Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3174 เหตุใดต้องฝึกปราณ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 3174 เหตุใดต้องฝึกปราณ
ตอนที่ 3174 เหตุใดต้องฝึกปราณ
“นี่จะได้อย่างไร!”
มีคนกล่าวขุ่นเคือง
พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ที่ฝึกปราณมาไม่รู้กี่กาลเวลา ใครจะไม่รู้ว่าคำสั่งนี้ของจอมมรรคขู่เหอ เท่ากับต้องการให้คนใต้อาณัติอย่างพวกเขาไปสู้ตายกับหลินสวิน
“พวกเรายอมเป็นบริวารของเจ้าลัทธิไท่ชู ผ่านการกรำศึกมานานจนประสบความสำเร็จเช่นวันนี้ หากเป็นคำสั่งของเจ้าลัทธิ ต่อให้ข้าต้องพลีชีพก็ไม่ขมวดคิ้วเด็ดขาด แต่เท่าที่ข้ารู้ ภารกิจจัดการหลินสวิน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าลัทธิหรือคุณหนูล้วนไม่มีใครชี้แนะใดๆ”
มีคนกล่าวเสียงต่ำ
ความหมายในคำพูดชัดเจนมาก ภารกิจจัดการหลินสวินเป็นความคิดของจอมมรรคขู่เหอคนเดียว
สายตาทุกคนในโถงใหญ่ไหววูบ ความคิดหลายหลาก
ผ่านไปครู่ใหญ่ถูซานเหลิ่งกล่าวทอดถอนใจเบาๆ “ช่างเถอะ หากทุกท่านคิดจากไปก็จากไปตอนนี้ ข้าจะไม่บังคับเด็ดขาด ทั้งไม่มีทางผูกพยาบาทใครเพราะเรื่องนี้”
คนอื่นล้วนมองหน้ากันไปมา
“พี่ถูซาน ท่านคิดจะทำอย่างไร”
โหย่วเจียงเอ่ยถาม
“ข้าจะอยู่ต่อ”
สีหน้าถูซานเหลิ่งเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบถึงขีดสุด “ชีวิตข้านายท่านเป็นผู้ให้ ตอนนี้ถึงเวลามอบคืนแล้ว”
บรรยากาศในโถงใหญ่เปลี่ยนเป็นกดดันขึ้นมาทันที
ตูม!
ทันใดนั้นฟ้าดินสั่นสะเทือน ทุกคนในโถงใหญ่ล้วนตกใจจนพากันลุกขึ้น
พลันเห็นฟ้าดินนอกโถงใหญ่ราวกับถูกโจมตีโดยพลังน่ากลัวบางอย่าง สั่นสะเทือนรุนแรงไม่หยุด คล้ายภาพฟ้าสะท้านดินสะเทือน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
มีคนตกตะลึง
พวกเขาท่องโลกมืดมนมาหลายปี ยังไม่เคยเห็นโลกนี้เกิดการเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน ราวกับมีคนอยากทำให้ฟ้าดินนี้พลิกตลบ
“ต้องเกี่ยวข้องกับหลินสวินแน่!”
ถูซานเหลิ่งสีหน้าจริงจัง “ทุกท่าน ถ้าจะไปก็รีบไป โลกมืดมนนี้… ไม่อาจอยู่นานแล้ว…”
ในใจเขารู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
หลินสวินคนเดียวทำให้พวกเขาหวาดหวั่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก่อนหน้านี้ใครเล่าจะคาดคิด
วันนั้นทูตชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์กลุ่มหนึ่งจากไป ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้พวกเขาต่างรวบรวมวิญญาณหมอกได้เพียงพอนานแล้ว การออกจากโลกมืดมนจึงไม่ใช่เรื่องยาก
แม้รู้ว่าการทำเช่นนี้จะชักนำปัญหาเข้ามา แต่ไม่มีใครสนใจ
ถึงอย่างไรแดนเทพสรรพวิญญาณก็มีโลกเก้าชั้น ทั้งยังมีทางพิฆาตมรรค ทูตชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์เหล่านี้ไม่คิดว่าตนจะมีโอกาสบุกผ่านชั้นโลกมากมาย กระทั่งไปถึงแดนเทพมากเร้นได้ในเวลาอันสั้น
ทั้งขอเพียงไม่ไปแดนเทพมากเร้น ต่อให้จอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์ขู่เหอเดือดดาลแค่ไหนก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้
ถึงตอนท้ายเหลือแค่ทูตชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์สิบเก้าคนรวมถูซานเหลิ่งที่อยู่ต่อ
…
เป็นอย่างที่ถูซานเหลิ่งคาดเดา การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ฟ้าดินสะเทือนนั้นมาจากฝีมือหลินสวิน
ยามนี้ส่วนลึกของน้ำพุมืดมน
“ผู้อาวุโส ขอบคุณมาก”
หลินสวินประสานมือ บุคคลที่เขาขอบคุณคือผู้อาวุโสมือกระบี่คนนั้น
สามเดือนมานี้เขาต่อสู้ดุเดือดกับกระบี่ไม้สามชุ่นไปสิบสองครั้ง ทำให้มรรควิถีของตนกลั่นหลอมเคี่ยวกรำสิบสองครั้ง
ไม่เพียงทำให้ศักยภาพแฝงทั้งตัวถูกขุดค้นและเพิ่มความมั่นคงถึงขีดสุด แม้แต่พลังปราณก็รุดหน้าขึ้นมากกว่าแต่ก่อน!
