Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1157 นิ่งเงียบไม่ไหวติง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1157 นิ่งเงียบไม่ไหวติง
หากอยากโต้กลับ จะต้องฟื้นฟูแผลมรรคของตนให้หายดีอย่างถึงที่สุด ก่อนที่กระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันจะแตก
มิฉะนั้นคงต้องตายสถานเดียว!
หลินสวินไม่มัวพะว้าพะวังในเรื่องนี้ ยิ่งไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่ตนจะถูกสังหารอีกด้วย
ทำการใหญ่จิตใจต้องนิ่ง หลายปีมานี้เขาได้พานพบกับความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน อันตรายที่อยู่เบื้องหน้านี้ย่อมไม่มีทางจัดการเขาได้สำเร็จ
แผลมรรค ก็ไม่ต่างจากรอยแตกร้าวที่ปรากฏอยู่บนเครื่องกระเบื้องเคลือบงามวิจิตร
หากหมายจะฟื้นฟูแผลมรรคก็ไม่ใช่เรื่องยากประการใด
ทว่าหากต้องการฟื้นฟูแผลให้สมบูรณ์ดีดังเดิมถือว่าเป็นเรื่องยากเอาการ!
ช่วงก่อนหน้านี้หลินสวินได้เข้าสู่สภาวะ ‘ว่างเปล่าไร้ตัวตน’ จนสามารถค้นหามรรคาอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนผู้ใดของตัวเองได้
เดิมทีก็ขาดเพียงโอกาสจุดเปลี่ยนในการควบรวมเมล็ดพันธุ์มรรค ก็จะสามารถลองทะลวงขอบเขตมกุฎระดับราชันได้
มาบัดนี้ ด้วยแผลมรรคที่ปรากฏขึ้นกลับทำให้แผนการของเขาเกิดความเสียหาย!
ตัวเขาเองย่อมรู้ดีว่าต่อให้ฟื้นฟู มรรควิถีของตนก็จะเหลือภัยแฝงเร้นไว้เสี้ยวหนึ่ง ภายภาคหน้าเมื่อควบรวมเมล็ดพันธุ์มรรคอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
นี่ก็คือรอยแผลที่เมี่ยวเฉินฝากไว้แก่เขา แค่ปราณกระบี่ที่เฉือนเพียงเล็กน้อยแต่แฝงเร้นพลังมรรคราชันเอาไว้ ก็เกิดเป็นบาดแผลที่สุดแสนสาหัสกับหลินสวิน!
นี่จะไม่ให้หลินสวินแค้นนางได้อย่างไร
‘ไม่ทำลายและไม่กำเนิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้สร้างมรรควิถีใหม่ขึ้นอีกหน!’
หลินสวินตริตรองและตัดสินเงียบๆ
ไม่มีเวลามาลังเลอีกต่อไปแล้ว ด้านนอกกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันกำลังถูกโจมตีอยู่ทุกขณะ
ช่วงเวลานี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง!
‘ปีนั้นข้าเคยสร้างมรรควิถีใหม่ขึ้นที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในแดนลับอสูรมารอริยะ หลังจากนั้นยามทะลวงระดับกระบวนแปรจุติก็ได้สร้างมรรควิถีใหม่อีกหนหนึ่ง…’
‘ครั้งนี้ข้าอุดรอยรั่วในมรรควิถีทั้งหมดของตนแล้ว เสาะแสวงหาจนค้นพบมรรคาที่จะก้าวเดิน ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ก็ล้วนต้องสร้างมรรควิถีใหม่!’
จิตใจของหลินสวินนั้นว่างเปล่า ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านในสมองได้อย่างสิ้นเชิง เริ่มดำเนินการแล้ว
รอยแตกร้าวของเครื่องกระเบื้องเคลือบ ย่อมไร้หนทางซ่อมแซมให้เป็นดังเดิม เช่นนั้นก็ทุบมันให้แตก อาศัยฝีมือและสัมผัสรับรู้ที่ตนครอบครองมาสร้างเครื่องกระเบื้องเคลือบใบใหม่ที่สมบูรณ์ยิ่งกว่าเดิม!
ปัง!
ถัดมาพลังขับเคลื่อนรอบกายหลินสวินก็ปะทุออกมาประหนึ่งลูกโป่งระเบิดก็ไม่ปาน กลิ่นอายรอบกายอ่อนกำลังลงถึงขีดสุดในชั่วพริบตา เนื้อหนังมังสาทั่วเรือนกายไปจนถึงเส้นผมต่างสีซีดอับแสงลง
ราวกับว่าเพียงครู่เดียวก็แก่ตัวลงไปมากโข
นี่ก็คือการทำลายมรรคาของตน!
