Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2778 แปดหมื่นปี ข้าและการประชันกับข้า
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2778 แปดหมื่นปี ข้าและการประชันกับข้า
ตอนที่ 2778 แปดหมื่นปี ข้าและการประชันกับข้า
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะดันทะลวงขั้นภายในครึ่งปี”
เสวียนเฟยหลิงถอนหายใจด้วยความตกใจ
ตั้งแต่หลินสวินเข้าสำนักจนถึงตอนนี้เป็นเวลาสองปีกว่า ตอนนี้เป็นผู้ฝึกปราณขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นปลายแล้ว ความเร็วในการทะลวงระดับขั้นน่าตกใจเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกทั้งมรรคาของหลินสวินก็พิเศษมาก ไม่เหมือนใครในโลก นี่ทำให้เสวียนเฟยหลิงยังอดสงสัยไม่ได้ ว่าด้วยพลังต่อสู้ของหลินสวินในตอนนี้ คงสามารถพาดขวางอดีตปัจจุบัน เป็นหนึ่งในระดับนี้ทั่วหล้า!
หลินสวินประสานมือเอ่ยยิ้มๆ “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”
เขาไม่ได้บอกเสวียนเฟยหลิงว่าเขาก้าวสู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นปลายตั้งแต่เมื่อสามเดือนที่แล้ว และผ่านการเคี่ยวกรำมาอีกสามเดือน พลังปราณมีสัญญาณเข้าใกล้ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์รางๆ แล้ว!
“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบคนผู้หนึ่ง”
เสวียนเฟยหลิงยิ้มน้อยๆ แล้วพาหลินสวินจากไป
……
หอแรกมายา
เขตผนึกแจ้งเร้น
ยามเห็นเสวียนเฟยหลิงพาตนมาถึงที่นี่ หลินสวินอดอึ้งไปไม่ได้ กล่าวว่า “ที่นี่ดูเหมือนว่า…”
“ไม่ผิด สถานที่ปิดด่านฝึกตนของหัวหน้าหอแรกมายา เจ้าเฒ่านี่ปิดด่านมาถึงตอนนี้… เกือบจะแปดหมื่นปีแล้ว”
เสวียนเฟยหลิงพูดอย่างแฝงแววทอดถอนใจ
แปดหมื่นปี!
เวลาผ่านไปกี่ยุคสมัยแล้ว สำหรับเฒ่าชราบนมรรคาอมตะอย่างพวกเขาเหล่านี้ก็เป็นเวลาที่เนิ่นนานมากเช่นกัน
ในใจหลินสวินสะท้านไหว
มีหรือเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของหัวหน้าหอแรกมายาที่ลึกลับและเก็บตัวยิ่งคนนี้
ในลัทธิแรกกำเนิด เพื่อแจ้งมรรคนิรันดร์ ก่อนหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์โหยวเป่ยไห่จะปิดด่านครั้งสุดท้าย เคยกล่าวไว้ว่าร้อยปีให้หลังจะสละตำแหน่งหัวหน้าหอ
ยามหัวหน้าหอแรกนภาเหยียนจี้ฝึกปราณ มรรควิถีเกิดปัญหาใหญ่ เหลือเพียงแค่พลังจิต
ส่วนหัวหน้าหอแรกมายากลับเก็บตัวอยู่ในเขตผนึกแจ้งเร้นมาตลอดแปดหมื่นปี ไม่สนเรื่องภายนอก ทำให้จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีคนรู้ว่าเขาหยั่งถึงอะไรในการปิดด่านกันแน่
ตอนนี้พอรู้ว่าคนที่เสวียนเฟยหลิงจะแนะนำให้ตนคือหัวหน้าหอแรกมายา ในใจหลินสวินก็ประหลาดใจยิ่งอย่างอดไม่ได้
ทางเข้าเขตผนึกแจ้งเร้นปกคลุมด้วยกระบวนผนึกมรรคกระบี่ที่ลึกลับคลุมเครือ
เสวียนเฟยหลิงเดินไปข้างหน้า กระแอมเบาๆ คราหนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าเฒ่า ข้าพามาแล้ว”
“รอเดี๋ยว”
เสียงกังวานและกระจ่างชัดดังออกมา คำสั้นๆ เพียงสองคำกลับเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามยิ่งใหญ่
