Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2818 นามดั่งมหามรรค ไม่แพร่งพรายสู่คนนอก
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2818 นามดั่งมหามรรค ไม่แพร่งพรายสู่คนนอก
ตอนที่ 2818 นามดั่งมหามรรค ไม่แพร่งพรายสู่คนนอก
ผู้มาเยือนสวมชุดคลุมหยก ร่างตระหง่านดุจต้นสน ท่วงท่ายามเคลื่อนไหวราวกับเซียนบนสวรรค์!
ในใจหลินสวินกับสือซานล้วนเครียดขมึง
แต่เมื่อเห็นรูปร่างผู้มาเยือนชัดเจน หลินสวินอึ้งไปทันที นัยน์ตาฉายแววอัศจรรย์ ประสานมือกล่าว “ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโส!”
ผู้มาเยือนคือเฉินหลินคง!
บุรุษอัจฉริยะคนนั้นที่เคยเรียกตัวเองว่า ‘เซียนผลาญ’
เฉินหลินคงอมยิ้มกล่าว “ให้เจ้ารอนานแล้ว”
จากนั้นสายตาเขามองไปทางซย่าจื้อแล้วกล่าว “แม่นาง พวกเราเจอกันอีกแล้ว”
ซย่าจื้อผงกศีรษะเล็กน้อย
“ผู้อาวุโส ท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสเฉินหลินคง” หลินสวินกล่าวแนะนำแก่สือซาน
สือซานกล่าว “นายท่านแซ่เฉิน มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘บุคคลไร้เทียมทาน’ ผู้นั้นหรือไม่”
เฉินหลินคงยิ้มพลางพยักหน้า “เป็นท่านปู่ของข้าคนแซ่เฉิน”
หลินสวินใจกระตุกวูบ นึกถึงคำที่ไท่เสวียนเคยกล่าว อักษรเฉินบนหยกประดับแดงเพลิงที่แขวนอยู่ตรงเอวในตอนนี้ของเขา ก็คือสิ่งที่ท่านปู่ของเฉินหลินคงเหลือไว้
จากการคาดเดาของไท่เสวียน ท่านปู่ของเฉินหลินคง… เป็นบุคคลที่น่าเหลือเชื่อยิ่งคนหนึ่ง!
คิดดูแล้วก็ใช่ ไม่กลัวพันธนาการแห่งกาลเวลา ก้าวเดินผ่านยุคสมัยมากมาย ทั้งสร้างเมืองเทพศุภโชคขึ้นที่นี่ เหลือนภาดาราศุภโชคไว้บนโลก มีหรือจะเป็นบุคคลธรรมดา
สือซานอดกล่าวอย่างตื่นเต้นไม่ได้ “ถ้าเช่นนั้น นายท่านก็น่าจะรู้จักมหาเคราะห์ที่นายหญิงของข้าประสบเมื่อปีนั้นแล้วหรือ”
เฉินหลินคงกล่าว “มหาเคราะห์ครานั้นเหมือนเคราะห์มรรคห้าเสื่อม เกิดจากผู้ร้ายหลังม่านของการสับเปลี่ยนยุคสมัย สิ่งที่เพ่งเล็งมีแค่ระดับนิรันดร์เท่านั้น อืม น่าจะเรียกว่า ‘เคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ’ ”
เคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ!
หลินสวินกับสือซานต่างเข้าใจทันที นอกจากเคราะห์มรรคห้าเสื่อมแล้ว ยังมีด่านเคราะห์ประหลาดน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ด้วย ทั้งยังมาจากผู้ร้ายหลังม่านของการสับเปลี่ยนยุคสมัยอีก!
