Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1132 แดนเผาเซียนอันเหลือเชื่อ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1132 แดนเผาเซียนอันเหลือเชื่อ
แท่นมรรคสูงมาก สูงถึงเก้าสิบเก้าจั้ง ประหนึ่งภูผาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง ทั้งแท่นอาบชโลมกลางแสงมรรคศักดิ์สิทธิ์ราวธารดาราปลิวไหวตามลม
มันตั้งตระหง่านอยู่เช่นนั้น มีกลิ่นอายผ่านร่องรอยกาลเวลาหลงเหลืออยู่บนนั้น
แต่ยามสังเกตอย่างละเอียดกลับดูธรรมดา เรียบง่ายไม่พิเศษ
ทว่าในความคิดของอริยะ แท่นมรรคนี้กลับแตกต่าง มีรูปลักษณ์คืนสู่ธรรมชาติ ประทับด้วยพลังกฎระเบียบ ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันและหวาดหวั่น
ตูม!
แทบจะในเวลาเดียวกัน สถานที่นำทางสามพันแห่งในดินแดนรกร้างโบราณล้วนเกิดภาพเช่นเดียวกันนี้ แสงศักดิ์สิทธิ์ทอลงมา แปรสภาพเป็นแท่นมรรคปรากฏสู่โลก
ทันใดนั้นใต้หล้าก็อึกทึกครึกโครม
ขนาดอริยะแต่ละฝ่ายยังดวงตาลุกวาว ที่น่าเสียดายก็คือศุภโชคสูงสุดคราวนี้ไม่มีวาสนากับพวกเขา
แท่นมรรคบูชาอริยะก็คือจุดเชื่อมต่อสู่แดนมกุฎ ขอเพียงเหยียบย่างบนแท่นมรรคก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ที่สอดคล้องกัน!
“ไป!”
เสียงร้องดังขึ้น ผู้ฝึกปราณกรูกันไปที่แท่นมรรคบูชาอริยะราวกระแสธารซัดสาด
คนใหญ่คนโตบางคนเมื่อเห็นเช่นนี้ต่างทอดถอนใจไม่ว่างเว้น นี่เป็นมหายุคที่ไม่เคยมีมาก่อนครั้งหนึ่ง ตระการตาถึงที่สุด แต่ในแดนมกุฎแห่งนั้นต้องเกิดการช่วงชิงความเป็นหนึ่งของหมื่นผู้กล้าที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์แน่!
ใครจะเหยียบย่ำคนรุ่นเดียวกัน ผงาดขึ้นอย่างโดดเด่น
และจะมีผู้โชคดีคนไหนที่บรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชันได้สำเร็จ
ทั้งหมดนี้จะเผยคำตอบภายในแดนมกุฎแห่งนั้น!
……
“บุกเข้าไป!”
ที่สนามรบโบราณ ผู้ฝึกปราณทุกคนล้วนพุ่งไปที่แท่นมรรคโบราณอย่างรีบเร่งกลัวรั้งท้ายเหมือนคลุ้มคลั่ง
ขนาดพวกบุคคลขอบเขตมกุฎและสัตว์ประหลาดอัจฉริยะยังไม่อาจสงบใจได้ เคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล
“ไสหัวไป! ใครกล้าขวางทาง”
ด้านเผ่าอีกาทอง เหล่าผู้แข็งแกร่งพุ่งไปข้างหน้า แสงไฟสีทองเจิดจรัสไหลหลั่งออกมาจากร่างกายเปิดแหวกเส้นทาง
อูหลิงเฟยตามมาอย่างสบายๆ เหยียบย่างลงบนแท่นมรรคบูชาอริยะ
โครม!
ส่วนเขาวิญญาณหมื่นอสูร เหล่าเผ่าพันธุ์บรรพกาลต่างๆ พุ่งกวาด กระแทกผู้ฝึกปราณที่ขวางทางออกไป และกระโจนไปยังแท่นมรรคบูชาอริยะในคราเดียว
การกระทำนี้แข็งกร้าวอหังการนัก แต่กลับไม่มีใครถือสา เพราะที่นั่นเกิดเรื่องทำนองนี้ไปทั่ว
เพื่อเข้าไปในแดนมกุฎได้ก่อน ผู้สืบทอดของขุมอำนาจเหล่านั้นไม่ได้สนใจว่าเจ้าเป็นใคร ขอเพียงกล้าขวางหน้าก็จะถูกพวกเขากระแทกกระเด็นออกไป!