กระทั่งทำให้หลินสวินรู้สึกว่าพลังปราณใกล้สมบูรณ์อยู่รางๆ หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับจอมมรรคไร้ขอบเขตแล้ว
เพียงแต่พลังต่อสู้ของหลินสวินตอนนี้เหนือกว่าจอมมรรคไร้ขอบเขตนานแล้ว!
ฟุ่บ…
กระบี่ไม้สามชุ่นตกสู่มือหลินสวิน
จากนั้นสายตาเขามองไปยังส่วนลึกยิ่งกว่า
นั่นคือจุดที่มีแกนจิตแรกกำเนิดของโลกมืดมนอยู่ กลิ่นอายบ่อเกิดแรกกำเนิดลึกลับอบอวล
นอกจากนี้ยังมีพลังลึกลับราวสิ่งต้องห้ามปกคลุมรอบแกนจิตแรกกำเนิดด้วย พลังนั้นหลินสวินคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เห็นชัดว่ามาจากแหล่งเดียวกับ ‘กฎระเบียบไท่ชู’ ที่ปกคลุมรอบแหล่งสถานศุภโชค!
‘กระบี่ไม้สามชุ่นคือสิ่งที่ผู้อาวุโสมือกระบี่เหลือไว้ก่อนไปเกิดใหม่ จากคำพูดหลิงหยวนกฎระเบียบไท่ชูนี้คงมีมาก่อน หากเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นไท่ชูจะมีมรรควิถีระดับใด’
หลินสวินนึกถึงตรงนี้แล้วพลันยิ้มน้อยๆ ลองดูก็รู้!
เขาแทงนิ้วออกไปลวกๆ
ฟุ่บ!
ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งยิงออกไป ภายในเปี่ยมนัยเร้นลับนิพพาน ดูเหมือนราบเรียบแผ่วเบา ความจริงแล้วเป็นการโจมตีชั้นยอดของมรรควิถีหลินสวินในปัจจุบัน
ตูม!
แกนจิตแรกกำเนิดสั่นสะเทือน กฎระเบียบไท่ชูซึ่งปกคลุมโดยรอบพลันพุ่งขึ้นมาทันที กลายเป็นยันต์ประหลาดลึกลับ ภายในเต็มไปด้วยกลิ่นอายด่านเคราะห์
เมื่อปราณกระบี่ของหลินสวินสัมผัสยันต์นี้ ราวกับยอดมรรคาสองอย่างปะทะกันชั่วพริบตา!
ทั้งโลกมืดมนล้วนสั่นสะเทือนทันที ห้วงอากาศไร้สิ้นสุดเกิดรอยแยกชวนประหวั่นมากมาย
แต่ภาพทำลายล้างเช่นนี้กลับหายไปชั่วพริบตา
กฎระเบียบไท่ชูในแกนจิตแรกกำเนิดตรงส่วนลึกของน้ำพุมืดมนดับสลายหายไปจนเกลี้ยง
มีเพียงปราณกระบี่สายนั้นที่หลินสวินปล่อยออกมาลอยล่องอยู่ แสงมรรคอัศจรรย์ไหลวน
‘เทียบกับกระบี่ไม้สามชุ่นแล้ว พลังกฎระเบียบไท่ชูนี้กลับด้อยกว่าเล็กน้อย คงไม่ใช่พลังสูงสุดของราชันไท่ชู น่าจะเป็นสิ่งที่เขาเหลือไว้ยามเข้ามาสู่โลกมืดมนครั้งแรก…’
หลินสวินสงบจิตสัมผัสครู่หนึ่งก่อนหันหลังจากไป
เขาไม่สนใจแกนจิตแรกกำเนิดที่ยึดครองโลกมืดมนนี้
มรรควิถีของเขาไม่ต้องการใช้แกนจิตแรกกำเนิดมายกระดับ
เมื่อพลังปราณบรรลุถึงขั้นนี้ ท่าทีที่มีต่อวาสนาย่อมเปลี่ยนไป
หากเป็นเมื่อก่อนเขาต้องหลอมแกนจิตแรกกำเนิดนี้ไปโดยไม่ลังเลแน่ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าการมีอยู่ของแกนจิตแรกกำเนิดช่วยรักษาพลังกฎระเบียบทั่วโลกมืดมนไว้ ก็เหมือนผู้ให้กำเนิดโลกแห่งหนึ่ง หากนำมันไปฟ้าดินนี้จะถูกทำลายโดยไม่อาจฟื้นคืน
