Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1013 ฝ่าหอลองกระบี่
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1013 ฝ่าหอลองกระบี่
ตอนที่ 1013 ฝ่าหอลองกระบี่
หอลองกระบี่สูงพันจั้ง ทั้งหอแบ่งออกเป็นเก้าชั้น
หนึ่งชั้นมีหนึ่งด่าน สิ่งที่ทดสอบคือพลังต่อสู้ของผู้ฝึกปราณ พลังต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่งก็จะยิ่งผ่านด่านเร็วยิ่งขึ้น
ในทางกลับกันก็เช่นกัน
โดยทั่วไปแล้ว จะผ่านการทดสอบสามด่านแรกได้ต้องมีพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ
จะผ่านการทดสอบด่านที่สี่ถึงหกได้ต้องมีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ
จะผ่านการทดสอบด่านที่เจ็ดถึงเก้าได้ต้องมีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ
ทว่า ดูเหมือนง่ายดาย แต่ความจริงแล้วการทดสอบทุกด่านต่างเข้มงวดและอันตรายถึงที่สุด หากไม่ใช่ผู้โดดเด่นเป็นพิเศษในแต่ละระดับ ยากนักที่จะผ่านด่านอย่างราบรื่น
อย่างชั้นเก้า ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันก็มีเพียงผู้มีระดับกระบวนแปรจุติหลักสิบที่ฝ่าด่านได้สำเร็จ!
เพราะชั้นนี้วิปริตยิ่งนัก ต่อให้เป็นบุคคลชั้นยอดในระดับกระบวนแปรจุติ แปดถึงเก้าส่วนล้วนฝ่าไปไม่ได้
และที่สามารถฝ่าไปได้ กลับไม่มีใครไม่เป็นผู้กล้าแห่งยุคที่หาได้ยากยิ่งในระดับกระบวนแปรจุติ!
ประมาณสิบปีก่อน อวิ๋นชิ่งไป๋อาศัยพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ ภายในเวลาเพียงหนึ่งเค่อก็พุ่งขึ้นไปถึงชั้นเก้าของหอลองกระบี่ แค่คิดก็รู้ว่าพลังต่อสู้ของเขาน่าหวาดหวั่นเพียงไหน
และสถิติที่เขาสร้างขึ้นนี้ ก็กลายเป็นสถิติอันดับหนึ่งของหอลองกระบี่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีใครทำลายได้!
หน้าหอลองกระบี่ ผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์มากมายต่างรอคอย
แต่เป้าหมายของพวกเขาต่างจากหลินสวิน ขอเพียงสามารถผ่านด่านชั้นหกภายในเวลาหนึ่งก้านธูปพวกเขาก็พอใจแล้ว
เพราะทำได้ถึงขั้นนี้ ก็จะกลายเป็นศิษย์สืบทอดผู้หนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ทว่าก็มีข้อยกเว้น
เช่นตอนนี้ มีชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งถูกรั้งไว้ข้างนอก
“ทำไมถึงรั้งข้าไว้” ชายหนุ่มชุดดำนิ่วหน้า คิ้วของเขาราวดาบ ตัวเขาเหมือนทวนยาวที่สามารถแทงทะลุเวิ้งฟ้าเล่มหนึ่ง เผยคมออกมาจนหมดสิ้น อานุภาพน่าหวาดหวั่น
“สหายน้อย เจ้ามีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติแล้ว เหมือนจะไม่ต้องมาฝ่าด่านแล้ว” หน้าหอลองกระบี่ ชายชราที่เฝ้าที่นี่เอ่ยปากเนิบนาบ
ชายหนุ่มชุดดำแสยะยิ้มออกมา พูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่ได้มากราบอาจารย์ขอเป็นศิษย์ แต่อยากมาลองดูว่าสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋นั่นไม่อาจถูกทำลายได้ตามที่ลือกันจริงหรือไม่!”
เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา ทั้งหอลองกระบี่ก็ฮือฮา
สายตามากมายนับไม่ถ้วนพากันมองมาที่ชายหนุ่มชุดดำเป็นตาเดียว เจือไปด้วยความฉงนและทำใจเชื่อได้ยาก เจ้าหมอนี่บ้าระห่ำเกินไปแล้ว ถึงกับมาเพื่อทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋!
“หึ! ไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำ หลายปีนี้ไม่รู้ว่ามีพวกที่อวดตัวว่าเป็นผู้กล้าเหนือโลกาตั้งเท่าไรมาฝ่าด่าน แต่สุดท้ายต่างล้มเหลวกลับไป จากไปอย่างหมองมัว”
มีคนหัวเราะหยัน
“คนสมัยนี้เพ้อเจ้อเสียจริง อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นยักษ์ใหญ่ขอบเขตมกุฎผู้เป็นที่หนึ่งของนครหยกขาวของพวกเรา ดุจดั่งตำนานที่ไม่อาจเอาชนะได้ ใครก็มาท้าทายส่งเดชได้หรือ”
มีคนดูแคลน
“สหายผู้นี้ ข้าขอเตือนให้เจ้าอ่อนน้อมถ่อมตัวลงหน่อย ระวังปากระวังคำอย่าคุยโวเกินไป ถ้าสุดท้ายตกอยู่ในสถานการณ์น่าอับอาย เช่นนั้นก็คงขายหน้าเสียแล้ว”
มีคนพูดอย่างกำกวม
ตูม!
ถูกคนนับพันตำหนิติเตียน กลับเห็นว่าชายหนุ่มชุดดำพลันส่งเสียงหึหยัน อานุภาพน่าครั่นคร้ามและเปิดเผยแผ่กระจายออกมาทันที
ชั่วพริบตาตัวเขาดุจแปลงกายเป็นเทพองค์หนึ่ง อานุภาพทะลุฟ้า พาให้เสียงเซ็งแซ่ในที่นั้นถูกกดทับในทันใด
หลายคนหน้าซีดเผือด ตระหนกจนสั่นเทาไปทั้งตัว จิตวิญญาณหวาดผวา ในสถานที่ใหญ่ปานนั้นกลับไม่มีใครกล้าส่งเสียงอีก
“สวะกลุ่มหนึ่งอย่างพวกเจ้าก็คู่ควรมาวิจารณ์ข้าเซียวชิงเหอด้วยหรือ ถ้ากล้าพูดมากอีก จะปลิดชีพพวกเจ้าเรียงตัวเลย!” แขนเสื้อชายหนุ่มชุดดำเซียวชิงเหอโบกกระพือ ในดวงตาเต็มไปด้วยรังสีเยียบเย็นแสบตา
พูดจบเขาก็เดินไปที่กลางหอลองกระบี่
‘เจ้าหมอนี่ก็เป็นพวกร้ายกาจที่เหยียบย่างเข้าไปในขอบเขตมกุฎผู้หนึ่งเช่นกันหรือนี่’ หลินสวินออกจะประหลาดใจ อดไม่ได้ที่จะมองเซียวชิงเหอผู้นั้นอีก
“ข้านึกออกแล้ว เขาเป็นศิษย์น้องของหมีเหิงเจินผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา หนึ่งในผู้สืบทอดแกนหลักทั้งเก้าของตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา!”