“พวกเราก็เคลื่อนไหวเถอะ”
หลินสวินพูดพลางพาเจ้าคางคกกับอาหลู่เดินหน้าเข้าไป เบียดเสียดกับกลุ่มคนมหาศาลราวกระแสน้ำด้วยกัน
ฮูม
แสงมรรคไหวเคลื่อนอย่างต่อเนื่องที่แท่นมรรคบูชาอริยะ ผู้ฝึกปราณที่เหยียบอย่างบนนั้นหายไปในชั่วพริบตาประหนึ่งเคลื่อนย้ายกลางอากาศ
“อ๊าก…!”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น กลับเห็นว่าที่แท้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันผู้หนึ่งถูกซัดกระเด็น เลือดไหลกบปาก แทบจะถูกสังหารคาที่!
คนผู้นี้เดิมทีเรียกสมบัติลับออกมา กดข่มพลังปราณของตนลงไปที่ระดับกระบวนแปรจุติ แต่ทั้งหมดนี้ไร้ประโยชน์ ไม่เพียงสมบัติลับถูกทำลาย ขนาดตัวเขายังแทบสิ้นชีพ
เดิมสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันบางคนก็หมายมาดเช่นกัน แต่เมื่อเห็นภาพนี้จิตใจก็หนาวเหน็บทันใด ไม่กล้าเข้ามาอีก
ทว่ายังมีคนไม่เชื่อ!
โครม!
ฟ้าดินสะเทือนเลื่อนลั่น อริยะเผ่าอีกาทองผู้หนึ่งลงมือแล้ว ตัวเขามีแสงเทพสีทองเปล่งประกายพลุ่งพล่านราวมายา พุ่งลงมาจากเวิ้งฟ้า หมายจะเข้าไปในแท่นมรรค
เห็นได้ชัดว่าแม้แต่อริยะก็ไม่อาจต้านทานความยั่วยวนของแดนมกุฎได้ ไม่เสียดายที่จะลองเสี่ยงอันตรายสักครั้งเพื่อเข้าไปในนั้น
เพียงแต่ผลลัพธ์กลับชวนหวาดผวา ชั่วพริบตาเท่านั้นอริยะผู้นี้ก็ถูกพลังกฎระเบียบสายแล้วสายเล่าโจมตีทะลวงร่าง โชกเลือดไปทั้งตัว ส่งเสียงคำรามเจ็บปวด หนีหัวซุกหัวซุน
ผู้แข็งแกร่งที่เห็นภาพนี้ล้วนศีรษะชาหนึบอย่างอดไม่ได้ ตื่นตระหนกจนร่างสั่นเทิ้ม
นั่นเป็นถึงอริยะผู้หนึ่ง!
แต่ต่อหน้าพลังของแท่นมรรคบูชาอริยะ กลับดูอ่อนแอไม่อาจรับการโจมตีได้ ชั่วพริบตาก็ถูกเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส น่ากลัวถึงที่สุด
ถึงตอนนี้ขนาดอริยะยังล้มเลิกความคิดที่จะลองดู ด้วยรับรู้ได้ว่ามหาศุภโชคที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกตนแตะต้องได้แล้ว
สถานการณ์โกลาหลนัก ผู้ฝึกปราณในที่นั้นมีจำนวนมากมาย ล้วนกรูกันเข้าไปทำให้บริเวณใกล้เคียงแท่นมรรคบูชาอริยะดูแน่นขนัดจนรับไม่ไหว
พวกหลินสวินกลับไม่พบอุปสรรคมากนัก อาหลู่แผ้วทางอยู่ข้างหน้าดุจเทพเถื่อนองค์หนึ่ง เพียงแค่กลิ่นอายดุร้ายเช่นนั้นก็บีบให้ผู้ฝึกปราณตามทางพากันถอยหนี
ไม่นานนักอาหลู่ก็พุ่งขึ้นไปก่อน แล้วเจ้าคางคกก็ตามติดหายไปด้วยกัน
แต่ในชั่วพริบตาที่หลินสวินเพิ่งมาถึงแท่นมรรคบูชาอริยะ การเปลี่ยนแปลงประหลาดก็เกิดขึ้นกะทันหัน…
ฉึก!
หนามแหลมบางราวขนวัวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น แทงเข้ามาทางหว่างคิ้วหลินสวิน
หนามแหลมนี้เหมือนไร้รูป บางเฉียบยิ่งนัก ทั้งรวดเร็วอัศจรรย์หาใดเทียบ ยากจะจับได้อย่างยิ่ง หนำซ้ำยังเกิดขึ้นในที่ที่โกลาหลที่สุด ทำให้ผู้อื่นแทบไม่ได้สังเกต
ดวงตาดำของหลินสวินพลันหดรัด อยากจะหลบก็ไม่ทันแล้ว ทำได้เพียงสำแดงนัยเร้นลับของผนึกป้าเซี่ยเพื่อยับยั้งการโจมตีนี้
เพียงแค่ยับยั้งได้ชั่วพริบตาก็พอแล้ว!
แต่ที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจก็คือ ผนึกป้าเซี่ยที่สามารถกักขังผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎคนหนึ่ง ตอนนี้กลับเหมือนใช้ไปเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด เขาจึงถูกหนามแหลมเส้นนี้แทงเข้าไปในหว่างคิ้ว
ทว่าหลินสวินกลับไม่กระวนกระวาย
เพราะเขาสังเกตได้แล้วว่านี่เป็นการจู่โจมจิตวิญญาณ
‘ฆ่า!’
ในห้วงนิมิตเสี่ยวอิ๋นที่นั่งขัดสมาธิอยู่พลันลืมตาขึ้น ฟันเจตกระบี่ไร้รูปสายหนึ่งออกไปดังสวบ
หนามแหลมเส้นนั้นแท้จริงเป็นเข็มเงินสีเทาอ่อนที่เรียวเล็กราวเส้นขนเล่มหนึ่ง เป็นสมบัติลับจิตวิญญาณที่อัศจรรย์และร้ายกาจถึงที่สุดชิ้นหนึ่ง หายากยิ่งนัก
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เพียงการโจมตีนี้ก็สามารถทำลายพลังจิตของเขาได้อย่างง่ายดาย
แต่ตอนนี้ด้วยการโจมตีของเสี่ยวอิ๋น เข็มเงินสีเทาอ่อนก็แหลกเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ เสียงดังปึง
เสี่ยวอิ๋นยื่นมือไปคว้าเศษเล็กๆ เหล่านี้ไว้ในมือแล้วเอาเข้าปากเคี้ยว จากนั้นก็คายออกมาทันที สีหน้าประหลาด ‘ไม่อร่อยเลย!’
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”
ในขณะเดียวกันเสียงร้องตกใจหนึ่งดังขึ้นจากที่ไกลๆ ชั่วพริบตาก็ถูกหลินสวินจับจ้อง
คนผู้นั้นใบหน้างามงด หน้าผากเกลี้ยงเกลา สีหน้าดุดัน เป็นหลิงหวาสัตว์ประหลาดยุคโบราณแห่งสำนักยุทธ์นครนิล
ตอนนี้นางแสดงสีหน้าตระหนก ทำใจเชื่อได้ยาก
เข็มเงินสีเทาอ่อนเล่มนั้นเป็นถึงสมบัติลับจิตวิญญาณชิ้นหนึ่ง มูลค่าเหลือคณา พลังพิฆาตน่าตกใจ หากไม่ใช่เพื่อเอาคืนหลินสวินนางก็เสียดายที่จะเอามาใช้
ทว่าตอนนี้สมบัตินี้ถูกทำลายไม่ว่า แต่หลินสวินไม่บาดเจ็บเลยสักนิด!
ชิ้ง!