เสวียนเฟยหลิงกลอกตาพึมพำว่า “วางท่ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
ท่าทางเช่นนี้ของเขาเหมือนเสวียนจิ่วอิ้นไม่มีผิด…
นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกแปลกๆ ว่าไม่เสียทีที่เป็นคนตระกูลเสวียน
“ตอนเด็กข้าก็คบค้ากับเจ้าเฒ่านี่แล้ว บุกทางเดินโบราณฟ้าดาราด้วยกัน ข้ามฟ้าดารามาด้วยกัน ท่องไปในโลกยอดนิรันดร์ด้วยกัน…”
สายตาของเสวียนเฟยหลิงวาบแววหวนคิดถึงความหลัง ถอนหายใจกล่าว “นี่ก็เหมือนเจ้ากับเสี่ยวจิ่ว เป็นสหายยุทธ์ เป็นรุ่นเดียวกัน ยิ่งเป็นพี่น้อง ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เรื่องราวบนโลกเปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่อาจทำลาย”
เขายิ้มน้อยๆ “แน่นอน ข้าหงุดหงิดใส่เขามากโดยตลอด ก็เหมือนที่เสี่ยวจิ่วมักหงุดหงิดใส่เจ้า แต่นี่จึงจะเป็นความน่าสนใจของการฝึกปราณ ทะเลาะกับผู้อื่นอย่างมีความสุขไม่รู้จบ”
หลินสวินอดประหลาดใจไม่ได้ เพิ่งรู้ว่าระหว่างเสวียนเฟยหลิงและหัวหน้าหอแรกมายาถึงกับมีมิตรภาพที่ลึกล้ำเพียงนี้
“หงุดหงิดแล้วอย่างไร ผ่านมานานขนาดนี้เจ้าก็ทำได้แค่หงุดหงิดไม่ใช่หรือ”
เสียงกังวานและกระจ่างนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้กลับแฝงแววเย้าหยอกและขบขำด้วย
จากนั้นพลังผนึกมรรคกระบี่บริเวณเขตผนึกแจ้งเร้นก็สลายไปทันที
เสวียนเฟยหลิงแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชาคราหนึ่งก่อนเดินตรงเข้าไป
หลินสวินรีบตามไป
ในเขตผนึกแจ้งเร้นเป็นจักรวาลฟ้าดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ดวงดาวมากมายแผ่อยู่ภายใน โคจรเปลี่ยนแปลง สาดแสงดาวไร้สิ้นสุด
กลางฟ้าดารามีเงาร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
รูปร่างของเขาสูงใหญ่กำยำอย่างที่สุด สวมเสื้อผ้าป่าน ดวงหน้าประหนึ่งละโลกีย์
ด้านหลังของเขามีแสงมงคลไพศาลเวียนวน มองเห็นได้รางๆ ว่ามีกระบี่มรรคเล่มหนึ่งลอยผลุบโผล่อยู่ในแสงมรรคไพศาลนั่น เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนราง ดูแปลกประหลาดและน่ากลัวไร้ขอบเขต
แวบแรกที่เห็นเงาร่างนี้ หลินสวินเบิกตาโพลงทันที เผยสีหน้ายากจะเชื่อ
จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน!?
“ฮ่าๆๆ เจ้าหมอนี่เหมือนจะมองฐานะของเจ้าออกแล้ว”
ระหว่างหัวเราะ เสวียนเฟยหลิงก็พาหลินสวินมาถึงใจกลางฟ้าดารา หน้าเงาร่างสูงใหญ่กำยำนั่นแล้ว
ยามเห็นท่าทางที่ผิดคาดและตะลึงของหลินสวิน เสวียนเฟยหลิงก็รู้สึกน่าสนุกขึ้นมาทันที
หลินสวินในอดีตสงบนิ่งเยือกเย็น รู้รุกรู้ถอย เผยสีหน้าเช่นนี้ออกมาน้อยมาก
ขณะเดียวกันเงาร่างสูงใหญ่กำยำนั่นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มุมปากเผยรอยยิ้มกล่าวว่า “ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าเฒ่าเสวียนเคยพูดถึงเรื่องของเจ้ากับข้าแล้ว ไม่เลวทีเดียว”
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสจริงๆ…”
ในใจหลินสวินกระเพื่อมระลอกหนึ่ง
ก่อนมาเขาประหลาดใจมากว่าหัวหน้าหอแรกมายาที่ลึกลับเสมอมาเป็นใครกันแน่ แต่กลับคิดไม่ถึงเด็ดขาดว่าจะเป็นจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน!
