Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2488 ใครเป็นคนตระกูลลั่ว
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2488 ใครเป็นคนตระกูลลั่ว
ตอนที่ 2488 ใครเป็นคนตระกูลลั่ว
“เกิดอะไรขึ้น ยังล่อเป้าหมายนั่นออกมาไม่ได้หรือ”
ชายหนุ่มชุดแพรคนหนึ่งเดินไพล่หลังเข้ามาในโรงเตี๊ยม หว่างคิ้วแฝงความอดรนทนไม่ไหว
จากนั้นเขาก็อึ้งไป
ในสายตาไม่มีพวกชายชุดแดงที่เขาคุ้นเคย
ในโรงเตี๊ยมว่างเปล่า มีแค่เงาร่างสูงตระหง่านหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
หลินสวิน!
ชายหนุ่มชุดแพรหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แต่เห็นชัดว่าเขามีความมั่นใจอย่างมาก กล่าวอย่างเย็นชา “คนพวกนั้น… ถูกเจ้าฆ่าหมดแล้วหรือ”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” หลินสวินถามกลับ
“สามหาว!”
ชายหนุ่มชุดแพรตวาดเสียงกร้าว
แต่เมื่อเขาหมายจะพูดอะไร ก็เห็นหลินสวินเยื้องย่างเข้ามาแล้ว สิ่งที่เร็วกว่าคือปราณกระบี่เรียบง่ายไม่พิเศษสายหนึ่งปรากฏขึ้นมากะทันหัน แล้วพุ่งออกไปทันที
เร็วจนน่าเหลือเชื่อ!
ปัง!
เกราะชั้นหนึ่งที่ชายหนุ่มชุดแพรสวมไว้ระเบิดออก เกือบถูกแหวกอกคว้านท้อง ทั้งตัวถูกซัดจนลอยออกไปนอกโรงเตี๊ยม กลิ้งลงไปกองกับพื้น ริมฝีปากส่งเสียงโหยหวนน่าอนาถ
นอกโรงเตี๊ยมพลันเกิดความแตกตื่น
ในบริเวณใกล้เคียงนี้ถูกเงาร่างที่มีกลิ่นอายน่ากลัวมากมายปกคลุมแน่นขนัด
มีผู้ฝึกปราณที่มาจากตระกูลเหวิน ตระกูลเหิง ตระกูลลั่ว ทั้งมีบุคคลแห่งยุคที่ความเป็นมาเหนือธรรมดา เจิดจรัสหาใดเปรียบ
บริเวณห่างไกลออกไปอีก ยังมีเงาร่างมากมายกำลังสังเกตการณ์
เขตถนนที่กว้างใหญ่นั้น ถึงกับถูกโอบล้อมจนแม้แต่น้ำยังไหลออกไปไม่ได้
ส่วนผู้แข็งแกร่งซึ่งกล้าปิดล้อมที่นี่อยู่ตอนนี้ แน่นอนว่าไม่มีสักคนที่เป็นพวกธรรมดา ถึงขั้นมีผู้นำเป็นบรรพจารย์มรรคหลายคน!
นอกจากนี้มกุฎมหาจักรพรรดิยิ่งมีเป็นเบือ ต่างคนต่างเผยอานุภาพร้ายกาจ ทำให้ฟ้าดินแถบนี้ตกอยู่ในความกดดัน
เมื่อเห็นชายหนุ่มชุดแพรที่ถูกกระบี่เดียวฟันลอยออกมานั้น หลายคนเผยสีหน้าตกตะลึง
ชายหนุ่มชุดแพรคนนี้แม้ไม่ใช่มกุฎมหาจักรพรรดิ แต่ก็มีมรรควิถีขั้นแปด เป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ภายใต้ปกครองของตระกูลลั่ว
แต่ตอนนี้กลับกลิ้งอยู่บนพื้น ผิวแตกเลือดอาบ!
