Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1044 ปากเปราะโดยกำเนิด
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1044 ปากเปราะโดยกำเนิด
ตอนที่ 1044 ปากเปราะโดยกำเนิด
ทันทีที่หลินสวินกล่าวออกไปก็ทำให้สีหน้าฉู่เป่ยไห่พลันอึมครึม เอ่ยเย็นชา “หลินสวิน ด้วยคำพูดนี้ ข้าจะให้เจ้าตายอย่างอนาถ!”
ส่วนในดวงตาจินมู่อวิ๋นฉายแววเยียบเย็นดุจกระบี่ วาจานี้ของหลินสวินเจือความหยามเหยียด ชัดเจนว่าไม่เคยเห็นเขาในสายตา
“ความจองหองต้องจ่ายค่าตอบแทน ถึงตอนนั้นข้าจะใช้เลือดสดๆ ของเจ้ามาอุ่นสุรา ใช้วิญญาณเจ้ามาเช็ดกระบี่ข้า!”
จินมู่อวิ๋นกล่าวเน้นทีละคำ ทุกคำไอสังหารแผ่ซ่าน ทำให้ทั้งตัวเขามีพลานุภาพเหนือฟ้าดิน พาให้คนไม่น้อยสีหน้าเปลี่ยนไปบ้าง
หลินสวินเอ่ยถามราวไม่รู้สึกอะไร “คนทั่วไปบอกว่าเจ้าคืออวิ๋นชิ่งไป๋คนที่สอง เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า เคยเอาชนะสถิติอวิ๋นชิ่งไป๋มาก่อนหรือไม่”
จินมู่อวิ๋นนัยน์ตาหดรัดลงเล็กน้อย หว่างคิ้วปรากฏความอึมครึมวูบหนึ่งอย่างยากสังเกตเห็น
แต่สีหน้าทุกคนในที่นั้นกลับเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น
แท้จริงคำตอบไม่จำเป็นต้องเดาแต่แรก หากจินมู่อวิ๋นเคยทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋ทำไว้ในสิบสองหอ เกรงว่าคงปั่นป่วนนครหยกขาว เป็นที่รู้กันทั่วนานแล้ว
แต่เห็นชัดว่าเขาไม่เคย
ปัจจุบันคนที่ทำลายสถิติทั้งห้าของอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ ก็คือหลินสวิน!
“นั่นเป็นเพียงสถิติที่ศิษย์พี่อวิ๋นสร้างเมื่อสิบปีก่อน เจ้าเอาอะไรมาลำพอง” จินมู่อวิ๋นกล่าวเย็นชา
“ไม่ถึงขั้นลำพอง ข้าแค่กำลังคิดว่า แม้แต่สถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนเจ้ายังทำลายไม่ได้ มีสิทธิ์อะไรมาคุยโวไม่กระดากปาก”
กล่าวถึงตอนท้ายเสียงหลินสวินเจืออานุภาพไร้รูป เสียงดั่งฟ้าคะนองสะเทือนข้างหูจินมู่อวิ๋นเต็มๆ ทำจนหัวใจเขากระตุกเล็กน้อยอย่างยากสังเกตเห็น สีหน้าวูบไหวไม่หยุด
“อย่ามาโอหัง!”
“หลินสวิน เจ้าคงไม่โง่ถึงขั้นคิดว่าทำลายสถิติศิษย์พี่อวิ๋นเมื่อสิบปีก่อนได้ ก็ไม่ต้องเกรงกลัวฟ้าดินกระมัง”
“อวดดีเกินไปแล้ว รนหาที่ตาย!”