หากเป็นเช่นนี้ภายหน้าผู้ฝึกปราณที่เข้ามาในโลกมืดมนนี้ เกรงว่าคงไม่มีโอกาสออกไปจากประตูสวรรค์ของโลกนี้อีก ทั้งไม่มีโอกาสเข้าสู่แดนเทพสรรพวิญญาณและแดนสวรรค์ต่อไปแน่
นี่เท่ากับตัดหนทางฝึกปราณของผู้คนมากมายโดยไม่ต้องสงสัย
หวนนึกถึงปีนั้นไท่ชูไม่ได้ทำเช่นนี้ มือกระบี่คนนั้นก็ไม่ได้ทำเช่นนี้ ด้วยน่าจะคิดแบบเดียวกัน
“สำเร็จไหม”
เมื่อเห็นเงาร่างของหลินสวินพุ่งออกมาจากน้ำพุมืดมน ซย่าจื้อที่กำลังนั่งสมาธิฝึกตนอยู่อีกด้านอดเคลื่อนสายตามองมาไม่ได้
หลินสวินอมยิ้มพยักหน้าน้อยๆ
ซย่าจื้อยิ้มขึ้นมาทันที พลิกมือหยิบหยดน้ำกระจ่างแวววาวออกมา เสียงไพเราะดุจเสียงธรรมชาติ เจือกลิ่นอายประคบประหงมเสี้ยวหนึ่ง “หลิงหยวนน้อย เจ้าไปกับพวกเราได้แล้ว”
“ดียิ่งนัก!”
หลิงหยวนโห่ร้องยินดี ตื่นเต้นจนลอยขึ้นมาร่ายรำ
“เอ้า นี่คือกระบี่ไม้ของเจ้า”
หลินสวินส่งมอบกระบี่ไม้สามชุ่นนั้นให้ “ภายหน้านำของสิ่งนี้ติดตัวไปด้วย ขอเพียงเจอเจ้าของมัน ไม่ว่าเจ้ายังจำได้หรือไม่ กระบี่นี้จะสัมผัสได้”
ซ่า…
เจ้าหยดน้ำเคลื่อนตัวทันที เกลียวคลื่นไหลวนปกคลุมกระบี่ไม้สามชุ่นแล้วเก็บไป
พลันได้ยินหลิงหยวนกล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณผู้อาวุโส!”
หลินสวินบื้อใบ้ไปแล้ว
ซย่าจื้อกลับลูบหยดน้ำนั้นพลางกล่าว “เจ้าเรียกข้าว่าพี่สาว เรียกเขาว่าผู้อาวุโสได้อย่างไร”
หลิงหยวนกล่าว “ข้ารู้แล้ว ควรเรียกว่าพี่เขยถึงจะถูก”
หลินสวินอึ้งงันไปก่อน จากนั้นก็หัวเราะเบิกบาน
ซย่าจื้ออดยิ้มไม่ได้เช่นกัน งามผุดผ่องเจิดจรัส
นางไม่ใช่หญิงสาวผู้เขินอายขลาดกลัว เมื่อก่อนไม่ใช่ ตอนนี้ก็ไม่ใช่ ขอเพียงชอบใจก็จะเผยออกมาต่อหน้าหลินสวิน
“พวกเราไปกันเถอะ ไปจัดการศัตรูพวกนั้นแล้วออกจากโลกมืดมนนี้กัน”
หลินสวินกล่าว
ปล่อยให้ศัตรูพวกนั้นอยู่ต่อมาสามเดือน ถึงเวลาเก็บกวาดแล้ว
…
ในคฤหาสน์บนยอดเขา
ถูซานเหลิ่งในชุดคลุมขาวนั่งอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาขุ่นมัวมองภาพภูมิลักษณ์บนหนังสัตว์สีน้ำตาลนั่น สีหน้าราบเรียบจดจ่อ
มีทูตชะตาสวรรค์อีกสิบแปดคนนั่งอยู่กลางโถงใหญ่ทั้งสองฝั่ง
บรรยากาศเงียบสงบผิดปกติ
เมื่อหลินสวินมาถึงก็เห็นภาพเช่นนี้
เพราะการมาของเขาทำให้บรรยากาศเงียบสงบในโถงใหญ่ถูกทำลาย ทูตชะตาสวรรค์สิบแปดคนลุกขึ้นพร้อมกัน เตรียมตั้งรับทันที บ้างสีหน้าตื่นตระหนก บ้างจริงจัง บ้างเคียดแค้น
บนตำแหน่งประธานตรงกลาง ถูซานเหลิ่งเก็บภาพภูมิลักษณ์ม้วนนั้นลงไป สายตามองหลินสวินกับซย่าจื้อตรงนอกโถงใหญ่พลางกล่าวทอดถอนใจ “รู้อยู่แล้วว่าพลังผนึกรอบที่นี่ขวางก้าวย่างของสหายยุทธ์หลินไม่ได้โดยสิ้นเชิง”