“หืม”
เสี่ยวอิ๋นที่อยู่ห่างออกไปประหลาดใจ ขณะที่มองเห็นภาพเหตุการณ์นั้น สีหน้าของเขาก็อดถอดสีไม่ได้ “นายท่านธาตุไฟเข้าแทรกแล้วหรือ”
เขากระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก ทว่ากลับไม่กล้าเข้าไปขัดขวางแต่อย่างใดด้วยกลัวจะเป็นการรบกวนอีกฝ่าย ทำให้เขาร่วงหล่นสู่แดนดินที่ไม่อาจหวนคืน
นี่คือด่านเคราะห์ของการบำเพ็ญเพียร ต้องพิชิตด้วยตนเอง!
เพียงแต่เสี่ยวอิ๋นไม่รู้เลยว่าหลินสวินกำลังลงมือทำลายมรรควิถี หมายจะสร้างขึ้นมาใหม่
…
ภายนอกกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันเกิดเสียงดังครั่นครืนอยู่เนืองๆ แสงศักดิ์สิทธิ์ยิงพุ่งดุระเบิดปะทุ
ผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายต่างก็สลับผลัดเปลี่ยนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า จู่โจมค่ายกลใหญ่อย่างไม่หยุดยั้ง หวังให้ค่ายกลนี้สูญเสียพลังจนหมดไป
สาเหตุนั้นง่ายดายมาก การโคจรของกระบวนค่ายกลนั้นจำเป็นต้องมีพลังเกื้อหนุน เมื่อไร้พลังเติมเต็มเพียงพอ พลานุภาพของกระบวนค่ายกลก็ย่อมอ่อนกำลังลงไปด้วย
ในขณะเดียวกันเหล่านักสลักวิญญาณรวมตัวอยู่ด้วยกัน เรียกสมบัติลับสลักวิญญาณ อาทิ จานกระบวนวิญญาณ กระดองเต่า กรงจักรดาราเป็นต้น ทำการอนุมานหาความลี้ลับของกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชัน หมายทำลายค่ายกลให้แตก!
ไกลออกไปยังมีผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจอีกมากมายต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
เพียงแต่สีหน้าของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความร้อนรนกระสับกระส่ายอยู่รำไร
นับตั้งแต่เริ่มจู่โจมกระบวนค่ายกลเป็นต้นมา เวลาได้ล่วงเลยไปหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว กระนั้นก็เกิดผลเพียงเล็กน้อยไม่อาจฝ่าเข้าไปได้ นี่จะไม่ให้พวกเขาร้อนใจได้อย่างไร
เวลายิ่งผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ความเป็นไปได้ที่เทพมารหลินจะฟื้นฟูแผลมรรคก็ยิ่งมีมากเท่านั้น!
“เจ้าพวกเศษสวะ!”
เสียงตวาดกู่ก้องมาจากนอกเมืองโบราณเผาเซียน แน่นอนว่าเป็นเหล่าผู้แข็งแกร่งระดับราชันที่ไม่อาจเข้าเมืองได้ ในเวลานี้ต่างหงุดหงิดจนต้องระบายความอัดอั้นออกมา
เบื้องหน้ากระบวนค่ายกล ผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจทั้งหลายต่างมีสีหน้าซีดเซียวหม่นแสง รู้สึกยากจะทำใจยอมรับได้
คนบาดเจ็บปางตายอยู่เบื้องหน้าพวกเขาแท้ๆ ทว่ากลับมีค่ายกลมาขวางกั้นถึงได้ไร้หนทางปลิดชีพเขา
ช่างเป็นรสชาติที่ทุกข์ทรมานผู้อื่นดีเสียจริง!
ไกลออกไปผู้ฝึกปราณทั้งหลายต่างตั้งตาเฝ้าชม
มีทั้งผู้ฝึกปราณอิสระ และผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจเล็กๆ ล้วนแต่คาดหวังอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจให้เทพมารหลินสามารถพ้นเคราะห์ และสำแดงอานุภาพยิ่งใหญ่
เนื่องจากในช่วงเวลาที่ผ่ามานี้เหล่าขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ทำการควบคุมเมืองโบราณเผาเซียนเอาไว้ ขอเพียงแค่เข้าเมืองก็จำต้องจ่ายค่าผ่านทางให้พวกเขา นี่สร้างความขุ่นข้องหมองใจแก่บรรดาผู้ฝึกปราณทั้งหลาย
หากเทพมารหลินรอดไปได้ จะต้องชำระแค้นกวาดล้างทุกหย่อมหญ้า เมื่อถึงเวลานั้นบรรดาขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายก็จะต้องประสบหายนะ!
ฉะนั้น พวกเขาถึงคาดหวังให้หลินสวินมีชีวิตรอด!
