Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1090 เหล่าอริยะออกเดินทาง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1090 เหล่าอริยะออกเดินทาง
สำนักกระบี่เทียมฟ้ามีอริยะออกเดินทาง!
ข่าวปิดบังไม่ได้สิ้นเชิง อีกทั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็ไม่คิดปกปิด
เพราะการโจมตีที่พวกเขาเจอครั้งนี้มากเกินไปจริงๆ ชื่อเสียงสำนักล้วนได้รับผลกระทบ ต้องรีบลบล้างความอัปยศฟื้นคืนสถานการณ์
“เป็นอริยะวิถีกระบี่ฟางหลิงซู่ที่บรรลุอริยะเมื่อสามพันปีก่อน!”
ไม่ช้าก็มีข่าวที่เชื่อถือได้แพร่ออกมา ก่อให้เกิดความตกตะลึงทั้งใต้หล้า
ฟางหลิงซู่เป็นถึงอริยะที่เจิดจรัสหาใดเปรียบคนหนึ่ง ยามกลายเป็นอริยะเมื่อสามพันปีก่อนได้จุดชนวนความอึกทึกครึกโครมอย่างไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่า ในตอนนั้นดึงดูดสัตว์ประหลาดเฒ่าของสำนักโบราณไม่รู้เท่าไหร่ให้มุ่งหน้ามายังสำนักกระบี่เทียมฟ้าเพื่อแสดงความยินดี!
“กี่ปีแล้วที่อริยะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก คิดไม่ถึงว่าคราวนี้ใต้เท้าฟางหลิงซู่จะออกเคลื่อนไหวเพราะเทพมารหลินคนเดียว!”
ผู้ฝึกปราณมากมายใจสั่นสะท้าน
อริยะออกเดินทาง ประโยคนี้คือเรื่องใหญ่ที่อึกทึกครึกโครหาใดเปรียบ!
“เล่าลือว่าทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากกระบี่เทียมฟ้า สมบัติอริยะชิ้นนี้คือสิ่งที่บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหลือไว้ ไม่อาจสูญเสียไปได้ ปัจจุบันกระบี่อริยะเล่มนี้เหมือนจะถูกเทพมารหลินกำราบไว้ที่ทะเลหมากดารา”
“ไป พวกเราก็ไปทะเลหมากดาราดูบ้าง กี่ปีแล้วที่ไม่เคยเห็นอริยะออกเดินทางด้วยตัวเอง ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะเปิดฉากคลื่นลมใหญ่ระดับใด!”
อริยะออกเดินทางดึงดูดความสนใจทั่วหล้า คำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับฟางหลิงซู่กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจที่สุดทันที
แต่ไม่นานก็มีข่าวชวนตะลึงแพร่ออกมา…
“อริยะเมี่ยวหวาแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ออกจากด่าน นั่งเกี้ยวสมบัติปักษาเทพออกจากแคว้นกู่ชาง มุ่งหน้าไปยังทะเลหมากดาราแล้ว!”
เมี่ยวหวา อริยะหญิงที่ทำใต้หล้าตกตะลึงเมื่อหลายพันปีก่อน!
ชั่วขณะทั้งใต้หล้าต่างอื้ออึงด้วยเหตุนี้ เปิดฉากความปั่นป่วนโกลาหล ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตกตะลึงอ้าปากค้าง
อริยะอีกคนออกเดินทางแล้ว?
เทพมารหลินก่อเรื่องใหญ่ขนาดไหนกันถึงทำให้อริยะต่างนั่งไม่ติด
แต่ยังไม่รอให้คนทั่วไปตื่นจากความตระหนก ก็มีข่าวแล้วข่าวเล่าทยอยแพร่ออกมา ก่อเกิดคลื่นลมที่ทำให้คนนับไม่ถ้วนคาดไม่ถึงอย่างไม่เคยมีมาก่อน
“อริยะเต้าคุนแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณกราดเกรี้ยว เอ่ยวาจาว่าจะสังหารเทพมารหลินเพื่อเป็นตัวอย่าง!”
“อริยะเพชฌฆาตเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬออกจากด่าน…”
“แดนพิสุทธิ์อมตะ…”
“สำนักยุทธ์สมุทรคราม…”
สัตว์ประหลาดเฒ่าที่ก้าวสู่อริยมรรคคนแล้วคนเล่าออกเคลื่อนไหว สะเทือนใต้หล้าโดยสมบูรณ์ ทำให้เมฆลมบนโลกปั่นป่วน ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตื่นตระหนกหาใดเปรียบ เทพมารหลินนี่ทำให้เหล่าอริยะกราดเกรี้ยวแล้ว!
อริยะปรากฏตัวบนโลก เดิมก็เพียงพอก่อให้เกิดคลื่นถาโถมทั้งใต้หล้าแล้ว
แต่ปัจจุบันอริยะมากมายออกเคลื่อนพลพร้อมกัน ทั้งจ่อปลายทวนเข้าใส่เทพมารหลิน คนหนุ่มที่ตัวคนเดียว นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน!
“อาศัยเพียงจุดนี้ ต่อให้ครั้งนี้เทพมารหลินประสบเคราะห์ถึงแก่ความตาย ก็พอจะตายไปอย่างไม่เสียดายแล้ว ถึงอย่างไรในหมู่คนรุ่นเยาว์ ใครเล่าจะสามารถดึงให้เหล่าอริยะลงมือได้เหมือนเขา”
มีคนทอดถอนใจ
“เป็นถึงอริยะแต่กลับไม่สนฐานะ ไปจัดการคนรุ่นหลังคนหนึ่ง นี่มันระรานคนอื่นชัดๆ”
“เฮ้อ ปรารถนาให้คนหนึ่งเด่นผงาดด้วยตัวเองยากเหลือเกิน! เหมือนเทพมารหลินที่ไร้เทียมทานเจิดจรัสแค่ไหน แต่ตอนนี้กลับต้องเผชิญหน้าการหมายหัวจากเหล่าอริยะ เขา… จะมีโอกาสรอดชีวิตได้อย่างไร”
บ้างเป็นห่วงสถานการณ์ของหลินสวิน
ใต้หล้าคลื่นลมปั่นป่วน เหล่าอริยะออกปฏิบัติการเพราะเทพมารหลินคนเดียว ทำให้สำนักโบราณมากมายบนโลกล้วนไม่อาจสงบใจ สายตาถูกดึงดูด
…
“ต่ำช้า!”
เมื่อทราบข่าว เซียวชิงเหอที่เพิ่งกลับตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราโกรธจนสั่นไปทั้งตัว แต่หลังจากใจเย็นลงก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงหาใดเปรียบ
เหล่าอริยะออกเคลื่อนไหว ถึงแม้เขาอยากช่วยก็เปล่าประโยชน์!
ต่อให้เขาจะขอให้สำนักยื่นมือช่วยเหลือ แต่… สำนักไหนเล่าจะไปเผชิญหน้ากับอริยะพวกนั้นเพื่อคนนอก
เซียวชิงเหอรู้สึกถึงความโศกเศร้าอย่างไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่า เขาค้นพบเป็นครั้งแรกว่า ยามไม่มีพลังที่แข็งแกร่งพอ แม้แต่ไปช่วยสหายก็เปลี่ยนเป็นยากลำบากและหมดหนทางเช่นนี้!
…
“พวกเจ้า ไม่ช้าก็เร็วต้องกรรมตามสนอง!”
เมื่อจ้าวจิ่งเซวียนทราบข่าว ใจพลันเจ็บปวดอย่างไม่อาจอธิบาย ใบหน้างามซีดเผือด
นางรู้ดีว่าตนไร้กำลังไปขัดขวาง ดังนั้นจึงคิดออกจากสำนักกลับโลกชั้นล่าง หมายไปขอความช่วยเหลือจากบิดามารดาโดยไม่ลังเล
แต่ยังไม่รอให้นางออกจากสำนักก็ถูกเบื้องบนขัดขวาง ถูก ‘เชิญ’ ให้ปิดด่านหลังเขา ตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
นี่ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนหนาวเยือกในใจอย่างที่สุด!