“ผู้อาวุโส ผู้ร้ายหลังม่านนั่นเป็นใครกัน”
หลินสวินอดถามไม่ได้
เฉินหลินคงยิ้มขึ้นมา “ไม่เชิญข้านั่งคุยหน่อยหรือ”
หลินสวินเพิ่งตระหนักได้ ตั้งแต่เฉินหลินคงปรากฏตัวก็ยังไม่เคยเชิญให้นั่ง เขารีบเคลื่อนไหวทันที
กระทั่งทุกคนล้วนนั่งประจำที่ เฉินหลินคงจึงกล่าว “นานมาแล้วข้าท่องอยู่ในแหล่งสถานศุภโชค จนถึงปัจจุบันก็พอยืนยันเรื่องบางอย่างได้ เรื่องนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องผู้ร้ายหลังม่านนั่น”
เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “เทียบกันแล้วทุกท่านล้วนรู้ดี แหล่งสถานศุภโชคมีโลกยุคสมัยนับร้อย แต่ทุกแห่งล้วนติดอยู่ในนี้ ไม่อาจจากแหล่งสถานศุภโชคไปได้ สาเหตุอยู่ที่ขอเพียงเป็นสิ่งมีชีวิตในโลกยุคสมัยนับร้อยนี้ ทั้งหมดล้วนถูกพลังกฎระเบียบไร้รูปหนึ่งขวางไว้ ต่อให้ทรงพลังเช่นผู้แข็งแกร่งระดับนิรันดร์ก็ไม่อาจทำลายพลังกีดขวางนี้ได้”
“กล่าวสรุปโดยง่าย พลังกฎระเบียบไร้รูปนี้ก็เหมือนกรงขัง กักสิ่งมีชีวิตในโลกยุคสมัยนับร้อยไว้ ชาตินี้ทั้งชาติต่อให้แจ้งมรรคนิรันดร์ก็ไม่มีโอกาสออกไปได้”
“ตอนแรกข้าคิดว่าพลังกฎระเบียบไร้รูปเช่นนี้มาจากแหล่งสถานศุภโชค แต่ปัจจุบันถึงรู้ว่าพลังกฎระเบียบไร้รูปนี้มาจากผู้ร้ายหลังม่านของการสับเปลี่ยนยุคสมัยนั่น!”
หลินสวินฟังถึงตรงนี้แล้วอดกล่าวอย่างหวาดหวั่นไม่ได้ “ทำไมผู้ร้ายหลังม่านนั่นต้องทำเช่นนี้”
เฉินหลินคงกล่าว “เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่สิ่งที่แน่ใจได้คือตอนนั้นท่านปู่ของข้ามาเพื่อตามหาผู้ร้ายหลังม่าน แต่สุดท้ายเขาน่าจะพบว่าผู้ร้ายหลังม่านนั่นไม่อยู่ในแหล่งสถานศุภโชคแล้ว”
“เช่นนั้นจะอยู่ที่ไหน” หลินสวินถาม
เฉินหลินคงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “จากมุมมองข้า ในหมู่จตุโบราณสถาน แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์คือต้นธารของหมื่นมรรคทั่วหล้า ทั้งเป็นหนทางหวนกลับของสิ่งเหล่านี้”
“ต่อให้ตอนนี้ทรงพลังเหมือนโลกยอดนิรันดร์ หากพลังมหามรรคที่ปกคลุมโลกย้อนทวนต้นกำเนิด ก็หวนกลับเข้าไปในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้”
“แหล่งสถานคุนหลุนคือสมรภูมิหลักในการผันเปลี่ยนยุคสมัยทุกครั้ง เมื่อยุคสมัยดับสิ้นมาเยือน ต้องมีผู้แข็งขันนับไม่ถ้วนไขว่คว้าพลังชีวิตในแหล่งสถานคุนหลุน”
“ส่วนแหล่งสถานศุภโชคนี้ก็เป็นเรือนจำที่ผู้ร้ายหลังม่านนั่นเหลือไว้ ส่วนทำไมต้องกักขังอารยธรรมยุคสมัยนับร้อยไว้ที่นี่ แม้แต่ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด”
หลินสวินเพิ่งเคยได้ยินความลับสะเทือนโลกหล้าเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขารู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ต้นธารของหมื่นมรรคทั่วหล้า
แหล่งสถานคุนหลุน สมรภูมิหลักของการสับเปลี่ยนยุคสมัย
แหล่งสถานศุภโชค ผู้ร้ายหลังม่านเปลี่ยนที่นี่เป็นเรือนจำ
นี่สะเทือนโลกหล้าจริงๆ!