ข้างกายจินมู่อวิ๋น เหล่าผู้กล้าสำนักกระบี่เทียมฟ้ามากมายพากันส่งเสียงประณามหลินสวิน
หลินสวินหันไปกล่าวกับอาหลู่ “ช่วยหน่อยสิ”
“ช่วยอะไร” อาหลู่ชะงักไปครู่หนึ่ง
“ด่าพวกเขา” หลินสวินกล่าว “ไม่ใช่ว่าในด้านวิชาด่า เจ้าสามารถทำให้เผ่าเสียงคำรามอกสั่นขวัญแขวนได้หรอกรึ ตอนนี้ได้เวลาแสดงฝีมือของเจ้าแล้ว”
อาหลู่มุมปากกระตุก โวยว่า “เทพมารหลินเจ้านี่มัน! เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร หญิงปากร้ายรึ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเปิดฉากด่า เจ้าพวกนี้ไม่มีคุณสมบัติพอให้ข้าด่าด้วยซ้ำ ไม่ดูศีลธรรมพวกเขาเสียบ้าง ด่าพวกเขาไปคงได้เสนียดปากข้า”
หลินสวินอดเริงร่าไม่ได้ อาหลู่เป็นตัวเลือกที่เหมาะแก่การด่ากราดดังคาด ทันทีที่เอ่ยปากก็บรรลุผลด่ายกกลุ่ม ฝีปากช่างร้ายกาจนัก
ทางด้านสำนักกระบี่เทียมฟ้านั่น สีหน้าทุกคนรวมถึงจินมู่อวิ๋นต่างดำทะมึน เจ้าคนเถื่อนนี่บอกว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติพอให้มันด่ารึ
จะรังแกกันเกินไปแล้ว!
อาหลู่รีบร้อนอธิบาย “พวกเจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้ด่าพวกเจ้า ข้าแค่ด่าว่าพวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอให้ข้าด่า พวกเจ้าฟังรู้เรื่องไหม”
พรืด!
ผู้คนไม่น้อย ณ ที่นั้นต่างกลั้นหัวเราะไม่อยู่
พวกจินมู่อวิ๋นโกรธจนหน้าเขียวแล้ว เดิมทีพวกเขาคิดว่าหลินสวินขี้ขลาดจึงขอความช่วยเหลือ มีหรือจะคิดว่าจะให้คนป่าไม่กลัวอะไรคนหนึ่งมาประชันฝีปากกับพวกเขา… ซ้ำวาจานั่นช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว
“เอ่อ ดูท่าพวกเจ้าจะเข้าใจผิดแล้ว ข้าน่ะรังเกียจและเดียดฉันท์พวกเจ้ามาก แต่ไม่ได้มีเจตนาด่าพวกเจ้า ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีสิทธิ์โดนข้าด่าได้ตามสะดวก ตอนนี้พวกเจ้าน่าจะเข้าใจแล้วกระมัง”
อาหลู่อธิบายอย่างอดทน
แต่ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ เสียงหัวเราะในลานก็ยิ่งดังขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ แม้แต่หลินสวินและเซียวชิงเหอยังทอดถอนใจโดยพร้อมเพรียง อะไรเรียกว่าราชันปากเปราะโดยกำเนิด
อาหลู่นี่แหละใช่!
บางคนตกตะลึงท่าทางราวเห็นผีตัวเป็นๆ เจ้าคนป่านี่จะต้องเป็นตัวประหลาดยั่วโมโหคนได้อย่างง่ายดาย ด่าคนโดยไม่มีคำหยาบ แต่ราวกับดาบเชือดเฉือนใจ
“พอแล้ว!”
