Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2936 มรรคแห่งกฎกรรม พลังแห่งโชคชะตา
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2936 มรรคแห่งกฎกรรม พลังแห่งโชคชะตา
ตอนที่ 2936 มรรคแห่งกฎกรรม พลังแห่งโชคชะตา
หลินสวินเริ่มปิดด่านตั้งแต่วันนี้
ผ่านไปสิบปีอย่างรวดเร็ว
วันนี้ซย่าจื้อที่สงบนิ่งอยู่ในเตาไร้ก้นบึ้งมาตลอดก็ตื่นขึ้นมา
สำหรับหลินสวินแล้ว นี่ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งเรื่องหนึ่ง
วันนั้นเขายุ่งกับการทำอาหารเลิศรสสารพัดอย่างให้ซย่าจื้อ กินข้าวด้วยกันกับนางมื้อหนึ่ง
ตอนกินข้าว หลินสวินสังเกตเห็นว่าหลังผ่านการปิดด่านครั้งนี้ กลิ่นอายของซย่าจื้อเกิดความเปลี่ยนแปลงต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิงอย่างเห็นได้ชัด
“ครั้งนี้ทะลวงไปถึงระดับไหนแล้วหรือ” หลินสวินอยากรู้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ซย่าจื้อลุกขึ้น ดวงตากระจ่างใสมองหลินสวินแล้วกล่าวว่า “อยากลองหรือ”
หลินสวิน “…”
ชิ้ง!
ทวนศึกกระดูกขาวเล่มนั้นปรากฏขึ้นในมือหยกขาวกระจ่างเรียวบางของซย่าจื้อ
แก้มหลินสวินกระตุกน้อยๆ แทบอยากตีปากตัวเอง ทำไมถึงอดไม่อยู่ต้องคุยถึงเรื่องนี้ขึ้นมานะ
“มา ให้ข้าดูหน่อยว่าหลายปีนี้เจ้าก้าวหน้าบ้างหรือไม่”
น้ำเสียงซย่าจื้อไพเราะปานเสียงสวรรค์ ทว่าคำที่พูดออกมากลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายท้าทาย
หลินสวินนั่งไม่ติดทันที เรื่องเช่นนี้หากเปลี่ยนเป็นชายอื่นจะยังขลาดกลัวได้หรือ
ในสิบปีนี้เขาหลอมระเบียบนิพพานได้เจ็ดส่วนแล้ว ปราณทั่วร่างเองก็ส่อแววจะทะลวงถึงขั้นสัมบูรณ์อยู่รำไร
แม้แต่การควบคุมอภินิหารดาบกาลเวลา ก็ไปถึงใช้งานได้ดั่งใจดุจแขนดั่งนิ้วตนแล้ว
และก็เป็นเวลานี้ ที่หลินสวินเข้าใจในที่สุดว่าอานุภาพของดาบกาลเวลาน่าสะพรึงปานใด
เมื่อสำแดงออกมา กฎระเบียบกาลเวลากลางฟ้าดินก็เกิดความผันแปร ประหนึ่งจมสู่สภาวะหยุดนิ่ง นี่คล้ายกับอภินิหารหยุดเวลาอย่างยิ่ง
สิ่งที่ต่างกันคือดาบกาลก็คือศาสตรามรรคชิ้นหนึ่ง ใช้ในการต่อสู้ได้เป็นเวลานาน!
หลินสวินเคยลองมาก่อน ปลดปล่อยอภินิหารดาบกาลเวลาถึงขีดสุดสามารถคงอยู่ต่อเนื่องได้ราวๆ ครึ่งเค่อ
หรือก็คือขอเพียงอยู่ในครึ่งเค่อนี้ ขอเพียงศัตรูถูกพลังของดาบกาลเวลากวาดโดน อายุขัยและมรรควิถีของเขาก็จะถูกตัดชิงไปในพริบตา
กล่าวง่ายๆ ก็คือกาลเวลาย้อนกลับ ตัดทอนมรรควิถี!
