Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2645 ลักพาตัว
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2645 ลักพาตัว
ตอนที่ 2645 ลักพาตัว
มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ!
คำเรียกที่เจิดจรัส ขอบเขตที่สูงส่ง!
เมื่อไหร่ก็ตามที่ลั่วเฟิงคิดว่าตนถึงกับก้าวสู่ขอบเขตนี้แล้ว ก็มีความรู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง เหมือนตัวเบาอย่างอดไม่ได้
‘ตระกูลลั่วในภายหน้าต้องมีข้าคอยควบคุม ตระกูลลั่วในภายหน้าจะเปลี่ยนไปเพราะข้าเช่นกัน!’
ในใจลั่วเฟิงเกิดปณิธานฮึกเหิม
“คุณชาย ผู้นำตระกูลส่งข่าวมาขอรับ หลังจากงานชุมนุมถกมรรคสิ้นสุดให้ท่านกลับตระกูลทันที” ข้ารับใช้ชราคนหนึ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบ
“เพราะเหตุใด”
ลั่วเฟิงขมวดคิ้ว เขานัดสหายไว้แล้ว หลังจากงานชุมนุมถกมรรคสิ้นสุดก็จะไปงานเลี้ยงที่หอสุรา
ข้ารับใช้ชรากวาดมองโดยรอบแล้วจึงสื่อจิตเสียงเบา ‘ได้ยินว่าฮูหยินของผู้นำตระกูลรับปากแล้วว่าจะชิงโอกาสเข้าไปใน ‘หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด’ ในน่านฟ้าที่เจ็ดให้คุณชาย’
ลั่วเฟิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด!
เพียงชั่วขณะในใจเขาเปลี่ยนเป็นร้อนฉ่าขึ้นมา กล่าวว่า ‘ท่านย่าของข้ารับปากแล้วจริงหรือ’
ข้ารับใช้ชราอมยิ้มพยักหน้า ‘คุณชาย ท่านเป็นความหวังที่ทำให้ตระกูลลั่วเด่นผงาด มีเพียงเข้าไปในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ถึงจะทำให้ท่านเติบโตและส่องประกายได้เต็มที่’
มุมปากลั่วเฟิงอดโค้งเป็นรอยยิ้มไม่ได้ เขาพยักหน้าพลางกล่าว ‘ได้ รองานชุมนุมถกมรรคนี้สิ้นสุดข้าจะกลับไปทันที!’
หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด
นั่นเป็นถึงสถานที่ซึ่งมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนใดก็ตามใฝ่ฝันว่าจะมุ่งหน้าไป หากกราบอาจารย์ที่นั่นได้ การก้าวสู่ระดับอมตะก็จะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีก!
‘ถ้าข้าก้าวสู่ระดับอมตะ ภายหน้าตระกูลลั่ว… จะไม่ใช่ของข้าอีกรึ’ ลั่วเฟิงมีความคิดผุดขึ้น อยากจะออกเดินทางกลับตระกูลเสียตอนนี้
ริมทะเลสาบเมฆาหยก
ท่ามกลางฝูงชน ลั่วเสวียนฝูมองไปไกลพลางกล่าว ‘ท่านอา นั่นก็คือลั่วเฟิง!’
