Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2657 ตำราเทพไร้ขอบเขต
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2657 ตำราเทพไร้ขอบเขต
ตอนที่ 2657 ตำราเทพไร้ขอบเขต
ครู่ใหญ่
หลินสวินบิดขี้เกียจและนึกถึงเรื่องหนึ่ง
เขาเรียกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งออกมา ท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์ที่พวยพุ่ง เงาร่างของลั่วหลิงปรากฏกลางอากาศ
ตั้งแต่ยามอยู่แดนใหญ่พันศึก นางก็ถูกกำราบอยู่ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง จนกระทั่งวันนี้หลังผ่านไปหลายปี ในที่สุดจึงมีโอกาสปรากฏสู่โลกเป็นครั้งแรก ทั้งร่างล้วนตกตะลึงระลอกหนึ่ง
บางทีเหตุผลที่เรียกว่าหญิงงามว่าหญิงงาม คงเพราะแม้อยู่ในตอนที่ลำบาก ความงดงามบนร่างก็ไม่ด้อยลงสักนิด
ลั่วหลิงเป็นหญิงงามคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย รูปร่างเรียกได้ว่าสมส่วน รูปลักษณ์งดงามอย่างที่สุด บุคลิกก็เหมือนดอกบัวที่ชูช่ออยู่บนโลกอย่างเย่อหยิ่ง ไม่ว่าจะมองด้านใดล้วนเรียกได้ว่าอยู่ชั้นยอด
แม้ตอนนี้ใบหน้างามของนางจะซีดเซียว หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ทว่าความงามที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างก็ยังคงสะดุดตา
นางยื่นอึ้งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นพลันเบิกตาโตขึ้นพร้อมเอ่ยว่า “นี่… นี่คือยอดเขาต้นกก! คือตระกูลลั่ว!”
“ใช่ ตระกูลลั่ว เพียงแต่ต่างจากตระกูลลั่วที่เจ้าเคยอยู่ก่อนหน้านี้” หลินสวินที่นอนอยู่ใต้ต้นหลิวลุกขึ้น พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ใบหน้างามของลั่วหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
แววล่องลอยแวบผ่านดวงตาของหลินสวิน “ตอนนั้นก่อนจะกำราบเจ้า เจ้าก็เคยถามข้าเช่นนี้ หากเจ้าลืมแล้วก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าจะให้เจ้าทวนความจำอีกครั้ง
ว่าพลางในมือเขาปรากฏม้วนหยกม้วนหนึ่ง ท่ามกลางแสงเงาที่ไหลเคลื่อน ภาพเหตุการณ์แต่ละภาพปรากฏออกมา
‘ที่เจ้าควรกล่าวโทษคือแม่ของเจ้า เป็นเพราะนางบ่มเพาะผลลัพธ์อันขมขื่นเช่นนี้เอง ความโชคร้ายของเจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของผลลัพธ์อันขมขื่นนี้’
ในภาพ ลั่วหลิงกำลังหัวเราะเยาะ สายตาเผยความดูถูกและเย็นเยียบ ยิ่งมีความเย่อหยิ่งถึงขีดสุด
หลินสวินที่อยู่ในภาพยื่นมือเชยคางของลั่วหลิงขึ้น สบตานางพูดอย่างจริงจัง
‘สักวันหนึ่งยามตระกูลลั่วถูกทำลายลง ข้าก็จะบอกเจ้าว่าที่เจ้าควรกล่าวโทษไม่ใช่ข้าหลินสวิน แต่เป็นพวกเจ้าตระกูลลั่ว ผลลัพธ์อันขมขื่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าตระกูลลั่วบ่มเพาะ และความโชคร้ายที่เจ้าประสบ เรียกว่าได้รับโทษตามสมควร’
ได้ยินคำพูดนี้ ลั่วหลิงที่อยู่ในภาพยังคงยิ้มเยาะ ‘อย่างเจ้ายังคิดจะทำลายตระกูลลั่วหรือ เจ้าคงไม่เข้าใจสักนิดว่าอะไรเรียกว่าเผ่าจักรพรรดิอมตะ ต่อให้ตระกูลลั่วจะตกต่ำแค่ไหน พวกตัวจ้อยที่มาจากทางเดินโบราณฟ้าดาราอย่างเจ้าก็สั่นคลอนไม่ได้อยู่ดี!’
