Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2584 ข่มขู่
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2584 ข่มขู่
ตอนที่ 2584 ข่มขู่
หมู่บ้านเงาเมฆา
ตอนที่เห็นหลินสวินและพวกผู้ใหญ่บ้านย้อนกลับมาด้วยกัน ชาวบ้านที่รอคอยอยู่อย่างร้อนใจมานานแล้วส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ แต่ละคนตื่นเต้นดีใจยิ่งยวด
หลินสวินฉวยจังหวะตอนที่ทุกคนพูดคุยกันแยกตัวจากไปทันทีอย่างรู้กาลเทศะ กลับไปเรือนของตน
“อาจารย์หลิน ท่านกลับมาแล้ว!”
เมื่อเห็นเงาร่างของหลินสวิน บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ไม่มีสมาธิในการฝึกปราณ แต่ละคนต่างลืมตาขึ้นจับจ้องไปยังหลินสวินตาปริบๆ
หลินสวินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรแล้ว พวกเราฝึกต่อเถอะ”
“ไม่เป็นไรจริงหรือ”
เด็กพวกนี้ต่างอึ้งไปเป็นอันดับแรก จากนั้นเบิกตาโพลง ฮือฮากันขึ้นมา
“ข้าว่าแล้วว่าอาจารย์หลินออกโรง ใครจะสู้ได้”
เจ้าอ้วนคนหนึ่งร้องอย่างตื่นเต้น
“เจ้าโกหก ก่อนหน้านี้เจ้ายังพูดอยู่เลยว่าอาจารย์หลินบาดเจ็บ การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน!”
มีคนเปิดโปงเจ้าอ้วนโดยตรง ทำเอาเจ้าอ้วนน้อยใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา
“ข้าก็แค่เป็นห่วงอาจารย์หลิน ไม่มีเจตนาร้ายเด็ดขาด พวกเจ้าอย่าพูดพล่อยๆ”
เจ้าอ้วนน้อยเถียงอย่างกระวนกระวาย
เห็นสถานการณ์วุ่นวายเสี่ยวซีก็ก้าวออกมาทันที ขมวดคิ้วมือเท้าเอว กล่าวโทษว่า “โวยวายอะไร หุบปากเดี๋ยวนี้ ตั้งใจฝึกปราณ!”
ทุกคนอึ้งไปทันที พลันปิดปากเริ่มนั่งสมาธิอีกครั้ง
หลินสวินลูบศีรษะเล็กของเสี่ยวซีเบาๆ กล่าวว่า “ทำได้ไม่เลว”
เสี่ยวซีเผยฟันขาวที่เรียงตัวเป็นระเบียบ เงยศีรษะขึ้น บนดวงหน้าเล็กงดงามบริสุทธิ์เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ พูดเสียงใสกังวาน “ข้าไม่ทำให้พี่เต้ายวนผิดหวังหรอก!”
หลินสวินยิ้มเป็นนัยชื่นชม จากนั้นเดินตรงเข้าเรือนไป
บนเตียงซย่าจื้อยังหลับอยู่ ลมหายใจยาวและมั่นคง บนใบหน้าขาวกระจ่างที่ไม่สามารถใช้คำพูดเปรียบเทียบได้นั้น แม้จะนิ่งสงบแต่ยังคงแฝงความซีดเชียว
นี่ทำให้ในใจหลินสวินปวดแปลบขึ้นมา ความชิงชังและไอสังหารที่สกัดกั้นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจแทบจะปะทุ
‘วันหน้าหากไม่ฆ่าพวกเขา คงยากจะสลายความแค้นในใจข้า!’
หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ทำจิตใจที่ค่อนข้างพลุ่งพล่านให้มั่นคง จนกระทั่งสงบลงจึงเก็บสายตาที่มองซย่าจื้อกลับมา นั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งที่อยู่อีกข้างของเตียง
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งปรากฏขึ้นเงียบๆ จิตรับรู้ของหลินสวินแทรกเข้าไป ก็เห็นว่าหญ้าเทพสีเขียวมรกตนั่นแม้จะถูกกักขังและกำราบ กลิ่นอายคำสาปแดงก่ำที่วนเวียนอยู่ระหว่างใบไม้ยังคงน่าสะพรึงอย่างที่สุด สยดสยองน่าหวาดหวั่น
หลินสวินในตอนนี้นับว่าเห็นพลังระเบียบมาไม่น้อยแล้ว แค่จากกลิ่นอายนี้ก็ระบุได้ว่าระดับของระเบียบคำสาปนี้ เป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นระดับสวรรค์!
