Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1067 กระบี่ไม่พันผูกกับดาบดุจหวนคืน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1067 กระบี่ไม่พันผูกกับดาบดุจหวนคืน
การต่อสู้ปะทุขึ้นบนสนามประลอง
ไม่ว่าจะเป็นมารกระบี่เยี่ยเฉินหรือดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียน ต่างรู้ถึงความน่ากลัวของคู่ต่อสู้เป็นอย่างดี จึงไม่หยั่งเชิงหรือออมมือ ล้วนโจมตีเต็มกำลัง
ชิ้ง!
กระบี่โบราณสีม่วงเล่มหนึ่งส่งเสียงกังวานทะลุเมฆา เยี่ยเฉินเหยียบย่างเข้าไปในห้วงอากาศ ควบคุมกระบี่เคลื่อนไหว อานุภาพทั้งร่างดุจภูเขาไฟที่กำลังปะทุ คล้ายจะแผดเผาใต้หล้าให้วอดวาย
กระบี่นามว่า ‘ไม่พันผูก’ เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ ไอมงคลพวยพุ่ง เป็นยอดศาสตรามรรคราชัน
ไม่พันผูก มีนัยว่าไม่ผูกติดกับกฎระเบียบใดๆ ทำได้ดังใจนึก ฟาดฟันเครื่องกีดขวางให้แตกหัก
กระบี่นี้เหมือนดั่งวิถีกระบี่ที่เยี่ยเฉินแสวงหา… ดังใจนึก
เมื่อกระบี่อยู่ในมือ เยี่ยเฉินราวราชันวิถีกระบี่องค์หนึ่งมาเยือน ปราณกระบี่สีม่วงแผ่พุ่งออกมา เบื้องบนฟันนภาคราม เบื้องล่างฟันเก้าขุมนรก มีอานุภาพไร้เทียบเทียม
เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นทุกคนก็หน้าเปลี่ยนสี ดวงตาและจิตวิญญาณต่างมีความรู้สึกเสียดแทงเหมือนถูกเชือดเฉือน เจตกระบี่สีม่วงนั่นไพศาลโชติช่วงเกินไปแล้ว!
ทว่าเซี่ยวชางเทียนก็ไม่น้อยหน้า
กลิ่นอายของเขาประหนึ่งดวงอาทิตย์หนึ่งเดียวสาดแสงเหนือเวิ้งฟ้า เผยคมดาบจนหมดสิ้น รังสีแผ่ไปหมื่นจั้ง ท่วงท่าสง่าภาคภูมิ สำแดงท่าทีผงาดผยองออกมาจนหมดสิ้น
ดาบของเขาก็เหมือนตัวเขา แหลมคม เจิดจ้า ประหนึ่งม่านน้ำตกธารดาราสีขาวปลอดสุดสายตาสายหนึ่ง โจมตีห้วงอากาศ ม้วนตลบจักรวาล อหังการหาใดเทียบ
นามดาบ ‘ดุจหวนคืน’ นำความหมายมาจากมองความตายดั่งหวนคืน เพียงแค่ชื่อก็ชวนสะท้านจิตวิญญาณ ไม่แน่อาจเหมือนวิถีดาบนี้ อหังการถึงที่สุด ไม่มีความคิดหลบหนี!
เคร้งๆๆๆ!
เสียงปะทะน่าหวาดหวั่นดังขึ้น เหนือสนามประลองทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ราวกับราชันแห่งกระบี่กับนายเหนือหัวแห่งดาบพบกัน ชั่วครู่เดียวปราณดาบก็พาดขวาง ปราณกระบี่พุ่งทะลวงเมฆา สภาพการณ์สะท้านโลก
นี่ย่อมเป็นการประลองที่ตระการตาและมีสีสันที่สุดครั้งหนึ่งในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ดาบคำรามกระบี่กู่ก้อง คล้ายมังกรคำรามเหนือสี่สมุทร ปักษาเพลิงกู่ร้องทั่วแปดทิศ!
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
ในที่นั้นผู้ชมนับไม่ถ้วนสูดหายใจเย็น ดวงตาเบิกกว้าง จดจ้องสนามประลองนิ่ง จิตวิญญาณล้วนถูกดึงดูด ลืมสิ้นทุกสิ่งพร้อมกับที่การต่อสู้ดำเนินไป
แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสยังตื่นตาเป็นที่ยิ่ง เพียงครู่เดียวก็ทอดถอนใจ ครุ่นคิดถึงสมัยพวกเขายังเยาว์ ต่างเทียบทั้งสองคนตรงหน้านี้ไม่ติด!