ภาพจบลงแต่เพียงเท่านี้
และลั่วหลิงที่เห็นภาพเหล่านี้ก็ตระหนักอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้ว ใบหน้างามเปลี่ยนเป็นไม่อาจสงบได้
หลินสวินพูดประโยคที่เคยพูดตอนนั้นอีกครั้ง “ตอนนั้นข้าเคยบอกเจ้าว่า รอตระกูลลั่วพังพินาศ ข้าจะให้เจ้าได้ดูสิ่งที่เจ้าพูดมาในวันนั้นอีกครั้ง ถือเสียว่าเป็นที่ระลึก”
“ตอนนี้เจ้าก็เห็นแล้ว รู้สึกอย่างไร”
สายตาของหลินสวินมองไปยังลั่วหลิง
เห็นชัดว่าลั่วหลิงไม่สามารถรับทุกสิ่งนี้ได้ กล่าวว่า “แต่จากที่ข้าเห็น ยอดเขาต้นกกยังอยู่ เขาเทพหลังมังกรแห่งนี้ยังอยู่ ตระกูลลั่ว… ไม่มีทางถูกเจ้าทำลาย!”
หลินสวินยิ้ม “ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด ตระกูลลั่วไม่ได้ถูกทำลาย ตระกูลลั่วสายรองที่เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ดับสิ้น เพียงแต่เมื่อครู่นี้พวกลั่วฉง เผยหรู เหอป๋อหยาง อวี่ไหวตายหมดแล้ว อ้อจริงสิ แล้วก็ลั่วเฟิงพี่ชายร่วมตระกูลของเจ้า ลั่วอวิ๋นซาน ลั่วอวิ๋นเหอผู้อาวุโสของเจ้า… ประสบเคราะห์ทั้งหมดแล้ว…”
ทุกครั้งที่หลินสวินพูดชื่อหนึ่งออกมา ในใจลั่วหลิงพลันสั่นสะท้าน จนกระทั่งสุดท้ายใบหน้างามของนางเต็มไปด้วยความเดือดดาล รวมถึงความยากจะเชื่อ
“นี่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! ด้วยความสามารถของเจ้า มีหรือจะ…”
ไม่รอลั่วหลิงพูดจบหลินสวินก็ตัดบท “เจ้าสามารถไปดูด้วยตัวเองได้ นี่คือตระกูลลั่วที่เจ้าคุ้นเคยที่สุด เชื่อในสิ่งที่เจ้าเห็นย่อมไม่ผิดแน่”
ลั่วหลิงสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป
หลินสวินไม่ได้ห้าม
ตอนนั้นเขาไม่ได้ฆ่าลั่วหลิง ก็เพื่อให้นางเห็นกับตา ว่าพลังที่นางพึ่งพาก็มีวันถูกทำลายพินาศ!