บรรยากาศในที่นั้นเงียบสงัดเป็นอันดับแรก จากนั้นสายตามากมายต่างพากันมองตรงไปยังประตูทางเข้าโรงเตี๊ยม
พลันเห็นเงาร่างสูงสง่าร่างหนึ่งก้าวออกมา
เขาสวมชุดสีขาวพระจันทร์ ผมดำแผ่สยาย ดูราบเรียบไม่โดดเด่น ราวกับกระบี่หนักไร้คม ไม่เผยอานุภาพออกมาสักนิด
แต่ตอนนี้ในที่นั้นกลับเกิดความไม่สงบ เสียงประหลาดใจพลันดังขึ้น
“เขาก็คือนักโทษแห่งยุคที่ฝากชื่อไว้บนกระดานเร้นลับคนนั้นหรือ”
มีคนยากจะเชื่อ
อานุภาพสักนิดยังไม่มี ธรรมดาเกินไปแล้ว
“กลิ่นอายไม่รั่วไหล กลับคืนสู่สามัญ นี่คือพวกร้ายกาจที่ลึกล้ำยากหยั่งถึง อย่าถูกความเรียบง่ายภายนอกของเขาล่อลวงเด็ดขาด!”
มีคนตกตะลึง เผยสีหน้าคร่ำเคร่ง
สายตานับไม่ถ้วนกำลังประเมินหลินสวิน สีหน้าแตกต่างกันออกไป แต่ไม่มีใครกล้าดูถูกสักคน
นี่คือพวกน่ากลัวที่ใช้การนองเลือดมาพิสูจน์ศักยภาพของตน เป็นบุคคลร้ายกาจแห่งยุคคนหนึ่งที่ฝากชื่อไว้บนกระดานเร้นลับ!
ต่อให้เป็นบรรพจารย์มรรคก็ยังไม่กล้าดูถูก
ด้วยได้ยินว่าเหิงเทียนซั่วที่อยู่ระดับเดียวกับพวกเขาถูกคนร้ายกาจผู้นี้สังหารเช่นกัน
“ไม่เลว วิเศษมาก ใช่ว่ามกุฎมหาจักรพรรดิทั่วไปจะเทียบได้ หากอยู่ในน่านฟ้าที่เจ็ด บุคคลเช่นนี้ย่อมไร้หนึ่งในหมื่น”
บนอาคารหลังหนึ่งที่ห่างไกล แววตานิ่งสงบของฮว่ารั่วซวีในชุดสีทอง รูปงามเหนือธรรมดาเผยความประหลาดใจเสี้ยวหนึ่ง
นี่ก็คือบุคคลปริศนาที่เป็นไปได้สูงว่าจะมีอันดับเหนือกว่าตนบนกระดานเร้นลับนั่นหรือ
ไม่ธรรมดาดังคาด
“นายน้อย หรือท่านคิดจะชวนคนผู้นี้มาเป็นบริวาร หากเป็นเช่นนั้นผู้น้อยต้องเตือนท่านสักประโยค เคราะห์สังหารนี้พวกเราไม่แทรกแซงจะดีกว่า”
เสียงของฮูหยินงามชุดม่วงที่อยู่ด้านข้างไพเราะ “เขตถนนในรัศมีพันลี้นี้ถูกเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลอย่างตระกูลเหวิน ตระกูลเหิง ตระกูลลั่ววางกำลังแน่นหนา ผนึกเป็นชั้นๆ”
“นอกจากนี้แค่บรรพจารย์มรรคก็ยังเคลื่อนพลมาสี่คน รวมเหล่าระดับจักรพรรดิในที่นั้น… กระบวนรบเช่นนี้แทบจะไร้ทางหนี”
นัยน์ตาแวววาวของฮูหยินงามชุดม่วงกวาดมองโดยรอบ นางเว้นช่วงไปก่อนกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น ในที่ลับยังมีเฒ่าชราไม่น้อยซ่อนตัวอยู่”
คำพูดนี้อธิบายสถานการณ์ของหลินสวินออกมาได้อย่างตรงจุดตรงประเด็น
ฮว่ารั่วซวียิ้มพลางกล่าว “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ทั้งไม่มีทางไปชวนคนผู้นี้ด้วย เพราะข้ารู้ดีกว่าเจ้า ว่าคนเช่นนี้ไม่มีทางสวามิภักดิ์ต่อขุมอำนาจใดแต่แรก”
ฮูหยินงามชุดม่วงลอบโล่งอก ตบเนินอกอวบอิ่มขาวผ่องพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ดี พวกเราแค่สังเกตการณ์ก็พอ”
ขณะเดียวกันหน้าโรงเตี๊ยม หลินสวินกวาดตามองโดยรอบ รู้สถานการณ์ของตนอย่างชัดเจนทันที
ไม่อาจไม่พูดถึง กระบวนรบเช่นนี้เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวจริงๆ
ในรัศมีพันลี้เต็มไปด้วยศัตรู ปิดกั้นแน่นหนา ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยไอสังหาร!