“แดนดาราอุดรถึงกับมีอัจฉริยะสองคนเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น คล้ายดาวฤกษ์คู่ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ในสงครามมหายุคหลังจากนี้ก็ต้องมีตำแหน่งแห่งที่ของพวกเขาทั้งสอง”
มีคนทอดถอนใจ ก่อให้เกิดเสียงตอบรับมากมาย
‘กระบี่ของเยี่ยเฉินดุจราชันมาเยือน มีอานุภาพผงาดกร้าวเหนือภูผาธารา เป็นราชันปกครองใต้หล้า แต่ไม่ถูกกระบวนท่ากระบี่พันธนาการ เคลื่อนไหวได้ดังใจนึก วิถีกระบี่เช่นนี้ช่างยอดเยี่ยม’
หลินสวินใคร่ครวญในใจ จิตใจของเขาก็ถูกดึงดูดเช่นกัน
การต่อสู้นี้เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์แรงกล้าสองดวงช่วงชิงความเป็นหนึ่ง ทำให้เขาก็รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน พลังขับเคลื่อนแผ่ขยาย มุ่งหมายจะเข้าไปต่อสู้
‘ดาบของเซี่ยวชางเทียนมีอานุภาพอหังการยิ่งยง โอหังราวอัคคี ดุจดั่งเจ้าเหนือหัวกวาดล้างโลกา หากไม่มีพลังสภาวะจิตแกร่งกล้า ยังไม่ทันต่อสู้ก็คงถูกพลานุภาพของเขาทำให้หวาดหวั่น’
ดวงตาดำของหลินสวินมีประกายครุ่นคิดผุดขึ้นมา แม้ใจจะจดจ่อต่อรายละเอียดของการต่อสู้อยู่ ในสมองกลับสันนิษฐานอย่างว่องไวว่าหากเปลี่ยนเป็นตัวเองประลองกับทั้งสอง ควรจะทำอย่างไรดี
คิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดแน่นขึ้น
ไม่อาจะเทียบได้!
เพราะพลังยุทธ์ของสองคนนี้ เพียงอาศัยการวิเคราะห์ยากจะตัดสินตื้นลึกหนาบาง ถึงขั้นบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ เก็บปล่อยได้ดังใจ
คิดจะเอาชนะพวกเขา มีเพียงไปสู้ด้วยตัวเองสักยกเท่านั้น!
เพียงอาศัยการสันนิษฐานและเปรียบเทียบย่อมไม่มีทางได้คำตอบที่ถูกต้อง
คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็สูดหายใจลึก สลัดความคิดฟุ้งซ่านในสมองทิ้งไป พร้อมกันนั้นจิตวิญญาณก็แปรเปลี่ยนเป็นผ่องแผ้วว่างเปล่า จิตใจราบเรียบดั่งบ่อน้ำโบราณ ประหนึ่งจันทร์เพ็ญสมุทรคราม โปร่งใสไร้ฝุ่นควัน
ยามดูการประลองบนสนามประลองอีกครั้ง สภาวะจิตของหลินสวินก็สงบนิ่งเหนือธรรมดา ราบเรียบไม่ไหวติง
แม้เซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินจะแข็งแกร่งจนสามารถทำให้ทั้งโลกจับตามอง แต่… ยังไม่อาจส่งผลต่อจิตใจเขาได้!
สามร้อยกระบวนท่า
หกร้อยกระบวนท่า
เก้าร้อยกระบวนท่า
……
บนสนามประลอง สถานการณ์การต่อสู้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ประหัตประหารจนมืดฟ้ามัวดิน แยกแยะได้ยาก มีแต่เสียงกระทบกันของดาบกระบี่ฟาดฟันไปทั่ว
ดุจอสนีบาตฟาดลงกลางฟ้าคราม เหมือนเสียงกลองเทพสะเทือนลั่นสิบทิศ
เสียงมรรค รัศมีเทพ ปรากฏการณ์ประหลาด… ภาพน่าตื่นตาทั้งมวลปรากฏขึ้น ขับเน้นจนทั้งสองเหมือนเทพเทวากำลังห้ำหั่นกัน สำแดงการต่อสู้ไร้เทียมทาน
นี่เป็นการประลองที่สมน้ำสมเนื้อครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าใครหมายจะกำชัยก็ดูยากลำบากเป็นพิเศษ!