จินมู่อวิ๋นเองก็โกรธแล้ว หน้าดำราวก้นหม้อ ทั่วร่างมีไอสังหารพรั่งพรูชวนประหวั่น ทำให้บรรยากาศในลานเปลี่ยนเป็นกดดันกะทันหัน
“พวกเจ้ารอข้าก่อนเถอะ!” กลางนัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยประดาบคมกริบน่ากลัว อำมหิตหาใดเปรียบ เห็นชัดว่าเดือดดาลเข้าแล้วจริงๆ
อาหลู่หมายจะพูดอะไรก็ถูกหลินสวินขวางไว้ เวลานี้พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์
“เฮ้อ ทำไมเรื่องกลายเป็นอย่างนี้ไปได้” อาหลู่ถอนใจครวญ
“เพราะเจ้าปากเปราะ” เซียวชิงเหอกล่าวตอบ
จากนั้นทั้งคู่ส่งสัญญาณวางมวยรางๆ หลินสวินได้แค่เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย ยุ่งจนไม่อาจปลีกตัว
ละครตลกนี้ชั่วพริบตาก็พ้นผ่าน ไม่ว่าอย่างไรการมาถึงของพวกจินมู่อวิ๋นก็ทำให้ผู้กล้าแต่ละสำนักในนั้นต่างตระหนักได้ว่า เทพมารหลินซึ่งปรากฏตัวที่นี่คราวนี้ ต้องชักนำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่อีกแน่!
ทว่าไม่รอให้หลินสวินได้หยุดพัก เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมากลับทำให้เขามุ่นคิ้วไม่หยุดอย่างอดไม่ได้
เพราะมี ‘คนคุ้นเคย’ อีกไม่น้อยมาแล้ว
อวี่หลิงคงในชุดหยก ศีรษะสวมเกี้ยวขนนก เงาร่างสูงอวลแสงมรรคเปล่งประกาย ดูประหนึ่งภาพฝันมายา เมื่อมาถึงในลานก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วน
ข้างกายเขายังตามมาด้วยเหล่าผู้กล้าแดนพิสุทธิ์อมตะส่วนหนึ่ง ทันทีที่มาถึงก็ดึงดูดความสนใจผู้คน
แต่สายตาอวี่หลิงคงกลับมองไปทางหลินสวินคนเดียว สีหน้าเฉยชาอำมหิต ทิ้งวาจาแผ่ไอสังหารประโยคหนึ่ง
“หลินสวิน ความแค้นครั้งก่อนคราวนี้ต้องตอบแทนสิบเท่า!”
วาจาเดียวตะลึงทั้งลาน
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง ไม่ตระหนกวิตก
ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์สมุทรครามแดนฐิติประจิมก็มาด้วย ผู้นำคือชายหนุ่มนามหลี่ชิงผิง เมื่อเขาสังเกตเห็นการมีอยู่ของหลินสวินก็เอ่ยถามประโยคเดียว “น้องชายข้าหลี่ชิงฮวนถูกเจ้าสังหารใช่หรือไม่”
หลินสวินพยักหน้า
หลี่ชิงผิงกล่าวคำว่า ‘ดี’ ติดๆ กันสามครั้ง ในน้ำเสียงเผยไอสังหาร ทำให้ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยขนพองสยองเกล้า
ไม่นานชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัว ทั่วร่างแผ่กระแสเย็นเยียบเสียดกระดูก
เขาประเมินหลินสวินวูบหนึ่ง มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มเร้นลับ เอ่ยราบเรียบ “ข้าชื่อโก่วเหยียนเจิน ครั้งนี้โก่วซวีสิงฝากข้ามาสังหารเจ้า ถึงแม้ข้าไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่สุดท้ายโก่วซวีสิงก็เป็นทายาทคนหนึ่งของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬของข้า อีกทั้งผู้แข็งแกร่งเผ่าข้าที่ตายในมือเจ้าก็ไม่ใช่น้อย ข้าจึงได้แต่รับปากด้วยจำยอม”
โก่วเหยียนเจินถูกมองว่าเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอด ‘บั่นหมื่นเศียร’ ของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ทั้งยังเป็นมารสังหารที่ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนหน้าเปลี่ยนสีเมื่อกล่าวถึง!