“ทำไมถึงไม่หนี”
หลินสวินกวาดมองทั่วโถงใหญ่พลางเอ่ยถาม
“หากต้องหลบซ่อนมิสู้ประลองกับสหายยุทธ์หลินอย่างเปิดเผยดีกว่า ต่อให้ตายก็ตายอย่างผ่าเผย”
ถูซานเหลิ่งลุกขึ้นช้าๆ สีหน้าราบเรียบกล่าว “สหายยุทธ์หลิน ก่อนลงมือข้าขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“ว่ามา”
หลินสวินกล่าวกระชับได้ใจความ เรียบง่ายสบายๆ
ถูซานเหลิ่งเอ่ยถาม “ฝึกปราณมาถึงวันนี้ เจ้าเคยคิดไหมว่าตอนแรกเป็นเพราะเหตุใดจึงทำให้เจ้าก้าวสู่หนทางการฝึกปราณ”
หลินสวินอดประหลาดใจไม่ได้ เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะถามคำถามเช่นนี้
เขาใคร่ครวญครู่หนึ่งพลางกล่าว “ตอนแรกเพื่อมีชีวิตต่อไป”
ตอนเด็กเขากับลู่ป๋อหยาใช้ชีวิตในคุกใต้เหมือง ตอนนั้นคุณสมบัติทางกายของเขาอ่อนแอมากโรค หากไม่ใช่ว่ามีลู่ป๋อหยาดูแลใส่ใจและถ่ายทอดวิชาฝึกปราณให้ คิดจะรอดชีวิตคงแทบเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
“คิดไม่ถึงว่าบุคคลพลิกฟ้าอย่างเจ้า ตอนแรกกลับฝึกปราณเพื่ออยู่รอดเท่านั้น…”
ถูซานเหลิ่งอึ้งไปสักพัก จากนั้นก็เอ่ยถาม “เมื่อแก้ปัญหาการอยู่รอดแล้ว เหตุใดทำให้เจ้ายืนหยัดบนหนทางฝึกปราณต่อจนปัจจุบัน”
“แก้แค้น”
หลินสวินพูดโดยไม่ต้องคิด
แววตาถูซานเหลิ่งเปลี่ยนเป็นพิกลขึ้นมา “เช่นนั้นตอนนี้เล่า เจ้ามีพลังเอาชนะจอมมรรคไร้ขอบเขต ห่างจากราชันไร้ขอบเขตไม่ไกลแล้ว ตอนนี้ฝึกปราณเพราะอะไร”
“เรื่องราวบนโลกนี้มีคำว่าเพราะอะไรมากเช่นนั้นหรือ”
หลินสวินเอ่ยเสียงเบา “หากกล่าวว่าฝึกปราณด้วยเหตุใดก็ง่ายมาก สำหรับข้าการฝึกปราณคล้ายการหายใจเข้าออก ทุกการเคลื่อนไหว ทุกความคิดก็เหมือนปุถุชนเริ่มใช้ชีวิต ผ่านกระบวนการเกิดถึงตาย หากในใจยึดติดกับสาเหตุการฝึกปราณกลับจะกลายเป็นพลาดพลั้ง กลายเป็นพันธนาการในใจโดยง่าย ติดพันไม่อาจหลุดพ้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้สภาวะจิตของหลินสวินว่างเปล่าและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิม
ยามฝึกปราณตอนแรก เขาฝึกเพื่อมีชีวิตต่อไป
ต่อมาเขาฝึกเพื่อแก้แค้น
ตอนนี้การฝึกปราณเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขานานแล้ว เป็นไปตามธรรมชาติ ไร้พันธะไร้ผูกมัด อิสระจากกฎเกณฑ์ ไยต้องหาเหตุผลอะไร
“กลายเป็นพันธนาการในใจ ติดพันไม่อาจหลุดพ้น…”
ถูซานเหลิ่งพึมพำ ครู่ใหญ่จึงประสานมือเล็กน้อยพลางกล่าว “เข้าใจแล้ว”
จากนั้นเขาหยัดร่างขึ้น สีหน้าราบเรียบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “สหายยุทธ์หลิน เจ้าลงมือได้แล้ว”