“เจ้าอย่าทำเรื่องวู่วามจะดีที่สุด ไม่เช่นนั้นต่อให้ข้าไม่ลงมือ คนตระกูลสายหลักที่เดือดดาลเหล่านั้นก็คงไม่พลาดโอกาสแก้แค้นเจ้า”
หลินสวินเตือนเรียบๆ
ลั่วหลิงที่อยู่ไกลๆ ร่างสั่นไหวขึ้นมาพลัน จากไปอย่างรีบเร่งโดยไม่พูดสักคำ
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น
ลั่วหลิงที่เปื้อนเลือดทั้งตัว หายใจรวยริน ถูกผู้อาวุโสตระกูลลั่วสายหลักคนหนึ่งหิ้วตัวกลับมายอดเขาต้นกก
จากนั้นหลินสวินจึงรู้ว่าหลังจากลั่วหลิงรู้ความจริงก็ไม่อาจรับทุกอย่างได้ จึงก่อเรื่องวุ่นวายที่เขาอสนีเหินภายใต้อารมณ์ที่เสียการควบคุม หมายจะเข้าไปดูเหล่าบุคคลสำคัญสายรองที่ถูกกำราบ
แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกคนตระกูลลั่วสายหลักเล่นงานรุนแรง คนตระกูลสายหลักที่ถูกคนสายรองกดข่มมาไม่รู้นานเท่าไหร่เกือบซัดลั่วหลิงตาย
“สุดท้ายนางบอกว่านางเป็นคนที่เจ้าพากลับตระกูลลั่ว ข้าจึงมาถามดู หากไม่ใช่ ข้าจะพานางไปเขาอสนีเหินเดี๋ยวนี้ เห็นแก่ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมานางไม่เคยทำเรื่องอะไรให้คนตระกูลลั่วสายหลักคับแค้น พวกเราเองก็ไม่คิดจะให้นางตาย เพียงกักขังให้สำนึกผิดที่เขาอสนีเหิน รอภายหน้าค่อยลงโทษตามกฎของตระกูลก็พอแล้ว”
ผู้อาวุโสตระกูลลั่วสายหลักคนนั้นอธิบาย
หลินสวินพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจและให้ลั่วหลิงอยู่ที่นี่ต่อ เห็นเช่นนี้ผู้อาวุโสตระกูลลั่วสายหลักคนนั้นก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ หมุนตัวจากไป
มองดูลั่วหลิงที่เผ้าผมยุ่งเหยิง ทรุดอยู่บนพื้นราวกับไร้วิญญาณ หลินสวินถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าก็เชื่อในที่สุดแล้วใช่หรือไม่”
ลั่วหลิงตัวสั่นรุนแรง เงียบไม่ส่งเสียง
เห็นเช่นนี้หลินสวินเองก็รู้สึกหมดความสนใจ ล้มเลิกความคิดที่จะทิ่มแทงอีกฝ่าย กล่าวว่า “ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่ก็จะไม่อภัยเจ้าเช่นกัน ทุกอย่างจัดการไปตามกฎของตระกูล”
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ฆ่าข้า ไม่กลัวว่าถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ ภายหน้าจะไปแก้แค้นเจ้าหรือ” จู่ๆ ลั่วหลิงก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำจ้องหลินสวินเขม็ง
หลินสวินพูด “เจ้าไม่มีโอกาส”
ประโยคที่ราบเรียบง่ายดายประโยคเดียว กลับทำให้แววตาของลั่วหลิงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอับแสงและว่างเปล่า ท้ายที่สุดนางก้มหน้าลงพื้นอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องไห้อย่างเจ็บปวด
แววตาของหลินสวินนิ่งสงบยิ่ง ไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ
คนน่าสงสารย่อมมีจุดที่น่าชิงชัง สิ่งที่ลั่วหลิงประสบ ก็เรียกว่ากรรมตามสนอง!
สุดท้ายลั่วหลิงที่ราวกับไร้วิญญาณก็ไปจากยอดเขาต้นกกเพียงลำพัง มุ่งหน้าสู่เขาอสนีเหิน รับชะตากรรมที่ถูกกำราบ
……
สำหรับหลินสวิน เรื่องของลั่วหลิงก็แค่เรื่องคั่นเวลา ไม่ได้ทำให้เขาเกิดความสะเทือนใจหรือมีความคิดใดๆ กับเรื่องนี้มากนัก
หลินสวินพลิกฝ่ามือ ม้วนตำราเล่มหนึ่งพลันปรากฏ
ม้วนตำรานี้เหมือนหยกแต่ไม่ใช่หยก เหมือนเหล็กแต่ไม่ใช่เหล็ก อยู่ในมือแล้วเย็นอุ่นใสแวววาว บนพื้นผิวสลักอักษรเซียนของยุคก่อนเอาไว้…
ตำราเทพไร้ขอบเขต!