หลินสวินสองมือไพล่หลัง ยืนอยู่ด้านข้าง มองลั่วเฟิงซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งตรงกลางแต่ไกลแล้วกล่าว ‘ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอาศัยเพียงทุ่มทรัพยากรในการฝึกปราณก็ปั้นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งได้’
ลั่วเสวียนฝูถอนหายใจเบาๆ ‘แม้ว่าข้าจะเกลียดเขาเข้ากระดูก แต่กลับต้องยอมรับว่าพรสวรรค์และแก่นกระดูกของลั่วเฟิงนี่เรียกได้ว่าโดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกันจริงๆ ด้วยเหตุนี้ลั่วฉงจึงยอมใช้ทรัพยากรในการฝึกปราณที่ตระกูลสั่งสมมาหลายปีไปทุ่มให้กับคนผู้นี้ทั้งหมด’
หลินสวินพยักหน้ากล่าว ‘สามารถบรรลุมกุฎบรรพจารย์ได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ’
เขาพูดพลางก้าวเท้าออกไป
ลั่วเสวียนฝูอึ้งงัน จากนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี นี่ท่านอาจะลงมือภายใต้สายตาผู้คนมากมายหรือ
แต่ไม่นานเขาก็สังเกตเห็นจุดที่ต่างออกไป
ผู้ฝึกปราณที่อยู่ใกล้เคียงมีมากเพียงใด แต่เมื่อหลินสวินก้าวผ่านอากาศ บนเส้นทางนี้ถึงกับไม่มีใครสังเกตเห็นการคงอยู่ของเขา!
แต่ในสายตาของเขา เงาร่างของหลินสวินกลับปรากฏเด่นชัดเช่นนั้น!
‘นี่คือวิชาอัศจรรย์ระดับใด’ ลั่วเสวียนฝูตกตะลึงอ้าปากค้าง
บนลานถกมรรค การต่อสู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ยังดำเนินต่อไป ดึงดูดสายตาของทุกคน แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเงาร่างสูงตระหง่านร่างหนึ่งกำลังก้าวไปบนท้องฟ้าเหนือลานถกมรรคนั้น
บนที่นั่งซึ่งอยู่ห่างจากลานถกมรรคไม่ไกล มีระดับบรรพจารย์จักรพรรดินั่งอยู่ถึงสิบกว่าคน แต่ทุกคนรวมถึงลั่วเฟิงกลับไม่สังเกตเห็นว่ากำลังมีเงาร่างหนึ่งเหินห้วงอากาศเข้ามา
เหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้ลั่วเสวียนฝูแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือเขาสามารถมองเห็นหลินสวินได้ชัดเจน แต่ในจิตรับรู้กลับจับร่องรอยของหลินสวินไม่ได้โดยสิ้นเชิง!
เมื่อหลินสวินเดินเข้าไปใกล้แถวที่นั่งนั้น สุดท้ายลั่วเฟิงที่นั่งอยู่ตรงกลางก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นทันใด
จากนั้นก็เห็นหลินสวินที่มาถึงจุดซึ่งห่างจากตนไปหนึ่งจั้งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขานัยน์ตาหดรัด ตวาดทันใด “เจ้าเป็นใคร ถึงกับกล้าบุกรุกอาณาเขตที่ตระกูลลั่วของข้าปกครองโดยพลการ”
เมื่อเสียงดังขึ้น ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงกลับไม่รับรู้อะไร เหมือนไม่ได้ยินโดยสิ้นเชิง
นี่ทำให้ลั่วเฟิงหน้าเปลี่ยนสี ผุดลุกขึ้นแผ่มรรควิถีทั้งตัวออกมา
คราวนี้เขาถึงมองออกว่าฟ้าดินใกล้เคียงแปรเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว ราวกับดาวเคลื่อนดาราคล้อย ภาพทั้งหมดล้วนหายไป เหลือเพียงความมืดมิดว่างเปล่าแถบหนึ่ง
กระบวนผนึก!
เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ลั่วเฟิงกลับใจเย็นลง
“สภาวะจิตไม่ธรรมดาจริงๆ”
ห่างไปไม่ไกลเงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้นกลางอากาศ “แต่การตอบสนองยังช้าไปก้าวหนึ่ง เทียบกับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างชือพั่วจวิน ฉีหลิงอวิ๋น จงหลีเซียวแล้ว ห่างชั้นกันไม่ใช่แค่ช่วงเดียว”
เมื่อถูกวิจารณ์เช่นนี้ทำให้ลั่วเฟิงรู้สึกไม่ชอบใจนัก เขาจ้องมองหลินสวินอยู่ครู่ใหญ่ ทันใดนั้นก็ตระหนักถึงอะไรได้พลางกล่าว “เจ้าคือหลินสวิน!?”