เพียงแต่เป็นระดับสวรรค์ขั้นไหนนั้น ใช้เพียงแค่ความรู้สึกยังไม่สามารถตัดสินได้ ต้องสำรวจเพิ่มขึ้นอีกขั้น
แต่หลินสวินยังไม่ได้ก้าวสู่มรรคาอมตะ ด้วยพลังปราณในตอนนี้ของเขาไม่สามารถหยั่งรู้นัยเร้นลับที่สั่งสมอยู่ในพลังระเบียบได้
‘จะให้ระเบียบนิพพานกลืนกินมันหรือไม่…’ หลินสวินลังเลมาก
หากเป็นระเบียบระดับสวรรค์ทั่วไปหลินสวินย่อมไม่ลังเล ประเด็นคือระเบียบระดับสวรรค์นี้เกี่ยวข้องกับพลังของคำสาป และต้นกำเนิดที่ให้กำเนิดหญ้าเทพ วิเศษอัศจรรย์นัก นี่ทำให้หลินสวินอดเสียดายไม่ได้
‘ช่างเถอะ เก็บไว้ก่อนแล้วกัน รอในอนาคตหลังจากข้าก้าวสู่มรรคาอมตะ หยั่งถึงนัยเร้นลับของระเบียบนี้ค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย’
ครู่ใหญ่หลินสวินจึงตัดสินใจ เก็บเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง และวางแผนจะทำสมาธิฝึกปราณสักหน่อย
สองปีมานี้ด้วยการบำรุงจากโอสถเทพและลูกกลอนวิญญาณต่างๆ รวมถึงการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง บาดแผลทั้งร่างของเขาสมานกันกว่าครึ่งแล้ว อีกทั้งยังใช้คัมภีร์เตาหลอมมหามรรคสร้างมรรควิถีในอดีต
ตอนนี้แม้พลังต่อสู้ฟื้นฟูได้เพียงครึ่งเดียวของจุดสูงสุด แต่หลินสวินมีลางสังหรณ์ว่าตอนที่ฟื้นคืนโดยสมบูรณ์ ศักยภาพของตนจะต้องเกิดการแปรสภาพ
ผ่านการเคี่ยวกรำลำบาก พังทลายและเกิดใหม่ นี่ก็เหมือนการกำเนิดใหม่และนิพพานในการทำลายล้าง ถูกกำหนดให้แตกต่างจากในอดีต!
จู่ๆ นอกเรือนหินก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นระลอกหนึ่ง
“ว้าว พี่สาวคนนี้สวยมาก”
“หุบปาก ไม่เห็นหรือว่ามากับผู้ใหญ่บ้าน ดูก็รู้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในเมือง ระวังจะเป็นภัยเพราะปาก!”
“แต่… พี่สาวคนนั้นสวยมากจริงๆ นะ…”
ได้ยินเสียงถกเถียงเหล่านี้แล้วหลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
ในลานเรือน เหล่าเด็กหนุ่มสาวที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ พอสังเกตเห็นการปรากฏตัวของหลินสวินต่างเงียบไปทันที นั่งขัดสมาธิโดยดี
และบริเวณหน้าหมู่บ้านที่ห่างจากลานเรือนไม่ไกลนัก อู่ชวนกำลังคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้นสวมเสื้อคลุมนกกระเรียนสีม่วงเข้ม ผิวขาวกระจ่างแวววาว ขาวสว่างราวกับหิมะ รูปลักษณ์งดงามโดดเด่น เป็นคนที่หลินสวินเจอก่อนหน้านี้นั่นเอง
ทันใดนั้นประกายเย็นเยียบที่ยากจะสังเกตเห็นแวบผ่านในดวงตาหลินสวิน เขาเดินตรงเข้าไป
ขณะเดียวกันอู่ชวนก็มองเห็นหลินสวินเช่นกัน เขาอึ้งงันไปก่อนจะยิ้มพูดอย่างกระตือรือร้น “สหายน้อย เจ้ามาได้จังหวะพอดี ข้าจะแนะนำให้เจ้า นี่คือใต้เท้าเนี่ยชิงหรงจากสำนักศึกษาสองลักษณ์แห่งแดนทุ่งบูรพา”
พร้อมกันนั้นเขาสื่อจิตกล่าวว่า ‘ผู้หญิงคนนี้เพิ่งมาก็สืบถามเบาะแสของสหายน้อย ข้ากำลังคิดอยู่ว่าควรไล่นางไปอย่างไร แต่ไม่คิดว่าเจ้ากลับปรากฏตัว…’
เสียงเผยแววยิ้มขื่น
เห็นชัดว่าอู่ชวนไม่ได้โง่ ตระหนักได้ว่าจุดประสงค์การมาของผู้หญิงที่ชื่อเนี่ยชิงหรงคงไม่ธรรมดา
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ผู้ใหญ่บ้านท่านไปก่อนเถอะ ข้าจะคุยกับใต้เท้าเนี่ยจากสำนักศึกษาสองลักษณ์เป็นการส่วนตัว”
อู่ชวนยิ้มพูด “ได้”
พร้อมกันนั้นก็ส่งสายตาให้หลินสวิน สื่อจิตว่า ‘สหายน้อย หากนางมาจากสำนักศึกษาสองลักษณ์จริง เจ้าจะต้องระวัง พยายามอย่าล่วงเกินเด็ดขาด นี่เป็นถึงสถานที่ฝึกปราณศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของแดนทุ่งบูรพา’
พูดจบเขาก็หมุนตัวจากไปแล้ว
ส่วนหลินสวินเคลื่อนสายตามองเนี่ยชิงหรงก่อนจะพูดว่า “ว่ามาเถอะ เจ้ามาที่นี่ทำไม”
ดวงตาหงส์ของเนี่ยชิงหรงไหวเคลื่อน ความเย็นยะเยือกบนใบหน้างามคลายไป เผยรอยยิ้มงามล้ำเอ่ยว่า “ดูเหมือนสหายยุทธ์จะต่อต้านข้ามาก?”
