Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2275 บรรพชนผู้นิพพาน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2275 บรรพชนผู้นิพพาน
ตอนที่ 2275 บรรพชนผู้นิพพาน
เงาร่างรอชมเรื่องสนุกแออัดแน่นขนัด เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ ตรอกซอยเต็มไปด้วยผู้คน
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ พวกเลี่ยนหงซิ่วก็ตระหนักได้เช่นกันว่าการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนี้ชักใหญ่โตแล้ว
ทว่าพวกเขาไม่ได้สนใจ เมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงนี่เป็นถิ่นของพวกเขาเผ่าจักรพรรดิช่างเทพ!
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาแปลกใจคือ หลินสวินกลับชะงักเท้า ตัดสินใจว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปร้านช่างเทพระดับหนึ่งหมายเลขหนึ่งแห่งนั้น
นี่ทำให้พวกเขาต่างอดตะลึงอึ้งค้างไม่ได้ ยังรู้สึกติดใจไม่หาย ก่อนหน้านี้ติดตามหลินสวินชมสมบัติตลอดทาง หลังผ่านการพูดคุยก็ทำให้พวกเขาได้รับคำชี้แนะบางอย่างไม่มากก็น้อย
เฒ่าดึกดำบรรพ์บางคนยังมีข้อกังขาในใจยังไม่ทันขอคำชี้แนะจากหลินสวิน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะยอมตัดใจปล่อยหลินสวินไปได้อย่างไร
แต่หลินสวินตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงหยุดไว้เท่านี้
หลินสวินย้อนกลับโรงเตี๊ยมอย่างเร่งรีบ ตลอดทางมีคนคิดจะสะกดรอยตาม แต่ต้องพบอย่างอึ้งงันว่าเวลาเพียงพริบตาหลินสวินก็ประหนึ่งหายไปจากโลกนี้ ไม่เหลือร่องรอยใดๆ
‘เรื่องในวันนี้ต้องทำให้เผ่าจักรพรรดิช่างเทพแตกตื่นเป็นแน่ พรุ่งนี้ตอนไปร้านช่างเทพระดับหนึ่งหมายเลขหนึ่ง บางทีพวกเขาอาจใจเย็นลงบ้างก็เป็นได้’
ในโรงเตี๊ยมหลินสวินนั่งลงส่งๆ วันนี้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ต้องให้เวลาเผ่าจักรพรรดิช่างเทพใคร่ครวญและผ่อนคลายลงหน่อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ยามพบกันอีกครั้ง เมื่อเอ่ยถึงเรื่อง ‘ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน’ บางอย่างย่อมสะดวกกว่ากันหน่อย
‘แค่ไม่รู้ว่าสถานการณ์ฝั่งลั่วเจียเป็นอย่างไรบ้าง…’
หลินสวินขมวดคิ้ว มีตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งคอยหนุนหลัง อุบายที่พุ่งเป้ามาที่เผ่าหงส์เซียนครั้งนี้ย่อมไม่ใช่เล็กน้อยแน่
และเขายังต้องอาศัยเส้นทางของเผ่าหงส์เซียนย้อนกลับทางเดินโบราณฟ้าดารา ย่อมไม่คาดหวังให้เผ่าหงส์เซียนเกิดเหตุร้ายแรงอะไรอยู่แล้ว
สุดท้ายหลินสวินก็ส่ายหน้าเบาๆ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เขาเพิ่งมาถึงเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงได้วันเดียว ไม่เข้าใจข่าวสารข้อมูลอย่างเป็นรูปธรรมสักนิด แม้จะอยากช่วยเผ่าหงส์เซียนก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน
ในตอนนี้มีแต่ต้องรอข้อมูลมากกว่านี้เท่านั้น
สวบ!
ครู่ต่อมาหลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เงาร่างเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งปรากฏ บนตัวสวมชุดคลุมขนนกลายดาว ศีรษะสวมเกี้ยวประดับรุ้งดารา ใบหน้าน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ดวงตาลึกล้ำใสกระจ่าง ผุดผ่องประดุจวังวนดารา
เป็นวิญญาณค่ายกลที่ถือกำเนิดจากกระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญนั่นเอง!