บนสีหน้าเผยความตื่นตระหนก
“ให้โอกาสเจ้าลงมือครั้งหนึ่ง ให้ข้าดูหน่อยว่ามกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่ตระกูลลั่วสายรองทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดให้ เก่งกล้าสักแค่ไหนกันแน่”
เมื่อถูกเดาฐานะออก หลินสวินไม่ได้รู้สึกแปลก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากเดาฐานะเขาไม่ออกอีกเช่นนั้นก็เป็นแค่พวกโง่ไม่ใช่หรือ
“ถึงกับเป็นเจ้าจริงๆ!”
สีหน้าลั่วเฟิงปรวนแปรไม่หยุด ในใจเขาไม่อาจสงบ นี่เป็นถึงน่านฟ้าที่หก เผ่าจักรพรรดิอมตะนับไม่ถ้วนกำลังลับมีดครืดคราด อยากสังหารเจ้าหมอนี่
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าหมอนี่ยังกล้าปรากฏตัว!
เวลานี้ลั่วเฟิงรับรู้ได้ถึงความรุนแรงของปัญหาแล้ว กล่าวว่า “หลินสวิน ท่านปู่ของข้าเคยบอกว่าขอแค่เจ้าสวามิภักดิ์ต่อตระกูลลั่ว ภายหน้าตำแหน่งผู้นำตระกูลของตระกูลลั่วก็จะเป็นของเจ้า เจ้าไม่พิจารณาดูอีกหน่อยจริงหรือ”
เขากำลังถ่วงเวลา
แม้ว่าการเป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิจะทำให้เขามั่นใจเต็มเปี่ยมในช่วงหลายปีนี้ แต่ยามเผชิญหน้ากับหลินสวินก็ยังหวั่นใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
นี่คือพวกร้ายกาจชวนประหวั่นที่รอดชีวิตมาจากการเข่นฆ่านองเลือดในโบราณสถานทวยเทพ ทั้งบุกสังหารจากน่านฟ้าที่หนึ่งจนมาถึงน่านฟ้าที่ห้า
หลายปีมานี้ทั้งโลกยอดนิรันดร์เผยแพร่ชื่อเสียงเหี้ยมโหดและผลงานการต่อสู้นองเลือดของเขาไปทั่ว!
คนอื่นไม่รู้ แต่ลั่วเฟิงจะไม่รู้ได้อย่างไร ว่าแม้แต่ลั่วอวิ๋นซานระดับอมตะในตระกูลลั่วของเขา ยังมีโอกาสสูงว่าถูกหลินสวินสังหารไปแล้ว
ทุกอย่างนี้ทำให้เขาดูไม่มีความมั่นใจยามเผชิญหน้ากับหลินสวิน
หลินสวินมีหรือจะมองความคิดอีกฝ่ายไม่ออก เขาอดกล่าวราบเรียบไม่ได้ “ในเมื่อเจ้าถามมาเช่นนี้ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าให้ อีกไม่นานข้าก็จะไปเยือนตระกูลลั่วเพื่อพบท่านปู่ของเจ้า ทั้งไปเจอท่านย่าที่มีอำนาจยิ่งใหญ่คนนั้นของเจ้าด้วย ถือโอกาสสะสางความแค้นในอดีตสักหน่อย”
ลั่วเฟิงฝืนยิ้ม “พี่หลิน ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้ากำลังล้อเล่นอยู่”
หลินสวินกล่าว “ไม่ว่าล้อเล่นหรือไม่ ตอนนี้เจ้าตัดสินใจไปกับข้าโดยดี หรืออยากลองดิ้นรนอีกหน่อยเล่า”
อะไรที่เรียกว่าลองดิ้นรนอีกหน่อย
ในสายตาของเขาหลินสวิน มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างตนดูไม่เอาไหนเช่นนั้นเลยหรือ
ในใจลั่วเฟิงรู้สึกโกรธอย่างอดไม่ได้ “เจ้าคิดจริงหรือว่ากำชัยไว้แล้ว”
หลินสวินกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู”
ตูม!