“เช่นนั้นแหล่งสถานอัศจรรย์เล่า”
หลินสวินตั้งสติแล้วเอ่ยถาม
เฉินหลินคงกล่าว “ลึกลับในเร้นลับ ประตูแห่งอัศจรรย์ สถานที่นั้น… ข้าก็ไม่รู้ชัด แต่ภายหน้าต้องไปเยือนแน่”
หลินสวินอึ้งงัน นึกถึงเพลิงมรรคอัศจรรย์กับภาพนักพรตขี่วัวที่ตนเคยได้มา ทั้งนึกถึงเจ้าของหินลับกระบี่สองก้อนอย่าง ‘ลับจิตดั่งคม’ และ ‘หล่อจิตดุจหยก’ ที่เคยเข้าไปในแหล่งสถานอัศจรรย์!
แต่เรื่องเกี่ยวกับแหล่งสถานอัศจรรย์ ไม่มีใครบอกความเป็นมาของมันได้ ในหมู่จตุโบราณสถาน แหล่งสถานอัศจรรย์จึงลึกลับที่สุด
“สรุปคือไม่ว่าผู้ร้ายหลังม่านนั่นเป็นใคร และไม่ว่าเขาวิวัฒน์ขึ้นมาจากพลังกฎระเบียบหนึ่ง หรือเป็นผู้ฝึกปราณคนหนึ่งที่น่ากลัวยิ่ง ข้าต้องสืบหาโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาให้ได้”
เฉินหลินคงเอ่ยเสียงเบา นัยน์ตาฉายแววมาดมั่น
“สหายยุทธ์ ยังไม่ต้องพูดถึงผู้ร้ายหลังม่านของการสับเปลี่ยนยุคสมัยนั่น ข้าบังอาจถามสักประโยค ท่าน… ครอบครองวิธีสลาย ‘เคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ’ ไว้หรือไม่”
สือซานที่เงียบมาตลอดเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้
เฉินหลินคงกล่าว “วิธีการนั้นซ่อนอยู่ในเมืองเทพศุภโชคนี้”
“อะไรนะ!?” สือซานราวกับถูกฟ้าผ่า
หลินสวินก็อึ้งงันอย่างอดไม่ได้
เฉินหลินคงกล่าว “สหายน้อย เจ้าหยั่งรู้นัยเร้นลับของนภาดาราศุภโชคแล้ว น่าจะรู้จุดประสงค์ของการสร้างเมืองเทพศุภโชคนี้ดีว่าเพื่ออะไร”
“เพื่อปกป้องต้นกำเนิดศุภโชคให้ไม่ถูกทำลาย”
หลินสวินพูดโดยไม่ต้องคิด
“ไม่ผิด จนถึงปัจจุบันแหล่งสถานศุภโชคไม่เคยถูกผู้ร้ายหลังม่านยึดกุมโดยสมบูรณ์ เป็นเพราะต้นกำเนิดศุภโชคยังอยู่ ส่วนพลังของต้นกำเนิดศุภโชคก็ต้านเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพที่มาจากผู้ร้ายหลังม่านได้”
เฉินหลินคงกล่าว “ตอนนั้นท่านปู่ของข้าตระหนักถึงจุดนี้ จึงใช้มรรควิถีทั้งตัวสร้างเมืองเทพศุภโชค ใช้พลังกฎระเบียบของยอดสมบัติลายธารปกคลุมที่นี่ไว้เพื่อคุ้มครอง เช่นนี้จึงทำให้ต้นกำเนิดศุภโชคของที่นี่หลบเลี่ยงการควบคุมของผู้ร้ายหลังม่านนั่นได้มานานปี”
ยอดสมบัติลายธาร!
