ้ามุ่งหน้ามาไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ในอดีตสืบมา จะมีสักกี่คนที่เหยียบย่างยอดหนทางสู่อมตะ”
พวกเขาปะทะคารม ดูคล้ายยังไม่ได้ลงมือ แต่อันที่จริงด้วยระดับพวกเขา ทุกท่วงท่าอิริยาบถ ทุกถ้อยคำทุกประโยค ล้วนเปี่ยมด้วยอานุภาพน่าสะพรึงไร้สิ้นสุด หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นจิตวิญญาณคงถูกซัดสะเทือน ถูกถ้อยคำเหล่านั้นกำราบให้ยอมศิโรราบนานแล้ว!
“เฮอะ! ให้ข้าลองดูศักยภาพของเจ้าหน่อย”
ชายชุดดำซูบผอมคนหนึ่งก้าวออกมา กระบี่มรรคในมือโฉบทะยานฉับพลัน พลิกปราณกระบี่อมตะระฟ้าขึ้น สว่างเรืองรองไร้สิ้นสุด
กระบี่นี้ยังไม่ทันฟันออกมา พวกระดับจักรพรรดิที่อยู่ไกลๆ เหล่านั้นก็ลืมตาไม่ขึ้นแล้ว กายจิตเสมือนถูกกระบี่เทพคมกริบกรีดเฉือน รู้สึกถึงความน่าสะพรึงยิ่งยวด
พวกเขาถอยหลังอย่างไม่ลังเลสักนิด คล้ายสุนัขจรจัดกลุ่มหนึ่งที่ถูกข่มขวัญมากเกินไป ถอยหนีไปหยุดเหนือกำแพงเมืองหมื่นมรรค
ตูม!
ปราณกระบี่ที่เพียงพอจะกรีดทึ้งเวิ้งฟ้าฟันลงไป ดุจดั่งสามารถข้ามกาลเวลา สรรพชีวิตล้วนเสมือนไหลย้อนกลับภายใต้กระบี่นี้ น่าพรั่นพรึงถึงขีดสุด!
ฟ้าดาราแถบนี้คล้ายเจียนจะแตกสลาย ผีโหยไห้เทพคร่ำครวญ สายน้ำแห่งกาลเวลาเดือดพล่าน
“ลองหยั่งเชิงก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน”
ก็เห็นบนสายน้ำแห่งกาลเวลา เงาร่างกำยำของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลสายนั้นเปล่งแสงฉับพลัน เจิดจรัสยิ่งกว่าจันทร์ดาราทั่วฟ้ารวมตัวกันไม่รู้เท่าไร อานุภาพไร้เทียมทานพุ่งทะยานออกมา เพียงพอจะกำราบอดีตถึงปัจจุบัน
ปราณกระบี่สายนั้นถึงกับถูกอานุภาพระดับนั้นกดข่ม นิ่งชะงักกลางอากาศ ขัดขืนอย่างรุนแรงแต่กลับไม่สามารถฟันลงมาได้อีก
ชายร่างซูบผอมในชุดดำนัยน์ตาหดรัด กระตุ้นพลังทั้งหมดโดยไม่ลังเล ปราณกระบี่ที่ประหนึ่งเรืองรองเป็นอมตะนั้นเพิ่มพูนขึ้นอีกครั้ง
และเวลานี้ แขนเสื้อของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลโบกสะบัด
กลางสายน้ำแห่งกาลเวลา เกลียวคลื่นระลอกหนึ่งปรากฏ ควบรวมกันเป็นยันต์อักษรคลุมเครือแปลกพิสดาร มองเห็นได้รางๆ ว่านั่นคืออักษรคำว่า ‘ต่อสู้’
อึดใจนั้น อักษรต่อสู้ขวางกลางห้วงอากาศ ซัดโจมตีปราณกระบี่เรืองรองสายนั้นแหลกกระจุย
ปึง!