น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง ลั่วเฟิงก็แผ่อานุภาพระดับบรรพจารย์ที่เหนือธรรมดาออกมา ประกายเทพสีเงินบาดตาหลากสายไหลวน ขับเน้นให้เขามีท่าทางโดดเด่น
“หลินสวิน ข้าไม่ใช่คนนั่งรอความตายอย่างที่เจ้าคิด!”
ท่ามกลางเสียงคำราม ลั่วเฟิงออกโจมตีอย่างห้าวหาญ
ตรงหว่างคิ้วเขามีกระบี่เทพสีม่วงเล่มหนึ่งพุ่งออกมา ตัดผ่านอากาศราวกับรุ้งเทพสายหนึ่ง
ปราณกระบี่ชวนประหวั่นทรงอานุภาพนั้นม้วนตลบ ราวกับจะทลายฟ้ามลายดิน
หลินสวินดีดนิ้วคราหนึ่ง
เคร้ง!!!
กระบี่เทพสีม่วงราวกับถูกฟ้าผ่า เกิดเสียงปะทะครวญคร่ำรุนแรง ถูกซัดจนลอยคว้างออกไป
ลั่วเฟิงแทบกระอักเลือดอย่างลำบากในทันที หน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้
หลินสวินกล่าวเรียบๆ “อานุภาพของกระบี่นี้ยังไม่อาจทำลายโลกผนึกแห่งนี้ได้ หากเจ้าคิดดึงดูดความสนใจของคนในโลกภายนอก ข้าขอเตือนเจ้าว่าตัดใจดีกว่า”
สีหน้าลั่วเฟิงไม่น่าดูยิ่งกว่าเดิม เป็นอย่างที่หลินสวินกล่าว เป้าหมายกระบี่นี้ของเขาไม่ใช่หลินสวิน แต่ต้องการฉวยโอกาสนี้ทำลายโลกผนึกนี่!
ขอแค่โลกภายนอกสังเกตเห็นก็จะได้การช่วยเหลือจากระดับบรรพจารย์ของตระกูลลั่วเหล่านั้น
“ข้าไม่เชื่อ!”
ลั่วเฟิงสูดหายใจลึก สะบัดแขนเสื้อทันที จานหยกเกลี้ยงกลมโปร่งแสงดุจหิมะน้ำแข็งพุ่งออกมา ส่องประกายหมุนวนกลางอากาศ คลื่นระเบียบอสนีสีม่วงปรากฏ
นี่คือสมบัติลับที่ใช้พลังระเบียบชิ้นหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย!
“เปิด!”
ลั่วเฟิงเค้นพลังทั้งตัว พลันเห็นจานหยกขาวดุจหิมะที่เกลี้ยงกลมนั้นส่งเสียงก้องกังวาน ระเบียบสีม่วงนับไม่ถ้วนแผ่กระจายพวยพุ่งดุจมังกรอสนีมากมาย แผ่กลิ่นอายน่ากลัวราวกับจะผลาญโลก
การโจมตีนี้ไม่ได้เพ่งเล็งหลินสวินเหมือนเดิม หากแต่คิดจะทำลายโลกผนึกนี้
ทว่ายังไม่รอให้สมบัตินี้สำแดงอานุภาพ เมื่อหลินสวินยื่นมือไปคว้า เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือเขา แผ่กลิ่นอายระเบียบนิพพานอันเร้นลับออกมา
เพียงพริบตาระเบียบอสนีสีม่วงทั่วฟ้าราวกับถูกพันธนาการ จากนั้นก็ถูกม้วนกลืนไปจนหมดเหมือนหมื่นธาราคืนสมุทร
ปัง!