เท่านี้ก็มองออกว่าเพื่อสังหารตน เห็นชัดว่าตระกูลเหวิน ตระกูลเหิง และตระกูลลั่วไม่สนใจว่าต้องแลกกับอะไรแล้ว
หากเปลี่ยนเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนใดก็ตามเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงได้แต่ถอนใจไม่อาจพลิกสถานการณ์ เกิดความรู้สึกสิ้นหวัง
แต่หลินสวินไม่เป็นเช่นนั้น
ไม่ใช่แค่เพราะเขามีความมั่นใจเพียงพอเท่านั้น
สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือหลายปีที่ฝึกปราณมาถึงวันนี้ เขาผ่านความเป็นตายและอันตรายมาไม่รู้เท่าไร มีหรือจะถูกเหตุการณ์เช่นนี้สั่นคลอนจิตใจ
แต่เห็นเขาถูกปิดล้อมอยู่ตัวคนเดียว เหล่าผู้ที่เฝ้ามองดูอยู่พวกนั้นกลับรู้สึกสงสารอย่างอดไม่ได้ ทอดถอนใจไม่หยุด
บุคคลที่สามารถฝากชื่อไว้บนกระดานเร้นลับจนสะเทือนเมืองยอดยุทธ์ได้ ภายหน้าไม่ช้าก็เร็วต้องเหนือกว่าระดับบรรพจารย์แน่!
แต่ตอนนี้กลับจะถูกสังหาร ย่อมทำให้ผู้คนเสียดายเป็นธรรมดา
ส่วนศัตรูที่มองหลินสวินเป็นเหยื่อพวกนั้นก็แววตาเยียบเย็น เผยไอสังหารออกมาจนหมด เตรียมพร้อมลงมือ
“หลินสวิน สถานการณ์ตอนนี้เจ้าเห็นชัดแล้ว เจ้าคิดว่าครั้งนี้ยังหนีรอดหรือ”
ชายชราที่ขี่กิเลนดำตัวหนึ่งเอ่ยปาก เสียงดังครั่นครืน สะเทือนชั้นเมฆทั่วทิศจนแหลกละเอียด ทำลายความเงียบในที่นั้น
นี่คือระดับบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งของตระกูลเหวิน มีนามว่าเหวินเทาเลวี่ย มรรควิถีทั้งตัวล้ำลึกดุจห้วงสมุทร บรรลุเป็นบรรพจารย์ถึงตอนนี้ได้หมื่นปีแล้ว ชื่อเสียงยิ่งยง
ยามเขาเอ่ยปากเวลานี้ แววตาชวนสะพรึง แฝงความเยียบเย็นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งไม่อำพรางแววเหน็บแนมและหยามเหยียดแม้แต่น้อย
หลินสวินไม่สนใจสักนิด หรือเรียกได้ว่าไม่สนใจเฒ่าชรานี่แต่แรก เขากล่าวออกไปลอยๆ “ใครบอกข้าได้บ้าง พวกไหนเป็นคนของตระกูลลั่ว”
ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึง นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้าหมอนี่ไม่สนใจความเป็นตายของตนสักนิดเลยรึ
แม้ว่าจะคิดเช่นนี้ แต่สายตามากมายยังมองไปทางสถานที่ซึ่งขุมอำนาจของตระกูลลั่วยืนอยู่
“ข้าเอง”
เกือบจะเวลาเดียวกัน ลั่วหลิงก้าวออกมา ท่าทางอ่อนช้อยสง่างามไร้เทียมทาน คิ้วตาดุจภาพวาด
เนตรดาราของนางนิ่งสงบ มองหลินสวินพลางกล่าวราบเรียบ “ข้าได้รับความเห็นชอบจากตระกูลเหวินและตระกูลเหิงแล้ว ขอแค่เจ้ายอมให้จับแต่โดยดี ข้าสามารถให้โอกาสรอดชีวิตกับเจ้าได้ครั้งหนึ่ง ก็ต้องดูว่าตัวเจ้าจะช่วงชิงไปได้หรือไม่แล้ว”
ในที่นั้นเกิดความไม่สงบ หลายคนเผยสีหน้าประหลาด ตระกูลลั่วคิดจะทำอะไร คงไม่ใช่ว่าคิดกำราบคนผู้นี้ให้ขายชีวิตกระมัง
หลินสวินมองลั่วหลิงเล็กน้อย ก่อนมองดูทุกคนที่อยู่ข้างกายนางแล้วหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ตระกูลลั่วของพวกเจ้าคิดวางแผนอะไรข้ารู้ชัดดี วันหน้ารอข้าไปถึงโลกยอดนิรันดร์แล้ว ย่อมมุ่งหน้าไปเยือนตระกูลลั่วด้วยตัวเอง”
“น่าขัน วันนี้เจ้าต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา ยังพูดถึงเรื่องวันหน้าอะไรอีก!”