ในที่นั้นเงียบเชียบไร้เสียงอยู่ก่อนแล้ว ทุกสายตาต่างถูกดึงดูด
พวกที่พลังอ่อนแอหน่อยบางคน เพราะจิตใจผันผวนปรวนแปรมากเกินไป ได้รับการรบกวนจากการประลองครั้งนี้ ถึงกับอดไม่ได้กระอักเลือดออกมา พลังขับเคลื่อนแทบถูกสะท้อนกลับ
ทั้งยังมีผู้ฝึกปราณที่หยั่งรู้โดยพลัน ตักตวงเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อย หยั่งถึงมรรคได้ ยินดีปรีดาเหมือนเสียสติระหว่างที่ดูการต่อสู้
การประลองครั้งหนึ่งกลับทำให้เรื่องมากมายเช่นนี้เกิดขึ้นนอกสนาม นี่ย่อมดูน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
ยิ่งเห็นได้ว่าการประลองยกนี้สะท้านโลกและเหนือธรรมดาปานไหน!
หากอยู่ในโลกภายนอก ต้องก่อให้เกิดความสะเทือนเลือนลั่นครั้งใหญ่ในสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณแน่
จนกระทั่งการต่อสู้ดำเนินไปถึงหนึ่งพันกว่ากระบวนท่า เซี่ยวชางเทียนกับเยี่ยเฉินก็หายใจหอบบ้างแล้ว อีกทั้งร่างกายต่างได้รับบาดเจ็บ
แต่จิตต่อสู้ของทั้งสองน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อประจัญบานกันขึ้นมาไม่มีเค้าลางอ่อนแรง กลับยิ่งดุดันและแกร่งกล้า
แต่ที่เหนือความคาดหมายคือ ไม่ทันรอให้ทั้งสองตัดสินแพ้ชนะ ข้ารับใช้วิญญาณที่ยืนอยู่นอกสนามพลันส่งเสียงขัดการประลองครั้งนี้
“หยุดมือเถิด สู้กันต่อไปก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้บาดเจ็บกันทั้งคู่”
เมื่อข้ารับใช้วิญญาณพูดออกมาก็มีผลทันที เสียงพูดเพิ่งเงียบลง เซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินที่อยู่ในสนามประลองก็ถูกแยกออกจากกัน เคลื่อนที่ออกไปจากสนาม กลับสู่ยอดเขาของแต่ละคน
นี่ทำให้ทุกคนงุนงง ยังทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ
กำลังประลองอยู่ดีๆ กลับถูกขัดเข้าอย่างจัง นี่จะทำให้คนไม่หนำใจเกินไปแล้ว
แม้ผู้ฝึกปราณบางคนไม่พอใจอยู่ในใจ ทว่ายามเผชิญหน้ากับข้ารับใช้วิญญาณที่ประหนึ่งทวยเทพผู้นั้น กลับกล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด
หลินสวินกลับลอบพยักหน้า เขาก็ดูออกว่าแม้ต่อสู้ต่อไปอีก ทั้งสองก็ย่อมไม่รู้แพ้ชนะ เพราะพลังต่อสู้ของทั้งสองคนแทบจะอยู่ในระดับเดียวกัน แม้มีความแตกต่าง แต่ก็เป็นความแตกต่างเพียงน้อยนิดถึงที่สุด ไม่อาจส่งผลต่อการแพ้ชนะได้เลย
‘หาได้ยากนัก สองคนนี้ต้องให้ความสำคัญ ไม่อาจละเลยได้’
ที่ตีนเขา เยี่ยนจั่นชิวก็ทอดถอนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนรุ่นเยาว์รุ่นนี้ผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วเกินไปแล้ว เขารู้สึกได้ถึงความกดดันที่จะถูกไล่ทันจากทั้งเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉิน
“เซี่ยวชางเทียน อย่างไรนี่ก็เป็นเพียงการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ไม่อาจสู้กันอย่างสาแก่ใจได้อยู่ดี ถ้ามีความกล้า รอหลังจากออกไปพวกเราไปตัดสินแพ้ชนะอีกที่หนึ่งเป็นอย่างไร”
ที่ยอดเขา เยี่ยเฉินกล่าวเสียงกังวาน ดังก้องไปถึงชั้นเมฆา
“ได้สิ กลัวแต่ถึงเวลาเจ้าจะไม่กล้ามาตามนัด” เซี่ยวชางเทียนหัวเราะเสียงดัง เหิมเกริมและจองหอง
เยี่ยเฉินเลิกคิ้ว จากนั้นก็ยิ้มหยัน “อ้อ? ยามข้ากำราบเจ้า หวังว่าเจ้ายังกำเริบเสิบสานเช่นนี้ได้!”