ทันใดนั้นก็มีคนร้องตะโกนขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นเขา มิน่าถึงได้กล้าแข็งกร้าวปานนี้”
คนอื่นๆ ก็พากันมีตอบสนองอย่างต่อเนื่อง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อนอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนระดับเซียวชิงเหอ ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปวิจารณ์ได้จริงๆ
“หึ แต่ว่าต่อให้เป็นคนอย่างเขา เกรงว่าคิดจะทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ยากนัก!” ทั้งมีคนไม่น้อยไม่สบอารมณ์ รอดูเซียวชิงเหอกลายเป็นตัวตลก
“ข้าจำได้ว่าไม่กี่วันก่อน ศิษย์แกนหลักที่มาจากสำนักเอกอุผู้หนึ่งนามว่า ‘หลู่จงหยาง’ ก็เอ็ดตะโรว่าอยากจะทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ แต่สุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า ไม่ใช่คว้าน้ำเหลวกลับไปแล้วหรือ”
“ต่อให้เซียวชิงเหอแข็งแกร่ง ก็เกรงว่าจะพลังพอๆ กับหลู่จงหยางเท่านั้น รอดูเถอะ เขาต้องพลาดท่าเช่นกันแน่!”
หลินสวินกำลังสังเกตการณ์อยู่ ไม่ได้ใส่ใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่อยู่ใกล้เคียง
วิ้ง!
ไม่นานนักเซียวชิงเหอก็เริ่มฝ่าด่านแล้ว สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าในชั้นหนึ่งของหอลองกระบี่มีลวดลายกระบวนวิญญาณกระบวนหนึ่งสว่างขึ้น
แต่ไม่นานนักก็ดับไป พร้อมกันนั้นลวดลายกระบวนวิญญาณอีกกระบวนก็สว่างขึ้นในชั้นที่สอง
นี่หมายความว่าเซียวชิงเหอเริ่มฝ่าด่านที่สองแล้ว
แทบจะผ่านไปเพียงสิบกว่าลมหายใจเท่านั้น เขาก็เหยียบย่างลงบนชั้นหกของหอลองกระบี่แล้ว ความเร็วนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยอดตกใจไม่ได้
“ตอนนั้นหลู่จงหยางเร็วขนาดนี้ไหม”
“เหมือนจะไม่นะ…”
ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง กลั้นลมหายใจจดจ่อ
เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าสำหรับเซียวชิงเหอแล้ว หกชั้นแรกอาจจะไม่ถือว่ายากอะไร แต่ตั้งแต่ชั้นที่เจ็ดเป็นต้นไปก็จะไม่เหมือนเดิม!
ดังคาด ตอนฝ่าชั้นที่เจ็ดเซียวชิงเหอใช้เวลานานขึ้น
และตอนฝ่าชั้นที่แปด เซียวชิงเหอกลับใช้เวลาไปถึงหนึ่งในสามเค่อถึงผ่านด่าน
“เจ้าหมอนี่ใช้เวลารวมครึ่งเค่อพุ่งไปถึงชั้นที่เก้าแล้วหรือ” หลายคนทอดถอนใจ
มองจากภายนอกอาจไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ผู้ฝึกปราณที่เข้าใจอานุภาพของด่านในหอลองกระบี่อย่างแท้จริงกลับรู้ดีว่า ที่เซียวชิงเหอทำได้ถึงขั้นนี้ ก็เรียกได้ว่าน่าตกตะลึงถึงที่สุดแล้ว!