หลินสวินพลันนึกขึ้นได้ ตอนนั้นหลังจากชายชุดเขียวนั่นสร้างเมืองเทพศุภโชค เขาเคยหยิบกระดองเต่าเกลี้ยงกลมสีดำชิ้นหนึ่งออกมาสะบัดกลางอากาศ กลายเป็นพลังกฎระเบียบที่เหมือนสิ่งต้องห้ามปกคลุมเมืองเทพศุภโชคทั้งหมดไว้
ที่แท้ทุกอย่างนี้ล้วนทำไปเพื่อต้านพลังของผู้ร้ายหลังม่านนั่น ปกป้องต้นกำเนิดศุภโชคไว้!
มิน่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ยามผู้เก่งกาจระดับนิรันดร์คิดเข้าใกล้เมืองเทพศุภโชคก็จะถูกขับไล่และโจมตี
พลังกฎระเบียบที่วิวัฒน์จากยอดสมบัติลายธารนั่นสามารถต้านทานพลังของผู้ร้ายหลังม่านนั้นได้ มีหรือจะต้านระดับนิรันดร์ไม่อยู่
“หากกล่าวเช่นนี้ ถ้าตอนนั้นนายหญิงของข้ามาถึงเมืองเทพศุภโชค ก็มีโอกาสสูงว่าจะหลบเลี่ยงมหาเคราะห์ครานั้นได้หรือ”
สือซานสีหน้าปรวนแปร ทั้งโศกเศร้าและปวดร้าว
เฉินหลินคงพยักหน้า
หลินสวินก็ถอนใจยาวเฮือกหนึ่งอย่างอดไม่ได้
ตอนนั้นเห็นชัดว่าร่างต้นของซย่าจื้อสืบหาเบาะแสบางอย่างได้แล้ว คิดมุ่งหน้ามาเมืองเทพศุภโชค แต่กลับประสบเคราะห์ระหว่างทางมาที่นี่ กล่าวได้ว่าทำไม่สำเร็จ
ครู่ใหญ่หลินสวินตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่งจึงกล่าว “ท่านปู่ของผู้อาวุโสเคยสร้างนภาดาราศุภโชคที่นี่ นี่… เป็นเพราะอะไรกัน”
เฉินหลินคงยิ้ม “ตอนนี้เจ้ากลายเป็นเจ้าของเมืองเทพศุภโชคนี้แล้ว ยังไม่รู้นัยเร้นลับที่ซ่อนอยู่อีกหรือ”
หลินสวินมึนงง ส่ายหัวกล่าว “ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ”
“อารยธรรมยุคสมัยนับร้อยนี้ล้วนผ่านการดับสิ้นของยุคสมัยมาทุกครั้ง สื่อถึงอารยธรรมการฝึกปราณและระบบการฝึกปราณที่แตกต่างกัน เมื่อเจ้ายึดกุมพวกมันได้ เจ้าก็จะรู้จุดสูงสุดที่ทุกอารยธรรมยุคสมัยเคยไปถึงบนมหามรรค”
เฉินหลินคงกล่าว “เมื่อรู้เรื่องพวกนี้แล้วจึงทำให้เจ้ารู้ได้ ว่าระดับมหามรรคบนจุดสูงสุดของยุคหนึ่งแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่ เช่นนี้เจ้าจึงจะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพลังของผู้ร้ายหลังม่านนั่นแข็งแกร่งถึงขั้นใด”
หลินสวินใจสะท้าน
มหามรรคของอารยธรรมยุคสมัยในอดีตแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่
หลินสวินไม่รู้ เขารู้แค่ต่อให้อารยธรรมยุคสมัยพวกนี้แข็งแกร่งแค่ไหน ก็ต้านพลังของผู้ร้ายหลังม่านในการสับเปลี่ยนยุคสมัยนั้นไม่ได้!
เช่นนั้นหากรู้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมยุคสมัยในอดีต ก็จะคาดเดาได้ว่าพลังของผู้ร้ายหลังม่านนั้นน่ากลัวแค่ไหน
บางทีการทำเช่นนี้จึงมีโอกาสตามทัน เหนือกว่า จนเอาชนะอีกฝ่ายได้!