หลินสวินย้อนคิดถึงหลายเรื่องในอดีตขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่
ยังจำได้ว่ายามอยู่ที่แดนมกุฎในดินแดนรกร้างโบราณ ภายใต้ความบังเอิญของวาสนา เขาเคยได้รับมรดก ‘ไปไร้หวน’ จากจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง
เคยได้รับ ‘จิตสถูปปลิดชีพ’ ของอริยพุทธซิงเจีย
และเคยได้รับ ‘คัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน’ มรดกที่จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนทิ้งเอาไว้!
ภายหลังหลินสวินถึงรู้ว่าไท่เสวียนคือจักรพรรดิกระบี่อันดับหนึ่งในสมัยดึกดำบรรพ์ เคยร่วมมือกับเหล่าคนใหญ่คนโตสมัยดึกดำบรรพ์ชิงบ่อเกิดแรกกำเนิดสายหนึ่งจากโลกมืดในทางเดินโบราณฟ้าดารา นำมาสร้างเป็นแดนมกุฎแห่งนั้น!
พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อทิ้งมรดกเอาไว้ สืบทอดวิชามรรค รวบรวมโชควาสนาแห่งฟ้าดินตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เปิดเส้นทางมกุฎให้กับคนรุ่นหลัง!
ปณิธานและความองอาจไร้เทียมทานเช่นนี้ ทำให้หลินสวินเกิดความเคารพเลื่อมใสและตกตะลึงไปไม่รู้กี่ครั้ง
และหลังจากนั้นหลินสวินถึงรู้ว่า จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนและจอมกระบี่จูคงเคยถกกระบี่ที่เขาปู้เอ้อร์ในโลกมืด แม้แต่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ
แต่หลินสวินรู้ว่าทั้งสองล้วนเป็นคนที่น่าชื่นชม
สมัยดึกดำบรรพ์ ไท่เสวียนได้รับฉายาว่า ‘จักรพรรดิกระบี่อันดับหนึ่งแห่งดึกดำบรรพ์’ สร้างคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน มีปณิธานและจิตใจองอาจยิ่งใหญ่ คนเดียวสร้างผลกระทบต่อทั้งยุคสมัย
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่สมัยดึกดำบรรพ์อย่างพวกจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง อริยพุทธซิงเจีย จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ จักรพรรดินรกเลือดทมิฬ เฉินหลินคง ล้วนเคยออกศึกทั่วหล้าเคียงข้างเขา
ส่วนจอมกระบี่จูคงเป็นจอมกระบี่อันดับหนึ่งของโลกมืดแห่งทางเดินโบราณฟ้าดารา ถือกำเนิดจากปลาสีชาดในแม่น้ำนรก สร้างคัมภีร์กระบี่จูคง คุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า
หลินสวินได้มรดกมรรคกระบี่ของทั้งสองตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ย่อมรู้ความสำเร็จบนมรรคาของทั้งสองเป็นอย่างดีว่าน่าทึ่งเพียงใด
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงสักนิด ว่าจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนที่เขารู้จัก จะเป็นหัวหน้าหอแรกมายาของลัทธิแรกกำเนิดนานแล้ว!