…
โครม!
ศาลบรรพชนตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวย
เท้าข้างหนึ่งของเยี่ยเฉินถีบเปิดประตูโถงที่ปิดสนิท
“ผู้อาวุโสตระกูล หากท่านหลบหน้าข้าอีก เชื่อไหมว่าข้าจะถล่มที่พักท่านให้ราบ!”
เยี่ยเฉินตะโกนลั่น ท่าทีเหิมเกริมน่ากลัว
ห่างออกไป คนเบื้องบนของตระกูลเยี่ยมากมายมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ยิ้มขื่นไม่หยุด
ล้วนไม่เข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยเฉินถึงร้อนใจเกรี้ยวกราดเพราะเทพมารหลินคนเดียวจนกลายเป็นเช่นนี้
“ผู้อาวุโสตระกูล ท่านไม่ออกมาใช่ไหม เช่นนั้นข้าจะพังเหล่าดอกหญ้าที่รักของท่านซะ!”
ในโถงใหญ่เสียงทำลายข้าวของดังโครมคราม
นอกโถง คนเบื้องบนตระกูลเยี่ยต่างลนลานคิดไปขวางทันที แต่กลับถูกชายกลางคนที่เป็นผู้นำห้ามไว้ “สิ่งที่เขาฝึกคือจิตพึงใจ ใจเขาไม่สมปรารถนาใครก็ขวางไม่ได้”
“อ้อ ข้าจำได้ว่า ‘หญ้าไหมทอแสงเทพ’ กระถางนี้คือสิ่งแทนใจของผู้อาวุโสตระกูลตอนหนุ่มกระมัง ในเมื่อท่านไม่ปรากฏตัว เช่นนั้นข้าก็จะทำลายมันซะ!”
ภายในโถงเยี่ยเฉินกล่าวกับตัวเอง
“หยุดนะ!” นอกโถงใหญ่พวกเบื้องบนตระกูลเยี่ยมากมายต่างลนลานทันที
แต่เวลานี้เองเสียงก่นด่าหนึ่งก็ดังขึ้นในโถง “ไอ้เด็กเวร เจ้านี่รังแกคนแก่อย่างข้าจนเข้าเส้นแล้วใช่ไหม”
พร้อมๆ กับเสียงนั้น แรงกดดันแห่งอริยมรรคมหาศาลชวนประหวั่นไร้จำกัดแผ่ออกมาจากในโถง
ผู้อาวุโสตระกูล!
คนเบื้องบนตระกูลเยี่ยทั้งหมดเห็นดังนี้ก็ต่างแอบเป่าปากโล่งอก สลายตัวจากไปอย่างเข้าใจดี
ภายในโถงชายชราผมเผ้าหนวดเครากระเซิง เงาร่างดั่งสนเดี่ยวริมผาคนหนึ่งปรากฏตัวหน้าเยี่ยเฉิน โกรธจนเคราสยายตาถมึง
เยี่ยเฉินกลับไม่กลัว กล่าวว่า “ผู้อาวุโสตระกูล ท่านแค่พูดว่าเรื่องนี้ท่านจะช่วยหรือไม่ก็พอ!”
ชายชรากล่าวไม่สบอารมณ์ “เรื่องนี้ใครก็ช่วยไม่ได้ ได้แค่ให้เจ้าหนูหลินสวินนั่นสะสางด้วยตัวเอง”
“เช่นนั้นข้าก็จะทำลายมันซะ!”
เยี่ยเฉินยกกระถางในมือขึ้นหมายทุ่มลงพื้น!