ถึงตอนท้ายแม้แต่จานหยกในมือลั่วเฟิงก็ระเบิดแหลกแตกสลาย
“นี่…”
ใจของลั่วเฟิงตกไปที่ตาตุ่มในชั่วขณะเดียว สั่นสะท้านไปทั้งตัว แม้รู้อยู่แล้วว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินเย้ยฟ้าน่าหวาดกลัว แต่เมื่อต่อสู้กันจริง เขาถึงสัมผัสได้ว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้!
ไม่อาจสั่นคลอนได้อย่างสิ้นเชิง!
การเผชิญหน้ากับเขา ทำให้คนในระดับเดียวกันคนใดก็ตามรู้สึกถึงความพ่ายแพ้และไร้กำลัง
“ยังมีวิชาอะไรอีกสำแดงออกมาให้หมด” ห่างออกไปหลินสวินกล่าวอย่างสบายๆ
สีหน้าลั่วเฟิงคล้ำเขียว กล่าวว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่สังหารข้าซะ”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ “ถ้าไม่มีเจ้า ข้าจะล่อลั่วอวิ๋นเหอออกมาอย่างไรเล่า”
“ในสายตาของเจ้า ข้า… เป็นแค่เหยื่อล่อหรือ”
ลั่วเฟิงตกตะลึง สีหน้าแข็งทื่อ รู้สึกว่าศักดิ์ศรีถูกเหยียบย่ำบดขยี้ในยามนี้ ความรู้สึกอึดอัดจากการพ่ายแพ้ที่ไม่เคยมีมาก่อนแผ่ซ่านไปทั้งตัว
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
หลินสวินถอนหายใจเบาๆ “มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิแล้วอย่างไร ลั่วอวิ๋นซานผู้อาวุโสบ้านเจ้าเป็นถึงระดับอมตะ ก็ตายแล้วไม่ใช่หรือ”
ลั่วเฟิงสั่นไปทั้งตัว ภาพตรงหน้ามืดสลัว
ตอนแรกเขายังอิ่มเอมยินดี คาดหวังเต็มเปี่ยมว่าหลังจากกลับไปครั้งนี้ ต้องมุ่งหน้าไปน่านฟ้าที่เจ็ดเพื่อชิงโอกาสเข้าสู่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดตามที่ท่านย่าจัดเตรียมไว้
แต่การปรากฏตัวของหลินสวินกลับบดขยี้ทุกอย่างของเขาโดยสิ้นเชิง!
ในวันนั้นข่าวที่ลั่วเฟิงหายไปอย่างพิศวงบนทะเลสาบเมฆาหยกกระจายออกไปเหมือนพายุ ชักนำความปั่นป่วนทั่วแคว้นเทพวารีนภา
ถึงอย่างไรลั่วเฟิงก็ไม่ใช่แค่คนตระกูลลั่ว แต่ตัวเขายังเป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง! ในน่านฟ้าที่หกก็เรียกได้ว่าเป็นบุคคลแห่งยุคที่หายากดั่งขนหงส์เขากิเลน!
แต่บุคคลผู้เจิดจรัสเช่นนี้กลับหายตัวไปภายใต้สายตาผู้คน!
นี่น่าเหลือเชื่อมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ใครเป็นคนทำกันแน่
ทั้งใครปิดบังสายตาของผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน พาตัวลั่วเฟิงไปจากงานชุมนุมถกมรรคนั้นได้
ไม่นานข้อสงสัยก็มีคำตอบ
ด้วยวันเดียวกับที่ลั่วเฟิงหายไป ก็มีข่าวหนึ่งแพร่ออกมา…
ลั่วเฟิงถูกศัตรูของตระกูลลั่วลักพาตัว!
ทันทีที่ข่าวแพร่ออกไป ทั่วแคว้นเทพวารีนภาล้วนปั่นป่วน
…………………..