และตอนนี้หลินสวินก็ลงมืออย่างไม่ลังเล ดาบหักโฉบออกไปฟันหลิงหวาทันที
ผู้หญิงคนนี้ใจคออำมหิตยิ่งนัก ยังไม่ทันเข้าไปในแดนมกุฎก็เลือกซุ่มโจมตีที่นี่เสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการเล่นงานตนทีเผลอ ถือโอกาสนี้จะเอาชีวิตเขา!
ดังนั้นการโจมตีนี้หลินสวินจึงไม่ออมมือแต่อย่างใด
หลิงหวาส่งเสียงหวีดร้อง เห็นได้ชัดว่ารับรู้ได้ถึงภัยคุกคาม รีบชิงหลบหนีเข้าไปในแท่นมรรคบูชาอริยะ
ผู้ฝึกปราณบริเวณนั้นมีมากเกินไป หากการโจมตีนี้พลาดย่อมทำให้หลายคนบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ หลินสวินทำได้เพียงเก็บดาบหักมา ทว่าสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมถึงที่สุดไปแล้ว
“พวกผู้หญิงน่าเกลียด อย่าให้ข้าจับเจ้าได้ก็แล้วกัน!” เขาเอ่ยปากอย่างเย็นชา
หลิงหวาหันหน้ากลับมา สีหน้าอึมครึมเจือความไม่ยินยอมเช่นกัน กัดฟันยิ้มหยันแล้วพูดว่า “ข้าจะรอเจ้า”
เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง ตัวนางก็หายลับถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว
สวบ!
หลินสวินไม่ร่ำไรอีก พุ่งเข้าไปในแท่นมรรคบูชาอริยะเช่นกัน
ฉับพลันทันใดเขาเพียงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัว สูญเสียการรับรู้ทั้งหมดไป
หนึ่งวันผ่านไป
แท่นมรรคบูชาอริยะในสถานที่นำทางสามพันแท่นตกอยู่ในความเงียบสงัด หลงเหลือแต่ร่องรอยโบราณ ไม่มีแสงมรรคหลั่งไหลออกมาแล้ว
“การนำทางสิ้นสุดลงแล้ว”
มีคนใหญ่คนโตพูดเสียงเบา
“สิบปีต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับศุภโชคของพวกเขาแต่ละคนแล้ว”
มีอริยะถอนหายใจ
ผู้ฝึกปราณที่รีบร้อนมาถึงบางคนเห็นเช่นนี้ก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาด บ้างตีอกชกหัว บ้างร้องเสียงดังไม่ยินยอม บ้างจะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตา
ที่ร้ายยิ่งกว่ายังมีคนร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมาคล้ายสะเทือนใจจนรับไม่ไหว
พลาดไปก้าวเดียวกลับเสียโอกาสเข้าสู่แดนมกุฎ สิ่งนี้น่าสะเทือนใจอย่างหนักหน่วง ทำให้ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างจะหมดอาลัยตายอยากรอมร่อ
หนทางแห่งการฝึกปราณเดิมทีก็เป็นเช่นนี้
ดูเหมือนที่พลาดไปก็คือโอกาสเข้าไปในแดนมกุฎครั้งหนึ่ง แต่ความจริงแล้วเป็นไปได้สูงว่าสิ่งที่พลาดไปก็คือโอกาสในการเปลี่ยนแปลงดวงชะตาและมรรคคาได้ครั้งหนึ่ง!
……
เทือกเขาสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้โบราณเรียงรายไม่ราบเรียบ
ไอวิญญาณฉ่ำชื้นอวลในห้วงอากาศ ทิวทัศน์เก่าแก่ราวยุคดึกดำบรรพ์
ที่มหัศจรรย์ก็คือไม่ว่าจะเป็นเทือกเขาหรือต้นหญ้าล้วนมีสีแดงเพลิง เจิดจรัสดุจแสงเพลิง ทั้งเหมือนแสงโลหิตที่กำลังลุกโชน
ขนาดดินโคลนบนพื้นดินยังมีสีแดงชาดสดใสดั่งโลหิต
มองไปรอบทิศหมู่เขาราวอัคคี ฟ้าดินสีแดงชาด ประหนึ่งอยู่ในโลกที่กำลังลุกโชนแผดเผาแห่งหนึ่ง
สวบ!