นี่ก็คือสมบัติมรดกสูงสุดของสำนักที่ลู่ป๋อหยาเคยอยู่
และหลังจากหลินสวินสังหารลั่วฉง ก็ได้รับสมบัตินี้ซึ่งอยู่ในพลังจิตที่แหลกสลายของเขามา
‘ก็ไม่รู้ว่าในตำรานี้บันทึกมรดกที่ลึกลับเพียงใด…’
หลินสวินยกมือขึ้นกำลังจะเปิดออก กลับพบอย่างประหลาดใจว่าตำรานี้เต็มไปด้วยพลังผนึกที่มหัศจรรย์หาใดเปรียบ ไม่สามารถบังคับเปิดออกได้
‘ดูท่าหลังจากลั่วฉงได้ครองสมบัตินี้ ก็ไม่เคยได้รับมรดกที่อยู่ภายในเลย…’
หลินสวินคล้ายขบคิด
ระดับอมตะอย่างลั่วฉง กลับไม่สามารถสลายพลังผนึกบนตำราเทพไร้ขอบเขตนี้ได้ นี่ย่อมผิดปกติมาก
สีหน้าของหลินสวินเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา ใช้จิตรับรู้เข้าสัมผัส
ครู่ใหญ่เบื้องหน้าเขาพร่าเบลอ ปรากฏกระบวนผนึกที่มหัศจรรย์มากมาย
กระบวนผนึกทุกกระบวน ถึงกับปรากฏเงามายาที่ราวกับวิญญาณเทพ เงามายาทุกเงาล้วนประหนึ่งราชันจักรพรรดิแห่งโลกหล้า เต็มไปด้วยอานุภาพน่ากลัวไร้ขอบเขต ดูเหลือเชื่ออย่างที่สุด
ทันทีที่สัมผัสถึงกระบวนผนึกเก้ากระบวนนี้ ในใจหลินสวินก็ทั้งประหลาดใจและตกตะลึงอย่างไม่อาจควบคุม
มหัศจรรย์เกินไปแล้ว!
กระบวนผนึกทุกชนิดเหมือนกำลังอธิบายความลึกลับแห่งกระบวนผนึกฟ้าประทานที่ดั้งเดิมที่สุด กลิ่นอายพันหมื่น ล้วนมีความแตกต่างกัน เหนือจินตนาการของหลินสวิน
จนกระทั่งสงบจิตหยั่งรู้อยู่นาน หลังอนุมานความเร้นลับต่างๆ ของกระบวนผนึกเก้ากระบวนนี้จริงๆ แววประหลาดก็วาบผ่านดวงตาของหลินสวินอย่างไม่อาจควบคุม
กระบวนผนึกเก้ากระบวนนี้ เขาเคยเห็นมาก่อน!
ยามอยู่ถ้ำสวรรค์ปรกอุดม เพื่อเข้าไปยังถ้ำสวรรค์แดนมงคลที่ท่านลู่ปิดด่านฝึกปราณ เขาเคยทลายพลังผนึกเก้าชั้น
กระบวนผนึกเก้าชั้นนี้ตั้งชื่อโดยใช้ตัวเลข ถูกเรียกว่ากระบวนค่ายกลระเบียบที่หนึ่ง กระบวนค่ายกลระเบียบที่สอง กระบวนค่ายกลระเบียบที่สาม… จนถึงกระบวนค่ายกลระเบียบที่เก้า!