ชายชราตกใจจนรีบชิงกระถางมาแล้วคำราม “เพื่อเทพมารหลินคนเดียว เจ้าเด็กเวรนี่ไม่ยอมแม้แต่ผู้อาวุโสตระกูลแล้วรึ”
เยี่ยเฉินพลันถอนหายใจ สีหน้าเงียบเหงา “ที่ข้าฝึกคือจิตพึงใจ ใจไม่สมปรารถนาจะต้องขวางมหามรรคของข้าแน่ นี่คือมารในใจอย่างหนึ่ง ผู้อาวุโสตระกูล ท่านอยากเห็นมรรคาของข้าหยุดลงเช่นนี้หรือ…”
“มารในใจกับผีสิ! ที่เจ้าทำน่ะคือรังแกคนแก่อย่างข้า!”
ชายชราโกรธจนกระทืบเท้าด่ายกใหญ่
เยี่ยเฉินถอนหายใจอีกครั้ง หน้าหมองราวหมดกำลังใจ หันหลังจะจากไป
เห็นดังนี้มุมปากชายชราพลันกระตุกแรงๆ คราหนึ่ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หากเจ้ากล้าจากไปเช่นนี้ เรื่องนี้ตาแก่อย่างข้าจะไม่ช่วยแล้ว!”
เยี่ยเฉินดวงตาเป็นประกายหยุดเดินทันควัน หน้าตาแช่มชื่นทันที โค้งคำนับชายชราอย่างนอบน้อมพลางกล่าว “ขอบคุณผู้อาวุโสตระกูล รู้อยู่แล้วว่าผู้อาวุโสตระกูลยึดมั่นคุณธรรม ซื่อสัตย์มีน้ำใจ ไม่อาจทนให้บนโลกมีเรื่องไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น!”
ชายชราพลันสบถ “พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย มาเข้าเรื่อง!”
ว่าพลางสีหน้าเขาก็ขรึมลง ราวเปลี่ยนเป็นอีกคนในชั่วพริบตา เคร่งขรึมและน่าเกรงขาม มีความสูงส่งไร้สิ้นสุดที่ทำให้ผู้คนได้แค่แหงนมอง
“เฉินเอ๋อร์ หากเจ้าเชื่อมั่นในตัวผู้อาวุโสตระกูล เรื่องนี้เจ้านั่งดูสถานการณ์ก็พอ”
แววตาชายชราล้ำลึก เต็มไปด้วยประกายอัศจรรย์ชวนประหวั่น สีหน้าเจือนัยซ่อนงำอำพรางวูบหนึ่ง “จากที่ข้าสันนิษฐาน หลินสวินนี่ไม่ใช่คนอายุสั้น!”
เยี่ยเฉินมุ่นคิ้ว “แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เป็นอริยะมากมายออกเคลื่อนพลพร้อมกัน! เขาที่ยังไม่กลายเป็นราชันไม่มีโอกาสหนีรอดแน่!”
ชายชราส่ายศีรษะ “เจ้ากังวลจนว้าวุ่น หลังจากเจ้ากลายเป็นเพื่อนกับหลินสวิน ข้าก็จับตาดูเด็กนี่อยู่ อีกทั้งตอนที่เจ้ากลับมาจากเขตหวงห้ามไร้มรณะ ข้ายังใช้ ‘เคล็ดวิชาทายชะตาจื่อเวย’ ทำนายเจ้าหนูนี่ด้วย”
“ผู้อาวุโสตระกูลท่าน…”
เยี่ยเฉินหน้าพลันเปลี่ยนสี ร้องเสียงหลง
เคล็ดวิชาทายชะตาจื่อเวย!
นี่เป็นวิชาต้องห้ามที่อนุมานโชคชะตาและความลับสวรรค์อย่างหนึ่ง การสำแดงแต่ละครั้งจะนำมาซึ่งคณาเคราะห์แก่ผู้ใช้วิชา อย่างเบาจะสร้างความเสียหายแก่มรรคา อย่างหนักเป็นไปได้สูงที่จะเจอทัณฑ์สวรรค์!