แน่นอนว่าวิธีเช่นนี้หลินสวินย่อมไม่ใช้กับซย่าจื้อ
เขาลุกขึ้น กล่าวเตือนด้วยความหวังดี “ซย่าจื้อ พอเท่านี้เถิด ไม่อย่างนั้น…”
พูดไม่ทันจบ ทวนศึกในมือซย่าจื้อก็แทงออกมาโดยไม่ลังเล เห็นชัดว่าคิดว่าเขาพูดไร้สาระมากเกินไปแล้ว…
ตูม!
ทวนศึกเรียบง่าย ตรงไปตรงมา เปี่ยมด้วยกลิ่นอายคลุมครือเร้นลับ ดูเหมือนแทงมาตรงๆ แต่กลับคล้ายมีอยู่ทุกที่ ทำให้คนรู้สึกคาดเดาไม่ได้
แต่สิ่งที่ทำให้คนหวาดผวาที่สุด คือทวนศึกเต็มไปด้วยพลังประหลาดชนิดหนึ่ง คล้ายว่าถ้าถูกแตะโดนแม้แต่นิด ก็จะทำให้จมลงไปในกระแสพลังอันแปลกประหลาดนั้น จมดิ่งหายไปโดยสมบูรณ์
นัยน์ตาหลินสวินหดรัดทันที มีหรือจะกล้าเพิกเฉย ทุ่มพลังทั้งหมดโดยพลัน
ตูม!
เขาทำมุทราเข้าปะทะตรงๆ
ภาพอันน่าประหลาดปรากฏออกมาแล้ว ทวนศึกอยู่ตรงหน้าชัดๆ แต่กลับหายไปในชั่วพริบตา ทำให้การโจมตีนี้ของหลินสวินคว้าน้ำเหลวทันที
แย่แล้ว!
เงาร่างหลินสวินหลบหลีกโดยจิตใต้สำนึก
ฉัวะ!
เสื้อตรงไหล่ขาดกระจุย ปลิวว่อนราวผีเสื้อโฉบดอกไม้ ทวนศึกกระดูกขาวเฉียดผ่านผิวหนังตรงไหล่ไป
หลินสวินหลั่งเหงื่อเย็นไปทั้งตัวทันที
ถ้าไม่ใช่ว่าหลบทัน การโจมตีนี้คงทะลุอกเขาไปแล้ว!
“นี่คือพลังมหามรรคอะไร”
หลินสวินถาม
“กฎกรรมเคียงกำเนิด พลังแห่งโชคชะตา”
ซย่าจื้อกล่าวเสียงกระจ่าง ขณะพูดนางก็สะบัดมือเบาๆ คราหนึ่ง ทวนศึกกระดูกขาวกวาดขวางแทงเข้ามา
หลินสวินไม่อาจคิดมากความแล้ว กระตุ้นสารกาย พลังชีวิต จิตวิญญาณในร่างแล้วโคจรกฎเกณฑ์อมตะถึงขีดสุด
พลันนั้นธารยาวที่ยิ่งใหญ่ปั่นป่วนแถบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในการรับรู้ของเขา พุ่งออกมาจากความว่างเปล่า ไหลทะลักไปสู่ส่วนลึกไร้สิ้นสุด
พลังอันลึกลับคลุมเครือนับไม่ถ้วนถาโถมโหมคลั่งในธารยาวนี้ ทำให้คนรู้สึกคาดเดาไม่ได้
หลินสวินรู้ทันทีว่านี่คือกลิ่นอายของโชคชะตา!
ควบรวมจากมรรคแห่งกฎกรรม เวลานี้ถูกซย่าจื้อใช้ทวนศึกสำแดงออกมา การโจตีที่ดูเหมือนธรรมดาแต่แท้จริงกลับคล้ายโชคชะตาที่ไม่อาจคาดเดา!
ตูม!
ขณะเดียวกับที่หลินสวินสัมผัสได้ก็ลงมืออย่างไม่ลังเล ใช้กฎเกณฑ์นิพพานควบรวมเป็นปราณกระบี่ฟันลงกลางอากาศ
เคร้ง!!