กระบวนค่ายกลระเบียบเก้าชั้น กับกระบวนผนึกเก้ากระบวนที่อยู่ตรงหน้า เห็นชัดว่ามาจากแหล่งเดียวกัน
สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือ กระบวนค่ายกลระเบียบเก้าชั้นที่ท่านลู่วาง เมื่อเทียบกับกระบวนผนึกเก้ากระบวนที่เห็นตรงหน้า เห็นชัดว่าธรรมดากว่ามาก
ไม่มีกลิ่นอาย ‘เจตะ’ ที่ปะทะเข้ามา และไม่มีเงามายาราวกับวิญญาณเทพที่ถือกำเนิดในกระบวนผนึก
‘ก็ถูก ตำราเทพไร้ขอบเขตนี้เป็นมรดกประจำสำนักของท่านลู่ ผนึกที่ท่านลู่วางย่อมมาจากตำราเทพไร้ขอบเขตนี้…’
ยามหลินสวินใคร่ครวญ ก็เริ่มอนุมานและทลายกระบวนผนึกกระบวนแรกบนตำราเทพไร้ขอบเขต
……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งวันหลังจากนั้น
หลินสวินที่กำลังอนุมานกระบวนผนึกตกใจเพราะเสียงระลอกหนึ่ง
เมื่อเงยมองไป ในเรือนหลักที่อยู่ห่างออกไป เงาร่างกำยำสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินออกมา สวมชุดคลุมดำ ผมยาวแผ่สยาย ใบหน้าหล่อเหลากร้าวแกร่ง
เป็นลั่วชิงเหิงนั่นเอง!
หลินสวินลุกขึ้นทันที กล่าวว่า “ท่านลุง ท่านฟื้นแล้วหรือ”
เงาร่างสูงใหญ่นั่นอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด พลันเผยสีหน้าตื่นเต้น ลองถามหยั่งเชิง “สวินเอ๋อร์ เป็นเจ้าหรือ!?”
หลินสวินพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
ลั่วชิงเหิงหัวเราะฮ่าๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ “มิน่า มิน่าเล่า ข้ายังคิดอยู่ว่าเผยหรูนั่นทำไมใจดีเช่นนี้ ถึงกับปล่อยข้าออกมา ที่แท้ก็เพราะเจ้าหนูอย่างเจ้ามาแล้วนี่เอง!”
ในเสียงมีความซาบซึ้ง ตื่นเต้น ดีใจ และมีความผ่อนคลายราวกับยกภูเขาออกจากอก
หลินสวินเดินเข้าไป เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตระกูลลั่วเมื่อคืนออกมา
ตอนที่รู้ว่าเผยหรู เหอป๋อหยาง อวี่ไหวถูกฆ่าแล้ว ลั่วชิงเหิงอดไม่อยู่ เอ่ยว่าดีออกมาสามครั้งติด อารมณ์เหิมฮึกยิ่ง
หลังจากรู้เรื่องที่ลั่วฉงทรยศตระกูลลั่ว สีหน้าของลั่วชิงเหิงอึมครึมลง ในดวงตาเต็มไปด้วยความเดือดดาลและชิงชัง “ฆ่าไปง่ายๆ เช่นนี้ เจ้าเฒ่านั่นสบายเกินไปแล้ว!”
และหลังจากรู้ว่าภายใต้การจัดการของหลินสวิน ได้กำราบบุคคลสำคัญของตระกูลลั่วสายรองไว้ในเขาอสนีเหิน เห็นชัดว่าลั่วชิงเหิงรู้สึกประหลาดใจมาก
เขาจ้องหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่แค้นพวกเขาหรือ เหตุใดไม่ฆ่าพวกเขาเสีย”
หลินสวินกล่าว “ข้าแค้น ข้าก็อยากฆ่าพวกเขา แต่ตอนนั้นหลังจากพวกเขาครอบครองอำนาจตระกูลลั่ว ก็ไม่ได้ลงมือเด็ดขาดกับคนตระกูลสายหลักคนอื่นๆ ไม่ว่าจะทำผิดแค่ไหน แต่ด้วยจุดนี้ข้าก็ไม่อาจลงมือหนักเกินไป”
ลั่วชิงเหิงเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ยื่นมือตบไหล่หลินสวินแรงๆ แล้วกล่าวว่า
“ลูกผู้ชาย จะกระทำการใดก็ควรเป็นเช่นนี้!”
………………………….