ชายชุดดำคนหนึ่งตวาดเสียงเย็น
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ลองดูว่าใครจะอยู่รอดถึงตอนท้ายสุด”
เสียงของหลินสวินเพิ่งดังขึ้น
ตูม!
ไอสังหารน่าหวาดกลัวที่ไม่อาจบรรยายแผ่ออกมาจากร่างเขา ม้วนพัดออกไปบดบังฟ้าคลุมตะวันราวกับกระแสน้ำ
ห้วงอากาศใกล้เคียงทรุดตัวลงทีละน้อย ส่งเสียงครวญหวีดแหลม
ทุกคนในที่นั้นต่างหนาวเยือกไปทั้งตัว ผิวหนังปวดแสบ ขณะงุนงงเหมือนเห็นภาพสีโลหิตอย่างภูเขาศพทะเลเลือด ปวงสวรรค์ดับสลาย ทวยเทพร่วงหล่น ทำให้สภาวะจิตของพวกเขาสั่นระรัว
แต่นี่เป็นแค่ไอสังหารที่หลินสวินปลดปล่อยออกมาเท่านั้น
“นี่…”
“ไอสังหารน่ากลัวยิ่งนัก!”
ในที่นั้นเกิดความไม่สงบ เสียงร้องอุทานนับไม่ถ้วนดังขึ้น พวกที่พลังปราณอ่อนแอหน่อยล้วนดวงตาแสบแปลบ จิตวิญญาณเกือบถูกฉีดทึ้ง สีหน้าซีดเผือด
แม้แต่นัยน์ตาของบุคคลแห่งยุคพวกนั้นก็ยังฉายแววสะท้านอย่างอดไม่ได้ รู้สึกไหวหวั่นไม่หยุด ไอสังหารเช่นนี้น่ากลัวเกินไปจริงๆ ถึงขั้นสะเทือนจิตใจของผู้คนให้แหลกละเอียดได้อย่างง่ายดาย!
สามารถครอบครองไอสังหารเช่นนี้ได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าความสามารถบนมรรคสังหารของหลินสวินนี่แข็งแกร่งระดับใด
เมื่อมองไปกลางลานอีกครั้ง
หลินสวินเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ร่างส่องประกาย แสงศักดิ์สิทธิ์ไหลวน ราวกับหุบเหวหนึ่งพาดขวางอยู่ตรงนั้น พลานุภาพรุ่งโรจน์ พุ่งทะลวงเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน!
แค่ถูกนัยน์ตาเขากวาดมองปราดเดียว ก็ทำให้จิตวิญญาณของผู้คนปวดแสบ มีความรู้สึกว่าหายใจไม่ออก
ไอสังหารไร้รูปห้อมล้อมรอบกายเขา ขับเน้นให้เขาเหมือนเทพมารดึกดำบรรพ์ที่เพิ่งทะลวงออกมาจากนรกนองเลือด อานุภาพครอบคลุมท้องนภาแถบนี้!
เปรียบเทียบกับท่าทางราบเรียบก่อนหน้านี้แล้ว ราวกับเป็นคนละคนจริงๆ!