คราวนี้ขนาดผู้ฝึกปราณที่เหน็บแนมและรอดูเรื่องตลกเหล่านั้นก็พากันหุบปาก
เซียวชิงเหอสามารถฝ่าเข้าสู่ชั้นที่เก้าภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ ก็เพียงพอพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเขาแล้ว ไม่แน่ว่าแม้แต่ชั้นที่เก้าก็อาจสร้างความลำบากให้เขาไม่ได้
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวอาจจะเป็นเรื่องความเร็วช้าที่จะผ่านการทดสอบชั้นที่เก้า
ที่น่าเสียดายก็คือ สุดท้ายเซียวชิงเหอก็ไม่สามารถทำลายสถิติของอวิ๋นชิงไป๋ได้ ตอนเขาฝ่าผ่านด่านที่เก้า เวลาก็เกินหนึ่งเค่อไปมากแล้ว
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนอดใจไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอก คล้ายว่าใครๆ ก็ไม่ต้องการเห็นสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ถูกทำลายลง
แต่เมื่อเงาร่างของเซียวชิงเหอเดินออกมาจากในหอลองกระบี่ กลับไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะเย้ยเลยสักคน
กลับกัน สายตาที่พวกเขามองไปต่างเจือความนับถือ
ต่อให้เทียบกับอวิ๋นชิงไป๋ไม่ได้ แต่สามารถฝ่าผ่านชั้นที่เก้าภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ เรื่องนี้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของหอลองกระบี่ก็เรียกได้ว่าพบเห็นได้ยากแล้ว
บุคคลแห่งยุคเช่นนี้ ควรค่าให้พวกเขานับถือ
เพียงแต่สีหน้าเซียวชิงเหอกลับดูอึมครึมนัก ท่าทางไม่ยินยอมและผิดหวัง ปากพึมพำกับตัวเองว่า “ขนาดอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนข้ายังสู้ไม่ได้หรือ…”
หลายคนลอบถอนหายใจ เทียบกับใครไม่เทียบ ดันจะเทียบกับยักษ์ใหญ่ในตำนานอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ นี่เทียบกันได้ง่ายๆ หรือ
ทอดสายตามองไปยังเหล่าผู้กล้าในปัจจุบัน ใครไปเทียบกับอวิ๋นชิ่งไป๋ เกรงว่าจะเหมือนเอาตัวไปโขกกำแพง!
“หือ พ่อหนุ่ม เจ้าจะไปทำอะไรอีกน่ะ” ก็ในตอนนี้เอง ชายชราที่เฝ้าหอลองกระบี่นิ่วหน้าเอ่ยปาก
ทุกคนนิ่งอึ้ง พอมองไปก็เห็นเด็กหนุ่มที่มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติอีกคนหนึ่งหมายจะไปที่หอลองกระบี่ จึงออกจะตื่นตะลึงอย่างเลี่ยงไม่ได้
เจ้าหมอนี่คงไม่ได้มาทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ด้วยกระมัง
คนผู้นี้ย่อมเป็นหลินสวิน เมื่อถูกถามเขาก็เอ่ยตอบว่า “ฝ่าด่าน จะถือโอกาสดูเสียหน่อยว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นมีความสามารถมากมายปานไหนกันแน่”
ทุกคนฮือฮา แม้พวกเขาจะเดาได้ แต่ยังทำให้พวกเขาแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง วันนี้มันเป็นอย่างไรกัน ประเดี๋ยวเดียวก็มีคนสองคนแจ้นมาบอกว่าจะท้าทายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋ทิ้งไว้
เจ้าหมอนี่เป็นใครอีก รู้ดีว่าขนาดเซียวชิงเหอยังล้มเหลวแล้ว ยังยืนกรานไปฝ่าด่าน นี่คือเตรียมตัวมาแล้วหรือดื้อดึงไม่ฟังชาวบ้านกันแน่
เดิมทีเซียวชิงเหอคิดจะจากไป แต่เมื่อสังเกตเห็นภาพนี้เข้าก็อดหยุดเดินไม่ได้ เงยหน้ามองไปที่หลินสวิน ในดวงตาเจือไปด้วยความแคลงใจ
“ขอถามหน่อยว่าสหายมาจากสำนักใดกัน” เขาอดไม่ได้เอ่ยถาม
“ไร้สำนักไร้พรรค” หลินสวินกล่าว
สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดไปในทันที มีคนอดไม่ได้พูดเหน็บแนมว่า “พี่ชาย เจ้ามาเล่นตลกหรือ ทำเช่นนี้ไม่ประมาณตนเกินไปแล้วกระมัง”
ผู้อื่นต่างแย้มยิ้ม สีหน้าเต็มไปด้วยแววหยอกล้อ เด็กหนุ่มที่ไร้สำนักไร้พรรคผู้หนึ่ง กลับกล้ามาท้าทายสถิติที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของหอลองกระยี่ นี่ช่างไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
ในสายตาของพวกเขา ไร้สำนักไร้พรรค ก็หมายความว่าไม่มีอาจารย์ถ่ายทอดวิชาและรากฐาน ย่อมเป็นบุคคลชั้นยอดไม่ได้แน่
มีเพียงเซียวชิงเหอที่ในใจกระเพื่อมไหว สายตาที่มองไปยังหลินสวินเจือไปด้วยแววใคร่ครวญ
“ไปเถอะๆ หวังว่าเจ้าจะไม่หลงผิด รีบถอยหลังเมื่อรู้ว่ายากทำได้ หาไม่แล้วจะขายหน้ายกใหญ่” ชายชราที่เฝ้าหอลองกระบี่พูดพลางโบกมือ แม้ไม่ถือหางหลินสวินแต่ก็รั้งตัวไว้ไม่ได้ นี่เป็นกฎ
“ขอบคุณมาก” หลินสวินพูดพลางเดินเข้าไปในหอลองกระบี่
วิ้ง!