“ความรู้สึกของเจ้าถูกต้องมาก” หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงแข็งกระด้าง
รอยยิ้มของเนี่ยชิงหรงชะงักไป ในใจอับอาย ด้วยมรรควิถี ฐานะ และรูปลักษณ์ของนาง ในแดนทุ่งบูรพาไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อนางเช่นนี้มาก่อน
นางเงียบไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มจางหายไป ดวงตาหงส์คู่งามจ้องหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ข้ามาครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่อยากจะแลกเปลี่ยนกับสหายยุทธ์สักหน่อย”
“เพื่อระเบียบคำสาปที่เจ้าว่าหรือ ไม่มีทาง อย่าว่าแต่ข้าไม่เคยเห็นสมบัติระดับนั้น ต่อให้มีก็ไม่มีทางเอามาแลกเปลี่ยน”
หลินสวินพูดตรงๆ “อีกทั้งด้วยฐานะและประสบการณ์ของเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่ามูลค่าของพลังระเบียบล้ำค่าเพียงใด ต่อให้เป็นการแลกเปลี่ยน เจ้าคิดว่าเจ้ามีสมบัติที่เทียบได้หรือ”
น้ำเสียงเรื่อยเฉื่อยๆ แต่แข็งกร้าวและกระด้างมาก
เนี่ยชิงหรงอึ้งไป กัดริมฝีปากแดงกล่าว “สหายยุทธ์ สำนักศึกษาสองลักษณ์ของข้าอาจรับพลังระเบียบระดับนี้ไม่ไหว แต่เบื้องหลังของสำนักศึกษาสองลักษณ์ยังมียักษ์ใหญ่อมตะของน่านฟ้าที่หกมากมาย ข้าเชื่อว่าขอเพียงสหายยุทธ์ยื่นข้อเสนอ ย่อมมีโอกาสเจรจาอย่างแน่นอน”
ยักษ์ใหญ่อมตะของน่านฟ้าที่หกหรือ
ชื่อมากมายแวบผ่านในหัวหลินสวิน ตระกูลเหวิน ตระกูลเหิง ตระกูลเฮ่อ ตระกูลเผิง ตระกูลจู้…
แน่นอนว่ายังมีตระกูลลั่วด้วย!