ตอนนี้ถ้ายังเรียกอีกฝ่ายว่าจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนอีก เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสมแล้ว
“ข้าน้อยหลินสวินคารวะผู้อาวุโส”
ครู่ใหญ่หลินสวินถึงได้สติประสานมือคารวะ ในใจยังคงตื่นเต้นอยู่บ้าง
ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับเจอคนที่ชื่นชมตั้งแต่ยังเยาว์ เป็นความรู้สึกอีกแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจ
“ไม่ต้องมากพิธี”
ไท่เสวียนโบกมือพร้อมรอยยิ้ม “เจ้านั่งก่อน รอข้าวางอีกหมาก”
หลินสวินถึงเพิ่งสังเกตเห็นยามนี้ ว่ากลางอากาศตรงหน้าไท่เสวียนมีกระดานหมากที่เกิดจากตัดสลับของปราณกระบี่อยู่กระดานหนึ่ง แต่บนกระดานหมากกลับไม่มีตัวหมาก
เสวียนเฟยหลิงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยพูดง่ายๆ “เจ้าเฒ่านี่ใช้มหามรรคแห่งตนเป็นกระดานหมาก ใช้ดวงดาวมากมายในฟ้าดารานี้เป็นตัวหมาก กำลังประชันหมากกับตัวเอง”
สายตาไท่เสวียนจดจ่อบนกระดานหมาก สีหน้าแน่วนิ่ง เงียบไม่พูดจา เห็นชัดว่ากำลังอนุมานบางอย่างอยู่
หลินสวินใจกระตุกวูบ ขณะจะมองให้ชัดกลับถูกเสวียนเฟยหลิงห้ามเอาไว้
เขากล่าวว่า “นัยเร้นลับบนกระดานหมากเป็นการสำแดงถึงมรรควิถีทั้งชีวิตของเจ้าเฒ่านี่ หากเจ้าไปสัมผัสจะถูกสะท้อนกลับ”
หลินสวินนัยน์ตาหดรัดโดยพลัน ดับความใคร่รู้ไปเงียบๆ
เสวียนเฟยหลิงนั่งลงบนห้วงอากาศข้างๆ กล่าวว่า “จากการพูดของเขา กระดานหมากนี้นามว่า ‘ข้าและการประชันกับข้า’ แต่การประชันนี้ลากยาวมาแปดหมื่นปีแล้ว จนตอนนี้… เหมือนจะยังประชันอะไรออกมาไม่ได้”
“ข้าและการประชันกับข้า…”
หลินสวินทวนซ้ำในปาก ตระหนักได้รางๆ ว่าไท่เสวียนอาจกำลังประลองกับมหามรรคแห่งตนของเขา
สำหรับผู้ฝึกปราณ ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมักเป็นตนเองเสมอมา
ดั่งคำว่าฆ่าศัตรูบนโลกง่าย ฆ่ามารในใจยาก
ประชันกับตัวเอง ประลองกับตัวเอง หากไม่มีความแน่วแน่และปณิธาณ ย่อมถูกธาตุไฟเข้าแทรกได้ง่ายยิ่ง ทำให้สภาวะจิตเกิดปัญหา
และไท่เสวียนทำเช่นนี้มาแปดหมื่นปีแล้ว!
นี่ทำให้หลินสวินยังอดตะลึงไม่ได้ ผู้อาวุโสคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่
เสวียนเฟยหลิงเหมือนมองความคิดของหลินสวินออก พูดอย่างเกียจคร้าน “ตอนนั้นหลังจากเจ้าเฒ่านี่มาถึงโลกยอดนิรันดร์ก็เข้าตาเจ้าลัทธิแรกกำเนิด อยากรับเขาเป็นศิษย์มาฝึกปราณที่ลัทธิแรกกำเนิด”
“แต่เขากลับดีนัก ปฏิเสธตรงๆ ทั้งยังนัดหมายกับเจ้าลัทธิแรกกำเนิด ว่าหลังจากหมื่นปีจะวัดสูงต่ำบนมหามรรคกับเจ้าลัทธิแรกกำเนิด”
หลินสวินสูดหายใจสะท้านอย่างอดไม่ได้ มองไท่เสวียนที่กำลังจดจ่อกับการประชันหมากอีกครู่ ค่อยเอ่ยเสียงเบาว่า “หลังจากนั้นเล่า”
“ก็ไม่รู้ว่าเจ้าลัทธิแรกกำเนิดคิดอย่างไร ดันตอบรับการนัดสู้ของเขา”
เสวียนเฟยหลิงสีหน้าแปลกประหลาด “น่าเสียดาย หลังจากหมื่นปีแม้เจ้าเฒ่านี่จะก้าวสู่ขั้นหลุดพ้นแล้ว แต่ก็ยังพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือเจ้าลัทธิแรกกำเนิด”
“จากนั้นเจ้าเฒ่านี่ก็ตามเจ้าลัทธิแรกกำเนิดมาที่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดแต่โดยดี ใช้เวลาสองสามร้อยปีกลายเป็นหัวหน้าหอแรกมายา แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าในใจเจ้าเฒ่านี่ยังเก็บความเดือดดาล สาบานว่าภายหน้าจะสู้กับเจ้าลัทธิแรกกำเนิดอีกครั้ง และต้องชนะเท่านั้น ห้ามแพ้เด็ดขาด!”