ชั่วพริบตา ประหนึ่งเข้าไปในห้วงเวลาอีกห้วงหนึ่ง ทุกอย่างเป็นสีขาวเวิ้งว้าง ในอากาศถาโถมไปด้วยกลิ่นอายผนึกกระบวนวิญญาณ
สวบ!
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น มือถือกระบี่วิญญาณ กลิ่นอายครัดเคร่ง แผ่จิตสังหารไพศาลไร้เทียมทานออกมา
นี่ก็คือ ‘นักรบกระบี่’ ที่ควบคุมด่านนี้ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริงๆ แต่เป็นการรวมตัวจากภาพมายาคลื่นผนึกคลุมเครือ
ทว่าพลังต่อสู้ไม่อาจดูแคลนได้ อีกทั้งพลังต่อสู้ของนักรบกระบี่ในแต่ละชั้นก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ฆ่า!” ทันทีที่ปรากฏตัว นักรบกระบี่ก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ เสียงโครมดังขึ้นครั้งหนึ่ง นักรบกระบี่ผู้นั้นก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาด ร่างกายแปรสภาพเป็นละอองแสงเต็มฟ้าฟุ้งกระจายหายไป
วิ้ง!
เงาร่างหลินสวินหายตัวไป เคลื่อนมาถึงชั้นที่สอง
ในขณะเดียวกันมีนักรบกระบี่ผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น พลังไม่ด้อยกว่ากำลังคนชั้นยอดในระดับจิตผสานวิญญาณแล้ว
แต่สำหรับหลินสวิน สิ่งนี้มีความสามารถน้อยนิด เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นนักรบกระบี่ผู้นี้ก็ถูกหลินสวินสังหารด้วยการสะบัดแขนเสื้อ
ในเวลาต่อมาหลินสวินก็พุ่งไปถึงชั้นที่หกของหอลองกระบี่ด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ…
“เจ้าหมอนี่ว่องไวจริง” นอกหอลองกระบี่ หลายคนต่างเอ่ยปากอย่างตื่นตะลึง
พวกเขาสังเกตได้อย่างฉับไวว่าความเร็วที่หลินสวินฝ่าหกชั้นแรกคราวนี้ เหมือนจะเร็วกว่าเซียวชิงเหอเมื่อกี้เล็กน้อย
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าดวงตาของเซียวชิงเหอฉายแววประหลาดยากจับได้
เขาเห็นอย่างชัดเจน ทั้งตัดสินออกมาอย่างแม่นยำ ว่ายามหลินสวินฝ่าหกด่านแรก เร็วกว่าเขาเล็กน้อยจริงๆ
แน่นอนว่าเพียงแค่เล็กน้อย ต่างกันราวชั่วกะพริบตาเท่านั้น ยังไม่ถึงกับทำให้เซียวชิงเหอตื่นตะลึง