บริเวณอกของชายร่างผอมชุดดำนั่นถูกแหวกออกตรงๆ ถูกซัดลอยคว้างออกไป กลิ่นอายอมตะทั่วร่างล้วนพลิกตลบรุนแรง ส่อแววล่มสลายอยู่รำไร
“สมควรตาย! หากกายมรรคของข้าอยู่ที่นี่ มีหรือจะถูกพลังเช่นนี้โจมตีจนบาดเจ็บได้!” ชายซูบผอมชุดดำส่งเสียงออกมา เจือแววเดือดดาล
บนตัวเขาไม่เห็นบาดแผล แต่อาการบาดเจ็บยังคงอยู่
“เจ้าหมอนั่นจวนจะข้ามด่านเคราะห์สำเร็จแล้ว จะชักช้าอีกไม่ได้แล้ว”
ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มนั้นเอ่ยปาก นางสวมชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ อานุภาพดุดัน เสมือนกระบี่เทพไร้ศัตรูออกจากฝัก บีบคั้นจิตวิญญาณ
ในดวงตานางมีประกายแสงหลากสีปะทุออกมา ดุจสรรพชีวิตทั่วจักรวาลล้วนดั่งเซียนทะยาน ละอองแสงไพศาลท่วมท้นเวิ้งฟ้า
ทวนใหญ่สีทองที่รายล้อมด้วยกลิ่นอายอมตะถูกนางครอบครอง เพิ่มไอสังหารที่ราวกับไร้เทียบเทียมชั้นหนึ่ง
นางตระหนักได้ว่าภายใต้เคราะห์สวรรค์ไกลออกไป พลังของหลินสวินมีเค้าลางว่าจะกำราบหลอมประกาศิตอสนีเคราะห์นั่นได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว!
“ลงมือพร้อมกันเถอะ”
ชายร่างบึกบึนมือถือขวานยักษ์เอ่ยเสียงขรึมดั่งฟ้าคำราม ไอสังหารพุ่งทะยานเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน มีอานุภาพสะท้านโลก
“ควรเป็นเช่นนี้นานแล้ว” ชายชุดดำที่มือถือกระบี่มรรคเอ่ยเสียงเย็นชา
พวกเขาต่างทอดสายตามองผู้นำ ชายที่สง่างามองอาจเหนือธรรมดา กลิ่นอายอมตะคละคลุ้งทั่วร่างคนนั้นก็หันมองไปยังเจ้าแห่งคีรีดวงกมลเช่นกัน
“ครั้งนี้ไม่เพียงพวกเราสี่คนลงมือ ต่อให้เจ้ายังดื้อดึงอยู่ที่นี่ก็ไร้ซึ่งความหมายโดยสิ้นเชิง”
น้ำเสียงของเขาเฉยเมย “หากหนีไปตอนนี้ยังพอปกป้องกายมรรคเจตจำนงนี้ไว้ได้ หาไม่ ไม่เพียงแต่เจ้า ฟ้าดาราแถบนี้ โลกแห่งนี้ ก็จะถูกทำลายย่อยยับทั้งหมด”
ประโยคเดียวทำเอาระดับจักรพรรดิทั้งหมดที่ซ่อนตัวในกำแพงเมืองหมื่นมรรคต่างหน้าเปลี่ยนสี ใช้การทำลายทั่วหล้าฟ้าดารามาข่มขู่หรือ!?
ความหมายที่แฝงในคำพูดนี้น่าตกใจเกินไปแล้วชัดๆ
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเสมือนไม่แยแส น้ำเสียงแผ่วจางล่องลอย ราบเรียบเหมือนที่ผ่านมา
“ทวนหมื่นมายา ขวานเบิกฟ้า กระบี่สังหารเทพ ทวนศึกดับโลก… เบื้องหลังสมบัติสี่อย่างนี้ แต่ละชิ้นเป็นตัวแทนของเผ่าหนึ่งตระกูลหนึ่ง ยามนี้เมื่อข้ามองออกแล้ว ต้องมีสักวันที่ข้าจะไปเยี่ยมเยือน”
ชายสามหญิงหนึ่งเหล่านั้นต่างหรี่ตาลง นี่คือการข่มขู่!
ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือ อีกฝ่ายถึงกับมองทะลุที่มาของพวกเขา แต่พวกเขากลับไม่รู้สักนิดว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
“ที่พวกเจ้าพูดนั้นไม่ผิด ไม่มีเวลามาชักช้าอีกต่อไปแล้ว”
ก็เห็นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลเดินออกมาจากกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา เงาร่างกำยำราวกับอยู่นอกเก้าชั้นฟ้า อานุภาพทั่วร่างก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลงตามมาด้วย ทุกท่วงท่าอิริยาบถเสมือนผงาดกร้าวเหนือกาลเวลานับแต่อดีตตราบเท่าปัจจุบัน อยากถามทั่วหล้า ใครกล้าเป็นศัตรู!
“หัวรั้นไม่เข้าท่า”
ชายสง่างามองอาจถอนใจเบาๆ เขาและชายอีกสองคนลงมือพร้อมกันเกือบจะในทันที
ตูม!