“เบื้องหลังสำนักศึกษาสองลักษณ์มีตระกูลลั่วหรือไม่” จู่ๆ หลินสวินก็ถามขึ้น
เนี่ยชิงหรงกล่าว “ไม่มีตระกูลนี้ แม้นานมาแล้วตระกูลลั่วเรียกได้ว่าเป็นนายเหนือหัวชั้นยอดที่สุดของน่านฟ้าที่เจ็ด ความแข็งแกร่งของรากฐานพลังสามารถเทียบกับยักษ์ใหญ่อมตะของน่านฟ้าที่แปดได้ แต่ตอนนี้… ตกต่ำไปนานแล้ว แม้แต่ในน่านฟ้าที่หกสถานการณ์ก็ไม่ยังดี ยังจะมีความสามารถแทรกแซงเรื่องของน่านฟ้าที่หนึ่งได้อย่างไร”
หลินสวินลอบโล่งอก
เขาไม่ได้เกรงกลัวตระกูลลั่ว แต่เมื่อสองปีก่อนเขาได้รับปากผู้ใหญ่บ้านอู่ชวน ว่าจะพาเสี่ยวซีไปเข้าร่วมการคัดเลือกที่เมืองหลิวเขียว เพื่อให้เสี่ยวซีสามารถเข้าไปฝึกปราณในสำนักศึกษาสองลักษณ์
หากเบื้องหลังสำนักศึกษาสองลักษณ์มีเงาของตระกูลลั่ว หลินสวินก็จำต้องพิจารณาว่าจะเปลี่ยนที่ฝึกให้กับเสี่ยวซีหรือไม่
“สหายยุทธ์ เจ้าคิดว่าข้อเสนอของข้าเป็นอย่างไร” เนี่ยชิงหรงถาม
หลินสวินส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าบอกแล้วว่าเป็นเพียงแค่เรื่องสมมติเท่านั้น ระเบียบคำสาปที่เจ้าพูดถึงข้าไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ”
เห็นได้ชัดว่าเนี่ยชิงหรงไม่เชื่อ แต่นางเองก็มีความหวาดเกรงต่อหลินสวินมากอย่างชัดเจนเช่นกัน สุดท้ายจึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “ช่างเถอะ ดูท่าวาสนานี้คงถูกกำหนดให้ไม่มีบุญสัมพันธ์กับสำนักศึกษาสองลักษณ์ ลาก่อน”
นางหมุนตัวหมายจะจากไป
จู่ๆ หลินสวินก็พูดว่า “สหายยุทธ์”
เนี่ยชิงหรงหันมา สายตามองไปยังหลินสวิน
“เรื่องวันนี้ข้าหวังว่าจะมีเพียงแค่เจ้าที่รู้ ไม่เช่นนั้นข้ากังวลว่าต่อให้เป็นพลังทั้งหมดของสำนักศึกษาสองลักษณ์ ก็คุ้มครองเจ้าไม่ได้” หลินสวินสายตานิ่งสงบ เสียงราบเรียบ
ร่างบางของเนี่ยชิงหรงแข็งทื่อน้อยๆ บนใบหน้าหยกปรากฏความขุ่นเคือง “ข่มขู่หรือ”
ในดวงตาดำของหลินสวินเผยประกายเย็นเยียบเงียบๆ
ตูม!
เนี่ยชิงหรงเพียงรู้สึกเบื้องหน้าเจ็บปวด ส่วนลึกของจิตวิญญาณเกิดความหวาดกลัวยิ่งยวด ทั้งร่างเหมือนตกลงไปในเหวลึก ในครรลองสายตาเต็มไปด้วยภาพภูเขาศพทะเลเลือด ปวงเทพร่วงหล่น มหามรรคถล่มทลาย
แม้แต่จิตใจของนางยังมีสัญญาณจะพังทลายอยู่กลายๆ ความสิ้นหวังอันไร้จำกัดใกล้จะท่วมนางมิดเหมือนดั่งกระแสน้ำ
“เจ้าเป็นผู้หญิงฉลาด คงจะรู้ดีว่าหากต้องการกำจัดภัยคุกคาม วิธีที่ดีที่สุดก็คือฆ่าเจ้าเสีย แต่ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน ข้าไม่ถือสาการให้โอกาสเจ้าสักครั้ง เพียงหวังว่าเรื่องนี้จะจบเพียงเท่านี้”
ตอนที่เสียงของหลินสวินดังขึ้น เนี่ยชิงหรงพลันรู้สึกเหมือนถูกคนหิ้วออกมาจากการจมน้ำ ตื่นจากความสิ้นหวังและความหวาดกลัวไร้ที่สิ้นสุด
บนผิวที่ขาวละเอียดละอองดั่งมันแพะของนางชื้นไปด้วยเหงื่อชั้นหนึ่ง ยามมองดูหลินสวินอีกครั้ง บนใบหน้างามก็แฝงความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำแล้ว ราวกับมองเห็นเทพเก้าสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น!
และก็เป็นยามนี้เองที่นางเพิ่งตระหนักได้ว่า ความเป็นความตายของตน ขึ้นอยู่กับความคิดเดียวของอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์
ส่วนมรรควิถี ฐานะ ชื่อเสียงที่ตนพึ่งพา… ในสายตาของอีกฝ่ายก็เหมือนดั่งความว่างเปล่า น่าขันอย่างที่สุด
“ขอบคุณสหายยุทธ์มากที่ไว้ไมตรี คำพูดของเจ้า ข้าจะไม่ลืมแม้แต่คำเดียว”
เนี่ยชิงหรงสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ก้มศีรษะพูดเสียงเบา
“หวังว่าจะเป็นเช่นนี้”
หลินสวินพยักหน้าแล้วโบกมือกล่าว “เจ้าไปเถอะ”
นี่เป็นการไล่แขกแล้ว แต่เนี่ยชิงหรงกลับไม่กล้ามีความขุ่นเคืองสักนิด กลับมีความรู้สึกหลุดพ้นเหมือนยกภูเขาออกจากอก คารวะอีกครั้งแล้วหมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
มองจากไกลๆ เสื้อตรงแผ่นหลังของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ!
——