และนี่ก็คือสาเหตุที่ท่านปู่ของเฉินหลินคงสร้าง ‘นภาดาราศุภโชค’ ขึ้นมา!
“แม้ว่าเรื่องพวกนี้ยังห่างไกลจากเจ้าในตอนนี้อยู่บ้าง”
เฉินหลินคงยิ้มกล่าว “แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้าเป็นคนแรกที่มองทะลุนัยเร้นลับนภาดาราศุภโชคในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ ภายหน้ามหามรรคที่เจ้าก้าวเดิน ต้องหลอมรวมจุดแข็งของยุคสมัยในอดีต ทั้งอยู่เหนือกาลเวลาได้แน่”
“ขอเพียงเป็นผู้มีศักยภาพแฝงในการเดินบนเส้นทางนี้ ล้วนมองเป็น ‘ผู้ร่วมวิถี’ ของท่านปู่ข้าได้”
เมื่อกล่าวถึงตอนท้าย เฉินหลินคงพลันทอดถอนใจ
แม้แต่เขาก็คิดไม่ถึง ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่เคยถูกจักจั่นทองให้ความสำคัญคนนี้ ถึงกับมีศักยภาพแฝงเช่นนี้บนมรรคาในปัจจุบัน
แต่หลินสวินกลับนึกถึงคำพูดที่ชายชุดเขียวแซ่เฉินคนนั้นเคยกล่าว ‘บนมรรคานี้ไม่ได้มีข้าคนแซ่เฉินคนเดียวอีก!’
เฉินหลินคงกล่าวเสียงเบา “ยามท่านปู่ของข้าทำเรื่องใดมักวางแผนก่อนลงมือ คิดอ่านรอบคอบ ตอนนั้นในเมื่อเขาเตรียมการเช่นนี้ คิดดูแล้วต้องมีนัยลึกซึ้งแน่ ภายหน้ารอสหายน้อยแจ้งมรรคนิรันดร์แล้ว บางทีอาจได้รู้ความหมายของการเป็นเจ้าแห่งเมืองเทพศุภโชคชัดเจนขึ้น”
หลินสวินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ยังกล่าวอย่างอดไม่ได้ “ผู้อาวุโส สามารถบอกนามของท่านปู่ท่านได้หรือไม่”
ในหัวเขาชายสวมชุดเขียวพาดกระบี่โบราณบนแผ่นหลังนั้นน่าเหลือเชื่อจริงๆ ยิ่งรู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองเทพศุภโชค ก็ยิ่งพบว่ามรรควิถีของอีกฝ่ายน่ากลัวเพียงใด
คิดดูแล้วบุคคลที่สามารถสลายเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ ทั้งสร้างเมืองเทพศุภโชคไปต้านทานผู้แข็งแกร่งซึ่งเป็นผู้ร้ายหลังม่านในการสับเปลี่ยนยุคสมัยได้ นั่นต้องเป็นคนเช่นไร
นี่จะไม่ให้หลินสวินสงสัยได้อย่างไร
เฉินหลินคงขบคิดสักครู่ สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกล่าว “อืม… แน่นอนว่าได้ แต่มรรคไม่แพร่งพรายสู่คนนอก ข้าได้แต่พูดให้สหายน้อยฟัง”
หลินสวินรู้สึกคาดไม่ถึงอย่างอดไม่ได้
แค่นามหนึ่งเท่านั้น แต่กลับมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘มรรค’ หรือ
เวลานี้เขานึกถึงอาจารย์เจ้าแห่งคีรีดวงกมลขึ้นมา เหล่าศิษย์พี่ล้วนเคยบอกว่านามของอาจารย์ราวกับมหามรรค ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเป็นวาจา!
ยามนี้พลันเห็นเฉินหลินคงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างยากพบเห็น ประสานมือกลางอากาศเหมือนผู้น้อยคารวะผู้อาวุโส
จากนั้นในใจหลินสวินพลันมีเสียงมรรคดุจระฆังใบใหญ่ดังกังวานสะท้อนก้อง
‘เฉินซี!’
………………….