ในที่นั้นเงียบสงัด
คนมากมายตื่นตระหนกไม่หยุด เหล่าศัตรูที่กระเหี้ยนกระหือรือก่อนหน้านี้ก็เผยสีหน้าคร่ำเคร่ง
‘นี่ก็คืออานุภาพของพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินหรือ…’ ส่วนลึกของนัยน์ตาลั่วหลิงฉายแววอิจฉาเสี้ยวหนึ่งอย่างยากสังเกตเห็น
จากนั้นความอิจฉาเสี้ยวนี้ก็ถูกไอสังหารเยียบเย็นเข้าแทนที่
“ทุกท่าน คนผู้นี้โง่เขลาดึงดัน ต้องฆ่าเขาซะ! ข้ายังคงเงื่อนไขนั้นเหมือนเดิม หากจับเขาเป็นๆ ได้ ตระกูลลั่วของข้าจะไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวังแน่” ลั่วหลิงกล่าวเสียงเย็น
ในที่นั้นเกิดความไม่สงบ
นัยน์ตาเหวินเทาเลวี่ยที่ขี่กิเลนดำฉายแววสังหาร หัวเราะเสียงดังพลางกล่าว “ดี!”
ตูม!
กระบวนค่ายกลปรากฏขึ้นกะทันหัน ละอองแสงอักขระไร้สิ้นสุดม้วนพัดขึ้นมา ปกคลุมหลินสวินรวมถึงโรงเตี๊ยมเบื้องหลังเขาไว้ภายในอย่างสมบูรณ์
ในใจเหล่าคนที่เฝ้ามองอยู่ล้วนเครียดขมึง
เห็นชัดว่านี่คือกระบวนค่ายกลที่ถูกวางไว้นานแล้ว รอแค่หลินสวินออกมาก็จะล้อมสังหารเขาไว้ในนั้น!
ฮูม…
ละอองแสงดุจกระแสน้ำ เปล่งประกายเจิดจรัส กระบวนค่ายกลนี้น่าอัศจรรย์หาใดเปรียบ คลื่นพลังผนึกนับไม่ถ้วนควบรวมเป็นดอกบัวรัศมีพันจั้งดอกหนึ่ง กลีบซ้อนสลับ แดงสดอวบอิ่ม มีเสียงมรรคคลุมเครือเร้นลับดังออกมาเป็นระลอก สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของผู้คน
“นี่คือ ‘ค่ายกลแดนบัวแดง’ ของตระกูลเหวิน สามารถทำลายโลกแห่งหนึ่งได้โดยง่าย ต่อให้ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิติดอยู่ในนั้นก็ไม่อาจหลุดพ้น ย่อมถูกหลอมละลายทั้งเป็น!”
มีคนเอ่ยเบาๆ รู้ความเป็นมาของกระบวนค่ายกลนี้ ก่อให้เกิดเสียงอุทานในที่นั้น
“ได้ตายในกระบวนค่ายกลนี้ ก็สมกับผลงานที่เขาสามารถฝากชื่อไว้บนกระดานเร้นลับแล้ว” เหวินเทาเลวี่ยที่ขี่กิเลนดำลูบเคราพลางยิ้มกล่าว
เขาพูดพลางออกคำสั่ง “พวกเจ้าเข้าไปในกระบวนค่ายกล ควบคุมเคราะห์สังหารของค่ายกลนี้ สำเร็จโทษเจ้าหมอนี่ซะ”
“ขอรับ!”
ระดับจักรพรรดิที่มาจากตระกูลเหวินสามสิบหกคนก้าวออกมา พุ่งเข้าไปในค่ายกลแดนบัวแดงนั่น พวกเขาแยกกันไปควบคุมฐานค่ายกลสามสิบหกแห่ง ถึงได้โคจรกระบวนค่ายกลนี้ได้อย่างสมบูรณ์
ผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ห่างไกลต่างหนาวเยือกในใจ
เห็นชัดว่าครั้งนี้เผ่าจักรพรรดิอมตะอย่างตระกูลเหวิน เหิง ลั่ว เตรียมตัวพร้อมสรรพมาเพื่อจัดการหลินสวิน ไม่เพียงแต่เคลื่อนกระบวนรบที่เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัว ยังใช้กระบวนผนึกไร้เทียมทานมาป้องกันเหตุไม่คาดฝันด้วย
“ทางที่ดีอย่ากำจัด ไว้ชีวิตเขาดีกว่า” ลั่วหลิงกล่าวเตือน
เหวินเทาเลวี่ยยิ้มร่า “ดั่งเจ้าปรารถนา”
………………