แสงอมตะไหลเวียน ฝ่ามือเขากระชับทวนศึก ดุจดั่งเทพสงครามที่ออกมาจากตำนานโบราณ กลิ่นอายพิฆาตซัดสะเทือนฟ้าดารา แผ่กลิ่นอายสะท้านโลกออกมา
ต่อให้ซ่อนตัวอยู่ในกำแพงเมืองหมื่นมรรคไกลโพ้น ระดับจักรพรรดิเหล่านั้นก็ยังสิ้นหวังไปชั่วขณะ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แข็งแกร่งจนทำให้พวกเขาไม่สามารถหยั่งเชิงและจับจ้องได้!
และนี่ เป็นเพียงพลังของกายมรรคเจตจำนงเท่านั้น… แค่คิดก็ทำให้ผู้คนพังทลายแล้ว
“ฟัน!”
กระบี่มรรคของชายชุดดำ ทวนใหญ่ของหญิงชุดขาว ขวานยักษ์ของชายร่างบึกบึนก็พุ่งตามมาติดๆ ในเวลานี้เช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นแสงมรรคปั่นป่วน กาลเวลาเดือดพล่าน กลิ่นอายแห่งอมตะพุ่งทะยาน ไอพิฆาตอันน่าสะพรึงแผ่ครอบฟ้าดิน เบียดเสียดห้วงอากาศทุกอณู
ทอดสายตามองจากไกลๆ ดุจดั่งเหล่าเทพที่เป็นอมตะมาเยือนโลก กำลังกรำศึกกันอยู่!
ก็เห็นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลย่างเท้าไปเบื้องหน้า ทุกก้าวที่ย่ำเหยียบลงไป ฟ้าดินพลิกสะเทือน กาลเวลาเคลื่อนคล้อย ปรากฏอักษรที่เก่าแก่คลุมเครือสายแล้วสายเล่าออกมา
ผลาญเผา พิฆาต มอดดับ ฟันเฉือน ผนึก…
แต่ละอักษรเหมือนทองเซียนสรรค์สร้าง อร่ามเรืองรอง พุ่งออกมาจากสายน้ำแห่งกาลเวลา เสมือนมหามรรคอันเก่าแก่ปรากฏ
กลิ่นอายที่ประหนึ่งไร้ขอบเขตคละคลุ้ง เจ้าแห่งคีรีดวงกมลราวกับเดินออกมาจากกาลเวลาอันเก่าแก่ ค้ำฟ้าตระหง่านปฐพี ใต้หล้าไร้ศัตรู
ตูม!
เขาสาวเท้าไปเบื้องหน้า หนึ่งย่างก้าวหนึ่งฟ้าดิน อักษรที่ประดุจทองเซียนไหลเวียน ปลดปล่อยพลังอันไร้เทียมทานออกมา
เสมือนหนึ่งโลกแตกดับ พลังน่าสะพรึงซัดสาด การบุกโจมตีของสามชายหนึ่งหญิงเหล่านั้นถึงกับถูกซัดทลายไม่หยุด เงาร่างก็ถูกกดดันจนถอยห่างตามๆ กัน
ในที่สุดพวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสี สีหน้าสูงส่งลำพองนั่นไม่มีให้เห็นแล้ว ถูกแววตกใจแกมสงสัยมาแทนที่ คนผู้นี้ เป็นใครกันแน่
“ไป!”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลดีดนิ้ว อักษรพิฆาตเรืองรองหอบลากละอองแสงนับล้านพุ่งไปทางชายชุดดำ
ปึง!
กระบี่มรรคในมือฝ่ายหลังถึงกับถูกซัดโจมตีตรงๆ ทั้งตัวคนแตกเป็นเสี่ยงๆ ชั่วพริบตา ก็เหมือนกับถูกแล่เนื้อเถือหนัง
ร่างกายนี้ของเขาเดิมก็วิวัฒน์มาจากเจตจำนง แม้จะถูกโจมตีเป็นเสี่ยงๆ แต่กลับสามารถประกอบรวมขึ้นมาได้ตั้งแต่จังหวะแรก
แต่เขาประเมินความน่ากลัวของการโจมตีนี้ต่ำไป พลังที่อักษรพิฆาตนั้นปลดปล่อยออกมา ท่วมเจตจำนงที่เป็นเศษเสี้ยวของเขาจนมิด บดขยี้เป็นเสี่ยงๆ
เพียงพริบตา ก็สลายหายลับไปอย่างสิ้นเชิง
หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ เปี่ยมด้วยอานุภาพสูงสุดที่ประหนึ่งเป็นอมตะ แต่ภายใต้ออักษรพิฆาตเดียว กลับถูกสังหาร!
ภาพเหตุการณืระดับนั้น สามารถซัดสะเทือนหมื่นยุคได้เลย!