ปราณกระบี่และทวนศึกกระดูกขาวปะทะกัน และในการรับรู้ของหลินสวิน ธารโชคชะตาที่ปั่นป่วนกว้างใหญ่นั้นสั่นไหวคราหนึ่งก่อนจะสลายหายไป
“ก้าวหน้าไม่น้อย เจ้าถึงกับต้านพลังระดับนี้ได้”
ซย่าจื้อคล้ายตะลึงอยู่บ้าง นางโบกทวนศึกออกโจมตีอีกครั้ง
หลินสวินกลับเยือกเย็นลงอย่างสมบูรณ์ พลังแห่งโชคชะตาลึกลับคลุมเครือดังคาด ใช้ในการต่อสู้ยิ่งทำให้คนยากจะป้องกัน คนทั่วไปย่อมไม่อาจขัดขวางได้艾琳小說
และถ้าคิดจะทำลายก็ง่ายมาก ใช้การปะทะโดยตรง ไม่มีทางอื่น
นี่ก็คล้ายกำลังต่อสู่กับสวรรค์อันไร้รูปไร้ลักษณ์ ทั้งยังคล้ายกับผู้ฝึกปราณที่กำลังข้ามด่านเคราะห์ใต้ทัณฑ์สวรรค์ คาดเดาไม่ได้ ไม่อาจหลบเลี่ยง ได้แต่เข้าปะทะตรงๆ
ถ้าปะทะแล้วไม่ชนะ ก็มีแต่ตายสถานเดียว!
ความรู้สึกพิกลที่พูดไม่ออกนี้อันตรายถึงขั้นคาดไม่ได้ด้วยซ้ำ
ยังดีที่หลินสวินสังเกตเห็น ว่าด้วยกฎเกณฑ์อมตะแห่งตนสามารถรับการโจมตีของซย่าจื้อได้
มรรคแห่งกฎกรรม ว่ากันถึงที่สุดก็คือกฎเกณฑ์มหามรรคชนิดหนึ่ง และนัยเร้นลับของระเบียบนิพพานย่อมสามารถรับมือและสลายไปทั้งหมดได้!
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ถ้ำสถิตของหลินสวินเทียบได้กับโลกเล็กๆ ใบหนึ่ง ยามทั้งคู่ลงมือจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจำกัด ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงปะทะดังขึ้น ยังดีที่ทั้งคู่ต่างควบคุมระลอกคลื่นการต่อสู้เอาไว้ จึงไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับโลกถ้ำสถิตนี้
ครู่ต่อมาซย่าจื้อก็เปลี่ยนการโจมตีกะทันหัน ทวนศึกกระดูกขาวพลันอบอวลด้วยพลังแห่งกาลเวลา วีธีต่อสู้ก็เปลี่ยนตามไปด้วย
เพียงแต่พรสวรรค์หุบเหวกลืนกินของหลินสวินเดิมก็เป็นการใช้พลังแห่งกาลเวลาอย่างหนึ่ง จึงไม่กลัวการโจมตีของพลังเช่นนี้
และเมื่อเห็นไม่อาจทำอะไรหลินสวินได้อยู่นาน ซย่าจื้อก็สูดหายใจลึกกล่าวว่า “หลินสวิน การทะลวงของข้าครั้งนี้หยั่งถึงวิชาต้องห้ามที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาอย่างหนึ่ง นามว่า ‘พิบัติโลกีย์’ เจ้าอยากลองสักหน่อยหรือไม่”
วิชาต้องห้ามที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตา!
หลินสวินส่ายหน้าทันที ล้อเล่นอะไรกัน ยอดมหามรรคระดับโชคชะตานี้ เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกปราณหวาดกลัวเป็นที่สุด ต่อให้เป็นระดับนิรันดร์ยังไม่กล้าพูดพล่อยๆ ว่ากุมโชคชะตาตัวเองได้ด้วยซ้ำ!