เป็นหลินสวินนั่นเอง
“พลังมหามรรคกลางฟ้าดินแจ่มชัดและมหาศาล หากหยั่งรู้มหามรรคจะเร็วขึ้นกว่าที่โลกภายนอกมากกว่าสามเท่า!”
“ไอวิญญาณก็เข้มข้นกว่าโลกภายนอกนัก ขนาดน้ำค้างบนใบหญ้ายังเก็บกักพลังวิญญาณเข้มข้นไว้ เรียกว่า ‘น้ำค้างวิญญาณ’ ได้แล้ว! หากฝึกปราณ ไม่ต้องอาศัยแกนวิญญาณก็สามารถทำให้พลังปราณเกิดความเปลี่ยนแปลงทันทีได้”
“กลางภูผาธาราล้วนเต็มไปด้วยไอวิญญาณ มีวัตถุดิบวิญญาณและโอสถสมบัติที่ไม่เคยพบเห็นในโลกภายนอกบางอย่างเติบโตอยู่… อุดมสมบูรณ์เกินไปแล้ว ช่างเป็นขุมทรัพย์ที่ถือกำเนิดขึ้นในธรรมชาติแห่งหนึ่งจริงๆ!”
หลินสวินสังเกตโดยละเอียด
การสำแดงนัยน์ตาเฉาเฟิงทำให้เขาสามารถมองทะลุความลึกลับที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ผืนดินและบนฟ้า รวมถึงภูผาและแหล่งน้ำต่างๆ ได้ชัดเจน
หลังจากถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่หลินสวินไม่ได้ลุกลี้ลุกลนและไม่ได้ร่ำไร เริ่มเคลื่อนไหวทันที สันนิษฐานและเปรียบเทียบผ่านการรับรู้ทุกอย่างที่เห็นด้วยพลังทั้งหมด
ในที่สุดขนาดเขายังต้องยอมรับว่าแดนมกุฎมหัศจรรย์เหนือธรรมดามากจริงๆ ประหนึ่งแดนพิสุทธิ์ไอวิญญาณแห่งหนึ่ง ดุจเทวภูมิในตำนาน
พลังมหามรรคในโลกนี้ไอวิญญาณกับพลังชีวิตที่แฝงอยู่ในสรรพสิ่งในภูผาธารานี้ โลกภายนอกต่างไม่อาจเทียบได้
พูดได้อย่างไม่เกินเลยว่าหาสถานที่ลวกๆ สักแห่งฝึกปราณที่นี่ ล้วนได้ผลลัพธ์เทียบเท่ากับฝึกปราณในถ้ำสวรรค์แดนมงคลของโลกภายนอก!
นี่ยังเป็นสิ่งที่หลินสวินเห็นในช่วงแรกเท่านั้น หากสำรวจต่อไปต้องค้นพบของดีที่คาดไม่ถึงแน่ๆ
หืม?
ทันใดนั้นยอดเขาโดดเดี่ยวลูกหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
บนหน้าผาด้านหนึ่งของยอดเขานั้นมีน้ำตกสายหนึ่งเทลงมา ส่งเสียงน้ำสาดกระเซ็นโครมคราม
เหนือหน้าผาที่อยู่ภายในน้ำตกสายนั้น แสงมายางดงามวงหนึ่งกำลังไหววูบ ดูคลุมเครือเพราะถูกน้ำตกบดบัง
และด้วยการจับจ้องของนัยน์ตาเฉาเฟิงของหลินสวิน แสงมายาวงนั้นก็ไม่อาจซ่อนงำได้เลย สะท้อนชัดแจ้งอยู่ในสายตา
มีดอกไม้วิญญาณเพลิงแดงส่ายไหวอยู่ในรอยแยกของหินผาดอกหนึ่ง กลีบดอกไม้งดงามน่าดึงดูด มีสีแดงสด ประหนึ่งจันทร์เพ็ญสีโลหิตกำลังลุกโชนดวงหนึ่ง
——