สิ่งมีชีวิตอย่างวิญญาณค่ายกลนี้ พลังเยี่ยมยอดเลิศล้ำ ใช้พลังแห่งฟ้าดินเป็นแหล่งกำเนิด ใช้แก่นแท้แห่งสรรพสิ่งเป็นตัวนำ สำแดงกระบวนผนึกลายมรรคถึงขีดสูงสุดจึงจะสามารถถือกำเนิดขึ้นมาได้
ฉะนั้นการมีอยู่ของวิญญาณค่ายกลจึงหายากอย่างยิ่งยวด
และเด็กชายตรงหน้าคนนี้ ก็คือวิญญาณค่ายกลที่ติดอันดับห้าค่ายกลสังหารทั่วหล้า!
“คุยกันหน่อย” หลินสวินมองสำรวจเด็กชาย
เด็กชายสีหน้าขุ่นเคือง “จะคุยอะไร มีอะไรให้น่าคุยนัก”
หลินสวินยกมือขึ้นเขกหน้าผากเด็กชายจนเด็กชายแยกเขี้ยวยิงฟัน กล่าวอย่างโมโห “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดพิเรนทร์อะไรอยู่ คงอยากให้ข้ายอมศิโรราบ มองเจ้าเป็นเจ้านาย แต่ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ไม่มีวันซะหรอก!”
หลินสวินอึ้งไป กล่าวอย่างแปลกใจ “เจ้าเด็กดื้อเอาเรื่องใช้ได้นี่ แต่เจ้าวางใจได้ ข้าคนแซ่หลินคร้านจะให้เด็กดื้ออย่างเจ้าติดตามอยู่ข้างกาย”
เด็กชายหงุดหงิด “ใครคือเจ้าเด็กดื้อ ถ้าพูดถึงอายุ ข้าเป็นบรรพชนของบรรพชนเจ้าได้แล้ว!”
โป๊ก!
หน้าผากของเด็กชายถูกเขกอีกครั้ง เจ็บจนน้ำตาแทบเล็ด
หลินสวินยิ้มน้อยๆ อย่างชอบใจ กล่าวว่า “ขืนพูดจาไม่มีหูรูดอีก ระวังข้าจะให้ต้าหวงกินเจ้าซะ เด็กจ้ำม่ำตัวขาวนุ่มนิ่มอย่างเจ้า ต้าหวงหมายตาไว้นานแล้ว”
เด็กชายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว นึกถึงหมาต้าหวงตัวนั้นที่เอาแต่จ้องตนจนน้ำลายไหลทั้งวันตอนถูกสยบอยู่ในเจดีย์ไร้สิ้นสุดก่อนหน้านี้ ในใจก็หนาวสั่นครั่นคร้าม
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” เด็กชายอดเอ่ยถามไม่ได้
“ง่ายมาก ผ่านช่วงนี้ไปข้าอาจจะวางกระบวนค่ายกลหลอมอาวุธ เจ้าก็มาเป็นลูกมือให้ข้าเป็นอย่างไร” หลินสวินกล่าวลวกๆ
เด็กชายอึ้งไป ดวงตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสากะพริบปริบๆ “หลอมอาวุธหรือ ข้าไม่เข้าใจหรอก”
โป๊ก!