ชายชราโบกมือตัดบทเยี่ยเฉิน ยิ้มแย้มกล่าว “เจ้าคือคนที่ข้าดูแลจนเติบใหญ่ ยังไม่เคยเห็นเจ้าให้ความสำคัญกับคนรุ่นเดียวกันคนไหนเช่นนี้มาก่อน เจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าหนูหลินสวินเช่นนี้ แสดงว่าภายในใจได้เห็นเขาเป็นสหายแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อนุมานโชคชะตาเขาสักหน่อยจะเป็นไร”
ในใจเยี่ยเฉินม้วนซัดสั่นสะเทือน ความรู้สึกประเดประดังทันใด เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนยากจะเอ่ยนานัปการ เปิดปากจะพูดแต่ไม่รู้จะพูดอะไรดี
ชายชราตบไหล่เขากล่าว “ทำอะไรตามใจก็พอแล้ว ปีนั้นที่ข้าฝึกก็คือจิตพึงใจ แต่ตอนนี้ในใจกลับมีปราการขวางกั้น ไม่เคยสบายใจอย่างแท้จริง จนกระทั่งหลายปีนี้จึงหยุดอยู่ระดับอริยะมาตลอด”
“แต่เจ้าไม่เหมือนกัน ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ใช้จิตพึงใจก้าวสู่อริยมรรคเป็นคนแรกของตระกูลเยี่ยเรา!”
เยี่ยเฉินสีหน้าจริงจัง พยักหน้ากล่าว “ข้าจะไม่ทำให้ผู้อาวุโสตระกูลผิดหวัง!”
ชายชราหัวเราะลั่นกล่าว “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เจ้าน่าจะรู้ว่าชะตาชีวิตที่ข้าทำนายได้เกี่ยวกับเจ้าหนูหลินสวินนี่คืออะไร”
ไม่รอเยี่ยเฉินเอ่ยปาก ชายชราก็ขยับพูดบางคำออกจากปากด้วยตัวเอง “มังกรเร้นหุบเหว ขับเคลื่อนด้วยเคราะห์!”
แต่ละคำราวสัทครรลองมหามรรค ทำให้เยี่ยเฉินรู้สึกเหมือนไม้ฟาดเตือนสติทันที ความกังวลและร้อนรุ่มในใจหายเป็นปลิดทิ้ง
แต่ไม่ช้าเยี่ยเฉินยังอดเอ่ยถามไม่ได้ “ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้เขาจะไม่เกิดเรื่องใช่ไหม”
ชายชราส่ายศีรษะ “อานุภาพแห่งมังกรเร้นก็อาจเปลี่ยนเป็นสถานการณ์มังกรหมอบ ทุกอย่างยังพูดลำบาก แต่คิดสังหารมังกรที่เร้นหุบเหวตัวหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นนั้น เป็นไปได้สูงที่จะ…”
เยี่ยเฉินอดถามไม่ได้ “เป็นไปได้สูงที่จะอะไรหรือขอรับ”
สีหน้าชายชราพลันเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น “เฉินเอ๋อร์ เชื่อคนแก่เถอะ เจ้านั่งดูเมฆลมถาโถมก็พอแล้ว!”
พูดจบเยี่ยเฉินเพิ่งคิดจะถามอะไร เงาร่างชายชราก็พลันลับหายไป
เขาเองก็ไม่เซ้าซี้อีก สังเกตเห็นชัดเจนว่าในคำพูดของผู้อาวุโสตระกูลแอบเผยกลิ่นอายผิดธรรมดา
ดูเหมือน… เคราะห์สังหารฉากนี้อาจเปลี่ยนเป็นรูปแบบอื่น!
“ขอแค่หลินสวินไม่ตาย ไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นมังกรเร้นหรือมังกรหมอบ แต่หากเขาตาย…”
แววตาเยี่ยเฉินพลันเยียบเย็น กัดฟันกล่าว “เช่นนั้นข้าจะก่อเรื่องให้มันพลิกฟ้าพลิกดิน!”
เขาพูดพลางเดินออกจากโถงใหญ่ไป
…………………