ทั้งสองคนเหมือนศัตรูเก่าแห่งโชคชะตาคู่หนึ่ง ช่วงชิงแก่งแย่งตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่มีใครยอมใคร พาให้ทุกคนตกตะลึงและทอดถอนใจ
ซ่า!
ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ฝนวิญญาณเทพงดงามเพริศแพร้วสองสายก็เทลงมาจากฟากฟ้า อาบชโลมพวกเซี่ยวชางเทียนไว้ภายใน
นี่เป็นการปฏิบัติที่มีเพียงยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่แข่งขันช่วงชิงสี่อันดับแรกเท่านั้นถึงได้รับ เพื่อไม่ให้กระทบกับการประลองต่อๆ ไป
……
ยกที่สอง ถึงตาหลินสวินออกโรงแล้ว
ส่วนคู่ต่อสู้ของเขาก็คือ กระบี่พรหมราชจินมู่อวิ๋น ซึ่งเป็นผู้นำสิบสามกระบี่แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า!
เมื่อได้เห็นว่าสองคนนี้จะประลองกัน ผู้ชมที่อยู่นอกสนามต่างส่งเสียงครึกโครมขึ้นมา
“เทพมารหลิน ก่อนหน้านี้เจ้าเคยคุยโวไว้ว่าจะเอาชนะจินมู่อวิ๋นให้ได้ภายในสามกระบวนท่า เจ้าอย่าคืนคำเด็ดขาดเชียว!”
มีคนร้องตะโกน รอดูเรื่องสนุกพลางพูดสุมไฟ
“ใช่ เจ้าพูดแล้วว่าถ้าสามกระบวนท่ายังไม่ชนะก็ถือว่าเจ้าแพ้ ข้าจะรอดูเสียหน่อยว่าเทพมารหลินเช่นเจ้าเอาความกล้าที่ไหนมาคุยโตเช่นนี้”
ในลานมีเสียงตะโกนไม่ขาดสาย ต่างกลัวเพียงใต้หล้าไม่โกลาหล รอดูหลินสวินเป็นตัวตลก
อย่างไรเสียเมื่อกี้ได้เห็นการประชันพลังระหว่างยอดคู่ดาบกระบี่ ขนาดบุคคลขอบเขตมกุฎสองคนนี้ยังห้ำหั่นกันจนชี้ขาดแพ้ชนะได้ยาก จินมู่อวิ๋นที่มีคุณสมบัติเข้าชิงสี่อันดับแรกเช่นเดียวกันจะถูกเอาชนะในสามกระบวนท่าได้อย่างไร
“เด็กคนนี้ นี่ก็เหมือนยกก้อนหินกระแทกใส่เท้าตัวเอง”
สีหน้าผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสต่างแปรเปลี่ยนเป็นพิกลขึ้นมา
อาหลู่ตะโกนเสียงดังดั่งอสนีบาตว่า “อย่าไปฟังพวกนกกามันร้อง เจ้าก็ล้มเขาในสามกระบวนท่าซะ! จะได้ตบปากนกกาพวกนี้!”
จ้าวจิ่งเซวียนแทบจะกลอกตาอย่างอดไม่อยู่ คนป่าเถื่อนผู้นี้พูดง่ายเกินไปแล้ว นี่ตั้งใจจะทิ่มแทงหลินสวินหรือ
ทว่าอาหลู่ก็นับว่าพูดสิ่งที่อยู่ในใจของจ้าวจิ่งเซวียนออกมา เมื่อได้ยินเสียงที่พากันมองข้ามหลินสวินเหล่านี้ ในใจนางก็ไม่สบอารมณ์นัก อยากให้หลินสวินเอาชนะจินมู่อวิ๋นซะ ตบหน้าพวกชอบชมดูความครึกครื้นพวกนั้น!