หน้าผากของเขาถูกเขกอีกครั้ง เจ็บจนแทบร้องลั่น
หลินสวินกล่าว “ข้าหลอมอาวุธ เจ้าวางกระบวนค่ายกล ขืนยังกล้ามาเล่นลวดลายกับข้าอีก ข้ารับรองว่าจะให้เจ้าได้เห็นความอยากอาหารของต้าหวงว่ามันหิวกระหายแค่ไหน”
วิญญาณค่ายกลที่อยู่มาไม่รู้กี่กาลเวลาคนหนึ่ง หากมองเขาเป็นเด็กบริสุทธิ์ไร้เดียงสาจริงๆ เช่นนั้นก็โง่เง่าสิ้นดี
เด็กชายพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา พยักหน้าอย่างว่าง่าย
“นับแต่วันนี้ไปเจ้าก็ชื่อ…” หลินสวินตั้งท่าจะตั้งชื่อให้อีกฝ่าย
“อย่า ข้ามีชื่อ!” เด็กชายรีบโพล่ง
“อยู่กับข้า เจ้าต้องฟังข้า” หลินสวินกล่าวอย่างจริงจัง “ต่อไปเจ้าก็ชื่อเสี่ยวอู่” กล่าวจบ เจ้าตัวรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
วิญญาณอาวุธค่ายกลสังหารลำดับที่ห้าทั่วหล้า ให้ชื่อว่าเสี่ยวอู่เหมาะสมที่สุด (อู่ หมายถึง ห้า)
เด็กชาย “…”
นี่มันชื่อบ้าอะไรเนี่ย
ดีชั่วตนก็อยู่มานานนับกาลเวลาไม่ถ้วน พิทักษ์เผ่าเจินหลงตราบจนปัจจุบัน ยามโคจรกระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญยิ่งสามารถสังหารจักรพรรดิทำลายบรรพจารย์ได้ อานุภาพเกรียงไกรขนาดไหน จะให้ถูกเรียกว่า… เสี่ยวอู่ได้อย่างไรกัน!?
ใบหน้าน้อยของเด็กชายดำมืดปานก้นหม้อ ไร้แรงจะท้วงติงแล้ว
…
แดนลับหงส์เซียน
ถิ่นที่อยู่ของเผ่าหงส์เซียน เป็นแดนลับที่งดงามอลังการเช่นเดียวกับแดนวังมังกร
บนยอดภูเขาเมฆาครามมีตำหนักเก่าแก่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ ทั่วตำหนักแผ่กลิ่นอายแรกกำเนิด ศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์หาใดเปรียบ
เวลานี้คนใหญ่คนโตระดับสูงทั้งหมดของเผ่าหงส์เซียนมารวมตัวกันเต็มโถงตำหนัก
“ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง ใต้เท้าบรรพชนที่หลับใหลในกาลเวลาไร้สิ้นสุดก็จะตื่นจากนิพพานแล้ว ในระหว่างนี้ข้าหวังว่าจะไม่เกิดความวุ่นวายอะไร เลี่ยงไม่ให้กระทบต่อฤกษ์งามยามใต้เท้าบรรพชนจะตื่นขึ้นมา”
บนบัลลังก์ตรงกลาง หัวหน้าเผ่าหงส์เซียนหวงชางเทียนเอ่ยปาก เสียงดั่งระฆังรุ่งสางกลองพลบค่ำ กึกก้องทั่วโถงใหญ่
เขาหน้าตาหล่อเหลาเหนือธรรมดา ยามกะพริบตา มีสุริยันจันทราดาราลอยผะแผ่ว เพียงนั่งสบายๆ ก็มีอานุภาพนายเหนือหัวมาเยือนใต้หล้า
เฒ่าดึกดำบรรพ์ทั้งกลุ่มในที่นี้ต่างหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ พากันพยักหน้า
ไม่มีใครรู้ว่าบรรพชนเผ่าหงส์เซียนของพวกเขา ตอนนั้นเพื่อทะลวงระดับปราณของตน ก็เข้าสู่การ ‘นิพพาน’ อย่างไม่เคยมีมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว!
นี่คือความลับยิ่งยวดที่สุดในเผ่าพวกเขา
และตอนนี้การ ‘นิพพาน’ ที่กินเวลาต่อเนื่องนับไม่อาจนับได้นี้ในที่สุดก็จะสิ้นสุดลง!