หลังจากเขาปรากฏตัว ผู้แข็งแกร่งแต่ละสำนักต่างเผยทีท่าบ้างหวาดกลัว บ้างรังเกียจ
แต่เมื่อโก่วเหยียนเจินหันหัวปลายทวนจ่อหลินสวิน สีหน้าทุกคนต่างเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก ถูกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬหมายตา จุดจบคงไม่ดีสักเท่าไหร่
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินแค่ยิ้มกล่าว “เจ้ามาได้จังหวะ ช่วงนี้ข้ากำลังขาดเนื้อหมาทมิฬมาบำรุงพอดี”
โก่วเหยียนเจินยิ้มทะมึน ทำมือปาดคอใส่แล้วไม่สนใจหลินสวินอีก
แต่ตอนนี้สายตามากมายที่มองหลินสวินต่างเจือความสับสน บ้างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น บ้างสงสารเวทนา
แน่นอนว่าในหมู่คนรุ่นเยาว์แดนชัยบูรพาช่วงนี้ หากกล่าวถึงผู้ที่ถูกจับตามองที่สุด หลินสวินจัดเป็นหนึ่งในนั้นโดยไม่ต้องสงสัย
แต่เช่นเดียวกัน ความเด่นผงาดของเขากลับตามมาด้วยคลื่นลมและความยุ่งยากนับไม่ถ้วน
ก็เหมือนการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ตอนนี้ ชักนำมาซึ่งสายตาอันเป็นอริจากบุคคลแห่งยุคมากมาย ทั้งฉู่เป่ยไห่ จินมู่อวิ๋น หลี่ชิงผิง อวี่หลิงคง โก่วเหยียนเจิน ท่าทีที่ไม่มีการเกรงใจเช่นนี้ ต้องทำให้หลินสวินประสบหายนะแน่!
ไม่ว่าใครเห็นภาพนี้ก็ต้องเกิดความคิดเช่นนี้
“ที่แท้เจ้าเคยล่วงเกินคนมากขนาดนี้” อาหลู่แปลกใจยิ่ง
“เจ้าคิดว่าฉายาเทพมารของเขาเรียกกันส่งเดชรึ” เซียวชิงเหอกล่าวไม่สบอารมณ์
แท้จริงในใจเขากังวลยิ่ง สถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ถือว่าเหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน เห็นหลินสวินถูกเพ่งเล็งเช่นนี้กับตา ต่อให้เขาอยากสงบใจยังยากนัก
มีเพียงหลินสวินยิ้มค้าน กล่าวว่า “แค่อริเก่าบางส่วนเท่านั้น พวกเขากล้ากระโดดออกมาก็เพียงพิสูจน์ได้เรื่องหนึ่ง คือพวกเขายังไม่เข็ด ลืมบทเรียนแสนเจ็บปวดในอดีตไปหมดแล้ว”
น้ำเสียงสบายอารมณ์กลับเจือความเยียบเย็นสายหนึ่ง
ถูกเพ่งเล็งเช่นนี้มีหรือเขาจะไม่โกรธ หากไม่ถูกจำกัดด้วยระเบียบมหามรรคของเขตหวงห้ามไร้มรณะ เขาคงไม่มีทางอดกลั้นต่อไปเช่นนี้แน่!
เขาลอบตัดสินใจกับตัวเอง หลังออกจากที่นี่จะต้องฉวยโอกาสกำจัดเจ้าพวกนี้ให้หมด!