คนอื่นๆ ต่างพากันขวัญแขวน หน้าเปลี่ยนสี ใครก็ไม่คาดคิด ครั้งนี้หลังจากที่สูบถลุงมรรควิถีสุดแรงเกิด โฉบพุ่งกายมรรคเจตจำนงมาที่โลกชั้นล่างแถบนี้ จะถึงขนาดประสบกับคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงเช่นนี้
นี่นอกเหนือจินตนาการของพวกเขา ทำให้พวกเขาตั้งรับไม่ทัน
“ไป!”
และในเวลานี้ เจ้าแห่งคีรีดวงกมลดีดนิ้วอีกครั้ง อักษรผลาญเผาหนึ่งโฉบทะยานออกไป ก็เหมือนคบเพลิงด้ามหนึ่ง คุโชนฟ้าดาราแถบนี้ มีอานุภาพหลอมละลายหมื่นชีวิต หลอมเหลวหมื่นมรรค
ปึง!
ขวานยักษ์ของชายร่างบึกบึนถูกผลาญเผากลายเป็นของเหลว จากนั้นก็ระเหยกลายเป็นหมอกแสง มองไม่เห็นอย่างสมบูรณ์
และทั้งตัวคนก็ถูกจุดเพลิงโหม เงาร่างกำยำเต็มไปด้วยแสงเพลิงที่ระอุเดือด ส่องสว่างฟ้าดาราแถบนี้จนเจิดจ้าแสบตา
“ไม่! ไม่…!” ชายร่างบึกบึนเสียงคำรามอันเจ็บปวด ไม่เต็มใจ และเดือดดาลออกมา เพียงแต่กลับเหมือนการดิ้นรนที่อยู่ต่อหน้าจิตวิญญาณร่วงหล่น
พริบตาเดียว เขาก็เป็นเถ้าถ่านลอยคลุ้งมอดดับ
ชั่วดีดนิ้ว ก็ฆ่าอีกหนึ่งคน!
และเจ้าแห่งคีรีดวงกมล ก็ยังไม่หยุดฝีเท้าที่ย่างก้าวออกไป
เขาก่อนหน้านี้ ยืนตระหง่านเหนือสายน้ำแห่งกาลเวลา เงาร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม ปึกแผ่นดั่งขุนผา เรียบนิ่งดั่งสายน้ำ ไร้ซึ่งกลิ่นอายเข่นฆ่าใดๆ
แต่ในยามนี้ตอนที่เขาเดินออกจากสายน้ำแห่งกาลเวลา ย่างเท้าสู่ฟ้าดารา กลับเสมือนนายเหนือหัวไร้ศัตรูที่สยบกำราบปวงเทพ ดับวิญญาณเป็นเถ้าถ่านเพียงชั่วดีดนิ้ว!
“หนี!”
ชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่เหลืออยู่ หันตัวอย่างไม่ลังเลสักนิด ฉีกทึ้งทางเชื่อมวังน้ำวนสายหนึ่งออก หมายจะเผ่นหนีออกไป
พลังของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล เหนือกว่าที่พวกเขาคาดเดาไว้อย่างสิ้นเชิง ทำให้พวกเขารู้สึกใจสะท้าน ไม่กล้าโอ้เอ้อีกต่อไป หาไม่ กายมรรคเจตจำนงนี้ก็จะถูกกำจัดทิ้งด้วย
“ข้ามาส่งท่านทั้งสอง”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกล่าวพลาง อักษรผนึกตัวหนึ่งพุ่งโฉบ ทางเชื่อมวังน้ำวนที่อยู่ไกลๆ พลันถูกผนึกปิดกั้น ตกสู่ท่ามกลางภวังค์ชะงักค้าง
ชายหนึ่งหญิงหนึ่งนั่นหน้าเปลี่ยนสี หันตัวไปหมายจะเดิมพันด้วยชีวิต ในครรลองสายตา ก็ถูกอักษร ‘มอดดับ’ ‘ฟันเฉือน’ ที่ประดุจสร้างขึ้นจากทองเซียนสองคำประเดประดังเข้ามาแล้ว
ปึง! ปึง!
ร่างชายองอาจถูกฆ่าดับตรงๆ คล้ายถูกกวาดล้างก็ไม่ปาน แม้แต่ทวนศึกเล่มนั้นในมือของเขาก็ยังเหมือนเยื่อกระดาษ อันตรธานหายลับไป
ขณะเดียวกัน หญิงสาวก็ถูกบั่นสังหาร เงาร่างอรชรดุจภาพวาด แหวกออกจากตรงกลาง จากนั้นก็ระเบิดกระจายเลือนหายไป
และเวลานี้ เจ้าแห่งคีรีดวงกมลหยุดฝีก้าว สองมือกุมบริเวณแขนเสื้อ เงาร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม มีอานุภาพไร้ขอบเขตคละคลุ้ง
พิฆาต ผลาญเผา ผนึก มอดดับ ฟันเฉือน เพียงห้าอักษรเก่าแก่ ก็สังหารเงาร่างอมตะสี่คนที่มาจากอีกมิติหนึ่ง ปิดผนึกทางเชื่อมกาลเวลาสายหนึ่งได้!