เห็นเช่นนี้ซย่าจื้อจึงเก็บทวนศึกทันทีแล้วกล่าวอย่างรวดเร็ว “ถ้าเช่นนั้นข้าก็เอาชนะเจ้าไม่ได้”
เห็นชัดว่าพิบัติโลกีย์เป็นไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของนาง ถ้าไม่ใช้ ด้วยมรรควิถีของนางตอนนี้ก็ไม่อาจทำอะไรหลินสวินได้
ทว่าในใจหลินสวินสะท้านไม่หยุดแล้ว
เขายามนี้บนมรรคาอมตะเรียกได้ว่าไร้ทัดเทียม ต่อให้เป็นรูปจำลองเจตจำนงของระดับนิรันดร์ก็คุกคามเขาไม่ได้
แต่พลังต่อสู้ของซย่าจื้อในตอนนี้ กลับไม่ได้ต่างจากเขามากนัก!
จริงอยู่ว่าเขายังมีอภินิหารพรสวรรค์อีกมากที่ยังไม่ได้สำแดง แม้แต่ร่างแยกมหามรรคก็ยังไม่ได้ใช้ แต่ซย่าจื้อก็มีไพ่ตายเช่นเดียวกัน
ทั้งยังเกี่ยวข้องกับมรรคแห่งโชคชะตา!
นี่จะไม่ให้หลินสวินตกใจได้อย่างไร
ว่ากันถึงที่สุด หลินสวินเองก็รู้ชัดว่าแทนที่จะพูดว่าหลายปีนี้ซย่าจื้อกำลังฝึกปราณ ไม่สู้พูดว่านางกำลังหลอมพลังที่ผนึกในร่างต้นของตัวเองจะดีกว่า
สำหรับนางระดับปราณไม่ใช่เรื่องสำคัญ นางแค่ต้องดูดซับพลังของร่างต้นไปเรื่อยๆ พลังต่อสู้ของมันก็จะแปรสภาพและยกระดับขึ้นตลอดไป กระทั่งฟื้นคืนถึงระดับสูงสุดเมื่อแรกที่ร่างต้นไปถึง!
ขณะเดียวกันที่พลังต่อสู้ของซย่าจื้อเย้ยฟ้าเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะรากฐานของนางแข็งแกร่งมาก แต่เพราะนางครองครอบนัยเร้นลับมหามรรคที่เป็นหนึ่งไม่มีสองต่างหาก
เช่นกาลเวลา กฎกรรม และ… โชคชะตา!
พลังมหามรรคสูงสุดระดับนี้ เมื่อใช้ในการตอนต่อสู้ อานุภาพที่ปะทุออกมาย่อมน่าสะพรึงอย่างไม่อาจจินตนาการ
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาครอบครองนัยเร้นลับระเบียบนิพพานอยู่ เกรงว่าคงยากจะต้านทานการโจมตีจากซย่าจื้อเช่นกัน!
“ซย่าจื้อ ช่วงเวลาต่อจากนี้ข้ายังต้องจดจ่อฝึกปราณอีกสักพัก”
ต่อสู้เสร็จหลินสวินก็พูดเรื่องสำคัญ “ถ้าเจ้าเบื่อๆ เซ็งๆ ก็ออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ แค่ไม่ออกจากแดนแรกเริ่มก็พอ”
“ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
ซย่าจื้อตอบโดยไม่ต้องคิด
หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ก็ดี”
นอกจากหลินสวินแล้ว ซย่าจื้อก็ไม่สนใจอะไรบนโลกนี้อีก
“จริงสิ ไม่กี่ปีก่อนข้ารับศิษย์คนหนึ่ง ตอนนี้ผ่านไปสิบปีแล้ว เจ้าอยากไปดูนางเป็นเพื่อนข้าหรือไม่” หลินสวินกล่าว
ซย่าจื้อย่อมไม่มีความคิดเห็นอื่น
…
ยอดเขาที่เก้า
ในลานฝึก เด็กสาวชุดดำคนหนึ่งกำลังฝึกยุทธ์อยู่
นางอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี ผิวขาวละเอียดดั่งหิมะ ใบหน้าเล็กงามละเอียด ผมสลวยดำขลับมัดเป็นหางม้า ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายดุจดารา
ในมือนางถือทวนศึกสำริดเล่มหนึ่ง กระบวนท่ารวดเร็วรุนแรง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายระดับราชันอริยะ
เด็กสาวย่อมเป็นถังเจียง
ในช่วงสิบปีนี้ สำหรับหลินสวินเหมือนกับพริบตาเดียว แต่กับถังเจียง นางเปลี่ยนจากเด็กน้อยถักผมเปียกลายเป็นเด็กสาวงามอรชรคนหนึ่งไปแล้ว ท่าทางเปี่ยมความห้าวหาญองอาจ มีเสน่ห์ดึงดูด
ไม่ไกลนักผู้สืบทอดยอดเขาที่เก้ามากมายกำลังมองดูอยู่ ปรบมือร้องชมเป็นพักๆ
ผู้สืบทอดเหล่านี้แทบจะดูถังเจียงเติบโตขึ้นมา ปฏิบัติกับนางดั่งน้องสาวสุดที่รัก ในหลายปีนี้เกือบทั้งหมดล้วนให้คำแนะนำและถ่ายทอดวิชาให้นาง
กอปรกับโม่หลันซานใช้ทรัพยากรฝึกปราณทุกอย่างโดยไม่หวง แค่เวลาสิบปีสั้นๆ ก็ทำให้เด็กน้อยที่ไม่เข้าใจการฝึกปราณอย่างถังเจียง ลอกคราบกลายเป็นระดับราชันอริยะที่รากฐานแข็งแกร่งหาใดเปรียบคนหนึ่ง
นี่ยังเป็นความก้าวหน้าด้านระดับปราณที่โม่หลันซ่านจงใจข่มถังเจียงเอาไว้ ไม่เช่นนั้นระดับปราณที่นางทะลวงได้มีแต่จะเร็วยิ่งกว่านี้
ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือลัทธิแรกกำเนิด หนึ่งในสี่หอบรรพจารย์ที่มีฐานะสูงส่งในโลกยอดนิรันดร์ ทอดมองทั่วหล้าทั้งบนล่าง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดๆ เฝ้าฝันถึง
สมัยก่อนคิดอยากเข้าลัทธิแรกกำเนิด ขั้นต่ำสุดก็ต้องมีมรรควิถีระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ ทั้งยังต้องรอโอกาส รวมถึงยังต้องทดสอบเข้าสำนัก ถึงสามารถกลายเป็นผู้สืบทอดของลัทธิแรกกำเนิดได้
ส่วนถังเจียงเป็นกรณีพิเศษอย่างไม่ต้องสงสัย
มีผู้สืบทอดของยอดเขาที่เก้าซึ่งระดับปราณต่ำที่สุดคือระดับมกุฎบรรพจารย์อยู่ด้วย มีผู้นำยอดเขาอย่างโม่หลันซานดูแลเอาใจใส่ ถ้าปราณของนางไม่พัฒนาก้าวกระโดดนั่นต่างหากที่แปลกประหลาด
ห่างออกไปยามหลินสวินเห็นรูปโฉมถังเจียงที่เปลี่ยนไปอย่างมากแล้ว กลางนัยน์ตาก็เผยแววเลื่อนลอยไปอย่างอดไม่ได้
สิบปี เปลี่ยนถังเจียงไปเยอะมากอย่างไม่ต้องสงสัย
“คารวะรองหัวหน้าหอหลิน!”
ทันใดนั้นใกล้ๆ ลานฝึก ผู้สืบทอดหลายคนที่เห็นเงาร่างหลินสวินต่างเผยสีหน้าเคร่งขรึมทันที ค้อมตัวคาราวะจากไกลๆ สีหน้าทุกคนล้วนเผยความเคารพและเลื่อมใสที่อยู่ในใจตัวเองออกมา
ถังเจียงที่กำลังฝึกยุทธ์อยู่หยุดการเคลื่อนไหวในมือ หมุนตัวโดยพลับ เมื่อเห็นร่างคุ้นเคยที่อยู่ไกลๆ นั้น นัยน์ตาคู่งามอดเบิกโพลงไม่ได้
ครู่หนึ่งนางถึงรีบคาราวะ กล่าวว่า “ศิษย์ถังเจียง คาราวะอาจารย์!”
——