หลินสวินคล้ายไม่สะทกสะท้านกับเสียงหัวเราะ เสียงตะโกน และเสียงเสียดสีเหล่านี้ เพียงทะยานเข้ามาในสนามประลอง สีหน้าเรียบเฉย
ในขณะเดียวกันจินมู่อวิ๋นก็มาแล้ว เพียงแต่สีหน้ากลับดูเย็นชาผิดธรรมดา ดวงตาราวกระบี่จับจ้องมาที่หลินสวินแล้วพูดว่า “รู้สึกเสียใจหรือไม่”
ถูกหลินสวินท้าทายด้วยสามกระบวนท่า เดิมก็เป็นการดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างหนึ่งอยู่แล้ว และตอนนี้ถูกผู้อื่นพูดถึงเช่นนี้ แม้มีความรู้สึกอยากเห็นหลินสวินเป็นตัวตลก แต่กลับทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาเช่นกัน
“ทำไมต้องเสียใจเล่า” หลินสวินถาม
“หึ! โง่งมไม่รู้เรื่องรู้ราว หากเจ้าเอาชนะข้าได้ในสามกระบวนท่า ข้ารับรองได้เลยว่าภายภาคหน้าขอเพียงเป็นที่ที่เจ้าหลินสวินปรากฏตัว ข้าจะอยู่ให้ห่างอย่างยิ่ง”
จินมู่อวิ๋นแววตาดุดัน วาจาข่มขู่ “แต่หากเจ้าทำไม่ได้ ไม่เพียงต้องยอมแพ้ ยังต้องขอโทษข้าด้วย เพื่อชดใช้ให้กับวาจาจาบจ้วงของเจ้า!”
“ได้!” หลินสวินตอบโดยไม่คิด สบายยิ่งนัก
ท่าทีสบายๆ เช่นนี้กลับถูกจินมู่อวิ๋นมองว่าเป็นความจองหองอย่างหนึ่ง ทำให้เขาลอบกัดฟัน เจ้าหมอนี่ใจกล้าจนถึงขั้นไม่รู้ที่เป็นที่ตาย!
ชิ้ง!
กระบี่วิญญาณสีแดงเพลิงลุกโชน อานุภาพน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ถูกจินมู่อวิ๋นจับกุมไว้ในมือ
กระบี่พรหมราช!
หนึ่งในสมบัติโบราณสำนักกระบี่เทียมฟ้า หนึ่งในยอดศาสตรามรรคราชันอันลือชื่อแห่งแดนชัยบูรพา
เมื่อกระบี่อยู่ในมือ พลังรอบตัวของจินมู่อวิ๋นก็เปลี่ยนไปเพราะกระบี่นี้ ประหนึ่งกระบี่สมบัติไร้เทียมทานที่ปิดผนึกอยู่ใต้ธุลีออกจากฝักในเวลานี้ คมดาบเหนือโลกา พุ่งทะลุเมฆา สั่นคลอนชั้นเมฆให้แหลกสลาย!
“เข้ามา ให้ข้าเห็นท่าไม้ตายที่แท้จริงของเทพมารหลินเสียหน่อย!”
จินมู่อวิ๋นวาจาแน่วแน่เด็ดเดี่ยว เจตกระบี่น่าหวาดหวั่นวาบผ่านในดวงตา
เขาแต่งการด้วยชุดหยกทั้งตัว ผมสีดำปลิวไสว ดุจดั่งเซียนกระบี่ที่ดุดันหาใดเทียบองค์หนึ่งมาเยือนโลก ท่วงท่าสง่างามตระการตา
ทุกคนในที่นั้นตาเป็นประกาย นี่ก็คือจินมู่อวิ๋น ให้เวลาเขาได้เติบโตอีกหน่อย เป็นไปได้สูงมากที่เขาจะกลายเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋คนที่สอง ไร้ผู้ต้านทานใต้ระดับราชัน!
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ชั้นนี้ เทพมารหลินกลับคุยโวว่าจะเอาชนะได้ในสามกระบวนท่า ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกว่าน่าขันอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่ เป็นไปได้หรือ