อานุภาพกร้าวแกร่งระดับนั้น ไร้ศัตรูขนาดนั้น กวาดขวางออกไป สยบกำราบทุกสิ่ง!
ระดับจักรพรรดิทั้งกลุ่มที่อยู่บนกำแพงเมืองหมื่นมรรค มองภาพฉากการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ชัดเจนถนัดตาเลยสักนิด การปะทะต่อสู้ในระดับนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถสอดส่องได้สักนิดเช่นเดียวกัน
แต่ในเวลานี้พวกเขายังคงถูกทำให้ตกใจชะงักค้าง อึ้งงันไป
ก่อนหลังเพียงแค่ชั่วอึดใจ เหนือฟ้าดารา ชายสามหญิงหนึ่งนั้นก็แตกดับไม่เห็นเงา มีเพียงเงาร่างกำยำล่ำสันสายนั้นยืนตระหง่านอยู่ มีมาดสยบบดบังหมื่นยุค!
เขาเป็นใคร!?
ทุกคนต่างพากันมึนตื้อ ทั้งหมดนี้ล้วนสั่นคลอนจินตนาการทั้งหมดของพวกเขา แม้จะเป็นพวกระดับจักรพรรดิแต่พวกเขากลับพบว่า อยู่ต่อหน้าระดับนี้ ตนก็เล็กจ้อยและไม่รู้ประสีประสาขนาดไหน
ซย่าจื้อเห็นเรื่องทั้งหมดนี้อยู่ในสายตา นางเองก็ไม่สามารถมองที่มาที่ไปออกเช่นกัน แต่ภายในใจกลับไม่ได้สะท้านสะเทือนมากมายเท่าใดนัก
มีเพียงความคิดที่ไม่อาจควบคุมได้อย่างหนึ่งผุดทะลักขึ้นมาในใจนาง…
หากตนมีพลังระดับนี้ ต่อไปใครจะยังไปรังแกหลินสวินได้อีก
นางเงยหน้ามองไปทางหลินสวิน
และพร้อมกันนั้น เจ้าแห่งคีรีดวงกมลก็ทอดสายตามองไปทางหลินสวิน
เมฆาเคราะห์ม้วนพลุ่งพล่าน เงาร่างมรากลายเป็นเตาหลอมของหลินสวินจวนจะเหมือนภาพมายาและเลือนราง เสมือนว่าพร้อมจะแตกสลายอย่างสมบูรณ์ได้ทุกเมื่อ
แต่ขณะเดียวกัน ประกาศิตอสนีเคราะห์ที่ถูกเขาสยบกำราบอย่างแน่นหนานั้น ก็ปรากฏร่องรอยพังทลายขึ้นมาแล้ว จวนจะประคับประคองไม่ไหว
หัวใจของซย่าจื้อบีบรัดอีกครั้ง กลั้นหายใจเพ่งสมาธิ สายตาไม่เบนออกอีกต่อไป
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา
สวบ! สวบ! สวบ!
ภายใต้เมฆาเคราะห์ แสงไหลเวียนสายแล้วสายเล่าพุ่งโฉบ กลายเป็นเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด กลายเป็นสามพันเคลื่อนคล้อย กลายเป็นแผนภาพเสี้ยวจันทร์สามดาราฉบับหนึ่ง
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลมือหนึ่งถือแส้หางม้า เหนือศีรษะมีเจดีย์ไร้สิ้นสุดลอยสูง ใต้แทบเท้าแผนภาพเสี้ยวจันทร์สามดาราไหลเวียน กลิ่นอายทั้งตัวคน ถึงกับเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
เขาก่อนหน้านี้ เหยียดหยันและสูงแกร่ง สูงสุดขั้วไร้ขอบเขต ส่วนเขาในเวลานี้ ก็เสมือนเทพเจ้าสร้างสรรพสิ่งที่นั่งสูงอยู่เหนือเก้าสวรรค์ เหยียดหยันกาลเวลาจากอดีตตราบปัจจุบัน!
เขาหันตัว ทอดมองทางส่วนลึกของฟ้าดาราอีกครั้ง
…………………………….