เมื่อนึกถึงว่าอีกไม่นานใต้เท้าบรรพชนจะตื่นขึ้นมา อานุภาพคับโลกหล้าอีกครั้ง หัวใจของเฒ่าดึกดำบรรพ์ทั้งกลุ่มในที่นั้นล้วนเปลี่ยนเป็นพลุ่งพล่าน
“ด้านเผ่าจักรพรรดิช่างเทพก็ต้องจับตามองตลอดด้วยล่ะ” บนบัลลังก์ หวงชางเทียนเอ่ยปาก
เฒ่าดึกดำบรรพ์คนหนึ่งกล่าวโดยไม่ต้องคิด “หัวหน้าเผ่าวางใจ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้สถานที่นิพพานของใต้เท้าบรรพชนล้วนมีจักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงคอยเฝ้ามาตลอด ไม่ต้องห่วงว่าจะเกิดเหตุสุดวิสัย”
หวงชางเทียนกล่าวใคร่ครวญ “ระวังเพิ่มไว้อีกหน่อย หมู่นี้ข้ามักรู้สึกใจคอไม่ดี อย่าให้เกิดเรื่องหายนะอะไรขึ้นเด็ดขาด”
เฒ่าดึกดำบรรพ์ทั้งกลุ่มต่างอึ้งไป ใจคอไม่ดีหรือ ดูท่าเป็นเพราะเรื่องที่ใต้เท้าบรรพชนใกล้จะตื่นขึ้นมา หมู่นี้หัวหน้าเผ่าจึงค่อนข้างกังวล…
“หัวหน้าเผ่า แดนหงส์เซียนแห่งนี้เป็นอาณาเขตของพวกเรา จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ที่ไหน ขอท่านวางใจ”
มีคนหัวเราะลั่น คนอื่นๆ ก็พากันเอ่ยปากสมทบ
หวงชางเทียนอดกล่าวเยาะกับตัวเองไม่ได้ “ช่วยไม่ได้ พอนึกถึงว่าผ่านไปเป้นพันหมื่นปี ยังสามารถได้เห็นใต้เท้าบรรพชนปรากฏตัวบนโลกอีกครั้ง หัวใจของข้าก็… อดเต้นระส่ำไม่ได้จริงๆ”
และก็เป็นตอนนี้เอง…
“หัวหน้าเผ่า! เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากนอกโถง และเงาร่างสายหนึ่งก็พุ่งตามเข้ามาติดๆ
ทุกคนต่างเผยแววตกใจแกมสงสัย จำได้ว่าผู้มาคือลั่วฉางเฟิง ชาวเผ่าที่มีสายเลือดตระกูลลั่วไหลเวียนอยู่
ว่าไปแล้วก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ความสัมพันธ์ของเผ่าหงส์เซียนและตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งแน่นแฟ้นยิ่ง ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดขุมอำนาจทั้งสองมีเรื่องจับคู่แต่งงานระหว่างกันไม่ถ้วน
ถึงขั้นในเผ่าหงส์เซียนยังมีชาวเผ่าที่แซ่ลั่วอยู่มากมาย
ทว่าตั้งแต่เกิดเรื่องของลั่วชิงสวินขึ้น ความสัมพันธ์สองขุมอำนาจแตกหัก ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไป
ทว่าคนแซ่ลั่วในเผ่าหงส์เซียนเหล่านั้นก็ไม่ได้พลอยเดือดร้อนอะไรด้วย เพราะพวกเขาใช้ชีวิตอยู่เผ่าหงส์เซียนตั้งแต่เด็ก ไม่ได้มีความทรงจำดีๆ อะไรต่อตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งด้วยซ้ำ
ยิ่งกว่านั้นที่เผ่าหงส์เซียนและตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งแตกหักกัน สาเหตุเป็นเพราะลั่วชิงสวิน ฉะนั้นสำหรับชาวเผ่าที่มีสายเลือดตระกูลลั่วส่วนหนึ่งไหลเวียนอยู่เหล่านั้น ในใจพวกเขายอมรับเพียงเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์และทายาทของเขาเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งในปัจจุบันนี้