“ต้องการให้ช่วยไหม” ทันใดนั้นมารกระบี่เยี่ยเฉินลืมตาตื่นจากสมาธิ ไม่สนสายตาผิดแปลกโดยรอบ ถามไปตรงๆ กับหลินสวิน
บรรยากาศในที่นั้นพลันเปลี่ยนแปลง สีหน้าผู้แข็งแกร่งอย่างฉู่เป่ยไห่ อวี่หลิงคง จินมู่อวิ๋นก็เปลี่ยนตามไปด้วย
หากมารกระบี่เยี่ยเฉินสอดมือเข้ามาคงยุ่งยากอยู่บ้าง
เหนือความคาดหมายของทุกคน หลินสวินเอ่ยง่ายๆ “ไม่จำเป็น รอจัดการพวกเขาแล้ว หากเจ้าอยากร่ำสุราจริง ข้าก็ไม่ถือสาที่จะเมาหัวราน้ำกับเจ้า”
เยี่ยเฉินเองก็อึ้งไปเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะปฏิเสธตนอย่างหมดจดชัดเจนเช่นนี้ จากนั้นมุมปากเขาระบายยิ้ม กระทั่งต่อมาถึงกับกลั้นไม่อยู่ หัวเราะลั่นออกมา เสียงสะเทือนฟ้าดิน
“ดี! แต่ก่อนเมาหัวราน้ำ เจ้าน่ะต้องรอดให้ได้ก่อน!” เยี่ยเฉินกล่าว
“เจ้าเตรียมเหล้าดีๆ รอไว้ก็พอ” หลินสวินยิ้มน้อยๆ
“โอหัง!” ฉู่เป่ยไห่แค่นเสียงเย็นชา
พวกจินมู่อวิ๋น อวี่หลิงคงเองต่างยิ้มเยาะ พวกเขาไม่เชื่อว่าคราวนี้หลินสวินจะสามารถรอดไปได้
“คนของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณมาแล้ว”
เวลานี้มีคนส่งเสียง สายตาไม่น้อยต่างเปลี่ยนเป็นผิดแปลกยิ่งกว่าเดิมทันที
เพราะหลายวันก่อนหลินสวินเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ที่แคว้นหมึกขาว ไม่เพียงทำซูคงราชันที่ก้าวสู่อมตะเคราะห์ขั้นสองบาดเจ็บหนักจนล้มลุกคลุกฝุ่น ยังประกาศศักดาด้วยการแขวนผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณมากมายเหนือกำแพงเมืองเนินยุทธ์
นี่เท่ากับตบหน้าแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ทำเอาสำนักโบราณแห่งนี้ระเบิดคลั่ง แทบอยากทึ้งเอ็นเถือหนัง ทำลายกระดูกโปรยเถ้าถ่านหลินสวิน
บัดนี้ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณมาเข้าร่วมกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ แค่คิดก็รู้ว่าคงไม่มีทางมีสีหน้าดีๆ ให้หลินสวินเท่าไรนัก
ทว่าหลินสวินหาได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เวลานี้เขาเหลือบสายตามองไปเช่นกัน ในใจปรากฏความตื่นเต้นเกินอธิบายเสี้ยวหนึ่งอย่างยากจะได้เห็น
ไม่นานร่างงามสูงโปร่งที่คุ้นเคยสะท้อนเข้ามาในครรลองสายตา
คนผู้นั้นสวมชุดกระโปรงม่วง นัยน์ตากระจ่างฟันขาว หน้าตาราวภาพวาด ผมดำขลับทั้งศีรษะใช้ปิ่นไม้เขียวอันหนึ่งเกล้าเป็นมวยไว้เบื้องหลัง เผยใบหน้าผุดผ่องที่งดงามทุกความรู้สึก
ท่าทางนางสง่างาม ระหว่างขยับเคลื่อนมีความองอาจเฉิดฉายเป็นของตน งามโดดเด่นต่างจากคนอื่น
จ้าวจิ่งเซวียน!
เพียงปราดเดียว ในหัวหลินสวินกลับปรากฏเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยประสบกับจ้าวจิ่งเซวียนในอดีตอย่างไม่อาจระงับ ทำเอาจิตใจเขาเกิดระลอกคลื่นแถบหนึ่ง ความรู้สึกประหลาดแผ่ขยายตามมา
ความสง่างามของนางยังคงเดิม กระจ่างผุดผ่องเหมือนเมื่อก่อน รูปโฉมยิ่งเหนือกว่าแต่ก่อน
ทว่าจากกันหลายปี บัดนี้พบเจอกันอีกครั้ง อีกฝ่าย… จะยังเป็นคนที่ตนคุ้นเคยในปีนั้นหรือไม่
…………..