ในใจหลินสวินสะท้าน เดาออกรางๆ แล้ว กล่าวว่า “ดังนั้นผู้อาวุโสไท่เสวียนจึงปิดด่านที่นี่ ประชันกับตัวเองมาโดยตลอด พยายามครอบครองพลังที่จะสามารถชนะได้อย่างแน่นอนหรือ”
เสวียนเฟยหลิงพยักหน้าพลางถอนหายใจ “ไม่ผิด ความเดือดดาลนี้ เก็บมาถึงตอนนี้ก็แปดหมื่นปีแล้ว…”
ไท่เสวียนเป็นบุคคลที่เลิศล้ำโดดเด่นเพียงใด แต่เพื่อให้เอาชนะเจ้าลัทธิแรกกำเนิดได้ จึงประชันกับตัวเองอย่างยากลำบากอยู่ที่นี่แปดหมื่นปีแล้ว!
นี่ต้องเป็นความมุ่งมั่นยิ่งใหญ่เพียงใด
แต่หลินสวินกลับคิดไปมากกว่านั้น ว่าเจ้าลัทธิแรกกำเนิดน่ากลัวเพียงใด ถึงกับทำให้ผู้อาวุโสไท่เสวียนยังไม่อาจหาวิธีที่จะชนะอย่างแน่นอนได้
เขาอดถามออกมาไม่ได้
เสวียนเฟยหลิงยิ้มกล่าวว่า “คำถามนี้เป็นความสงสัยในใจทุกคนทั้งบนล่างของลัทธิแรกกำเนิด ต่อให้เจ้าถามไท่เสวียน เกรงว่าเขาก็คงไม่กล้าให้คำตอบที่ชัดเจนกับเจ้า พูดได้เพียงว่าเจ้าลัทธิแรกกำเนิดแจ้งมรรคระดับนิรันดร์นานแล้ว ส่วนพลังปราณของเขาสูงแค่ไหนนั้นไม่มีใครรู้”
ระดับนิรันดร์!
หลินสวินสูดหายใจสะท้าน จากนั้นถามว่า “เช่นนั้นผู้อาวุโสไท่เสวียนเขาอยู่ระดับใดแล้ว”
แววตาเสวียนเฟยหลิงซับซ้อน กล่าวว่า “ในบรรดาหัวหน้าหอสามคน หากไม่ผิดคาดโหยวเป่ยไห่น่าจะมีความหวังยิ่งต่อการแจ้งมรรคนิรันดร์ในหนึ่งร้อยปี เจ้าเฒ่าเหยียนจี้สภาวะจิตเกิดปัญหาแล้ว ไม่เช่นนั้นคงสามารถแจ้งมรรคนิรันดร์ได้ก่อนหน้านี้นานแล้ว”
“ส่วนเจ้าเฒ่าไท่เสวียนนี่…”
พูดถึงตรงนี้เสวียนเฟยหลิงก็กล่าวอย่างจนใจ “เขาร้ายกาจกว่าโหยวเป่ยไห่กับเหยียนจี้อยู่นิดหน่อย ก้าวสู่มรรคานิรันดร์ก่อนก้าวหนึ่งแล้ว”
หลินสวินแตกตื่นในทันที
——