จุดนี้ย่อมมีความแตกต่างอย่างชัดแจ้ง
ลั่วฉางเฟิงก็คือชาวเผ่าในกลุ่มนี้ ซ้ำยังกุมอำนาจบางส่วนในเผ่า ถือว่าเป็นคนระดับอาวุโสคนหนึ่ง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” บนบัลลังก์หวงชางเทียนขมวดคิ้ว
ลั่วฉางเฟิงสูดหายใจลึก ข่มความสะท้านไหวในใจก่อนกล่าวขึ้น “เรื่องนี้ลั่วเจียลูกสาวข้าประสบมากับตัว ให้นางเป็นคนบอกจะเหมาะสมที่สุด”
หวงชางเทียนพยักหน้าน้อยๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นก็เรียกแม่หนูลั่วเจียเข้ามาในโถง”
ไม่นานลั่วเจียก็เดินเข้ามา หลังค้อมกายคารวะแล้วจึงบอกเล่าเรื่องราวที่ตนประสบมาก่อนหน้านี้ให้ฟังทั้งหมด
โดยเฉพาะหลังจากได้รู้ว่าเบื้องหลังของสองเผ่าอย่างเสือขาวและเต่าดำยังมีตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งคอยหนุนอยู่ คนใหญ่คนโตทั้งกลุ่มในโถงใหญ่ต่างก็โมโหเดือดดาล
“แผนชั่ว! นี่ต้องเป็นแผนชั่วแน่ๆ!”
มีคนเดือดดาล
“กล่าวเช่นนี้ กำลังพลของเสือขาว เต่าดำสองเผ่าก็เริ่มแทรกซึมเข้ามาในอาณาเขตของพวกเราเผ่าหงส์เซียนอย่างลับๆ แล้วหรือ”
มีคนตกใจ
“สามเดือนให้หลังตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งยังจะส่งคนใหญ่คนโตคนหนึ่งมาด้วย… นี่พวกเขาคิดจะทำอะไร เหตุใดต้องเลือกขัดแข้งขัดขาพวกเราเผ่าหงส์เซียนในเวลานี้ให้ได้ด้วย”
“หรือว่า… มีใครปล่อยข่าวเรื่องที่ใต้เท้าบรรพชนของเผ่าเราใกล้จะตื่น”
ชั่วขณะเดียวในโถงใหญ่ต่างอึงอล บรรดาเฒ่าดึกดำบรรพ์เผ่าหงส์เซียนแต่ละคนสีหน้าเขียวคล้ำไม่น่าดู
บนบัลลังก์หวงชางเทียนสีหน้าเปลี่ยนไปมา เนิ่นนานกว่าจะกล่าวพึมพำ “มิน่าหมู่นี้ข้ามักรู้สึกใจคอไม่ดีอยู่บ่อยๆ ที่แท้… คลื่นลมก็ใกล้มาเยือนจริงๆ สินะ…”
จากนั้นสีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเยือกเย็นทันที กวาดมองทั่วโถงด้วยสายตาดุจเปลวไฟ สุดท้ายก็มองไปยังลั่วเจีย กล่าวว่า “แม่หนู หลินสวินนั่นเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากที่ใด”
ลั่วเจียไม่กล้าปิดบัง บอกเล่าที่มาของหลินสวินให้ฟังทั้งหมด เพียงแต่ตอนนี้ลั่วเจียก็ยังไม่รู้เรื่องที่มารดาของหลินสวินคือลั่วชิงสวิน
ทว่ายามได้รู้ว่าหลินสวินถึงกับสังหารระดับจักรพรรดิขั้นแปดเผ่าเสือขาวคนหนึ่งในกระบี่เดียว ในที่นั้นต่างเกิดเสียงสูดหายใจสะท้านระลอกหนึ่งอย่างควบคุมไม่ได้
“ที่แท้ก็มาจากเผ่าเจินหลง”
หวงชางเทียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง พูดกับลั่วเจียว่า “แม่หนู เจ้าไปบอกสหายคนนี้แทนข้าได้ที บอกว่ารอหลังจากจัดการคลื่นลมครั้งนี้แล้ว ข้าย่อมจะเปิดเส้นทางให้ ส่งเขากลับทางเดินโบราณฟ้าดาราด้วยตนเอง”
——