นอกจากผู้ฝึกปราณเหล่านี้ ยังมีผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจใหญ่บางส่วนเฝ้าชมเช่นกัน ไม่ได้มีส่วนร่วมลงมือจัดการหลินสวิน
ไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะแรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้มีความแค้นเคืองอันใด เหตุใดต้องซ้ำเติมด้วยเล่า
หากเทพมารหลินมีชีวิตรอด บางทีอาจคุกคามมาถึงพวกเขา แต่การต่อสู้แย่งชิงก็ล้วนเป็นเช่นนี้ทุกที่ เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่หวาดเกรง
หากเทพมารหลินสิ้นล่ะ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา อีกทั้งไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการเคลื่อนไหวในภายหน้าของพวกเขา
ส่วนเรื่องการยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขา…
นี่ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นนอน!
หากช่วยเขาก็เท่ากับตั้งตัวเป็นอริกับบรรดาขุมอำนาจใหญ่พวกนั้น จะถูกดึงให้ต้องลำบากอย่างยิ่งไปด้วย มีแต่พวกโง่งมเท่านั้นที่ทำเรื่องได้ไม่คุ้มเสียเช่นนี้
สรุปแล้วเมืองโบราณเผาเซียนในเวลานี้ จากสถานการณ์ของหลินสวินเพียงผู้เดียวกลับมัดใจผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วน หากกล่าวว่าผู้คนทั้งเมืองต่างจับจ้องก็คงไม่เกินจริง
บ้างก็คาดหวังให้เขารอดชีวิต บ้างก็อยากให้เขาตายโดยไว อีกทั้งบ้างก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวชมพอให้ครื้นเครง
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้
คือไม่มีผู้ใดเลือกช่วยหลินสวินในเวลานี้!
…
เพียงพริบตาเวลาก็ล่วงเลยไปสองวันแล้ว
วันที่สามก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
และแล้ว พลังของกระบวนค่ายกลมรรคราชันเริ่มปรากฏสัญญาณอ่อนกำลัง ทำให้บรรดาผู้ฝึกปราณเหล่านั้นใจชื้นขึ้นมาเปราะหนึ่ง
ส่วนภายในค่ายกลใหญ่ เสี่ยวอิ๋นกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
เพราะแกนวิญญาณที่ให้พลังหล่อเลี้ยงกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันนั้นเหลืออีกไม่มากนัก จำเป็นต้องใช้อย่างประหยัด อีกทั้งยังสามารถต้านทานไว้ได้อีกเพียงแค่สามวัน!
บัดนี้กลิ่นอายรอบกายของหลินสวินกลับนิ่งเงียบไม่ไหวติงราวกับรูปปั้นดินเผาก็ไม่ปาน สิ่งเดียวที่สามารถยืนยันว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ก็คือลมหายใจเนิบช้านั่น
‘ไม่รู้ว่านายท่านจะตื่นขึ้นมาเวลาใดกันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้ต้องต่อสู้ถึงช่วงเวลาสุดท้ายจนสละชีพก็ไม่เป็นไร!’ เสี่ยวอิ๋นสูดหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับสีหน้าเด็ดเดี่ยว
เขาคือทายาทเผ่าหนอนกินเทพ ถึงแม้จะมีความทระนงตนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหากยอมรับเจ้านายแล้วย่อมไม่แปรพักตร์เป็นอันขาด!
อีกทั้งหากไม่มีหลินสวิน เขาคงไม่มีทางก้าวหน้าบนมรรคาอย่างรวดเร็วเช่นนี้
วันที่สี่
พลังของกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันนับวันยิ่งอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ
ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณจากขุมอำนาจใหญ่ต่างมีสีหน้าแห่งรอคอย กระนั้นภายในใจกลับร้อนรนมากขึ้นไปอีก ล่วงเข้าวันที่สี่แล้ว ไม่รู้ว่าบาดแผลของหลินสวินฟื้นฟูไปถึงไหน
วันที่ห้า
ในใจของทุกคนกระสับกระส่ายกันถ้วนหน้า
กระบวนค่ายกลมรรคราชันสั่นคลอนแล้ว!
เทพมารหลินจะสามารถฟื้นฟูบาดแผลได้หรือไม่
พรูด!
ท่ามกลางความเงียบ นักสลักวิญญาณคนหนึ่งกระอักเลือดคำโตทันใด พาให้คนไม่น้อยตื่นตระหนก
ทว่านักสลักวิญญาณคนนี้กลับปิติยินดียิ่ง หัวเราะพลางตะโกนออกไปว่า “แก้ได้แล้ว แก้สำเร็จแล้ว!”
คำพูดที่เอ่ยออกมาทำให้ผู้คนทั่วทั้งลานใจเต้น
“จะจบสิ้นแล้วหรือ…”
บรรดาผู้ฝึกปราณที่รอคอยให้หลินสวินฟื้นฟูอาการบาดเจ็บต่างหน้าถอดสีไปตามๆ กัน เกิดความเศร้าเอ่อล้นในใจ
“ในที่สุดก็ใกล้สิ้นสุดแล้ว”
ผู้แข็งแกร่งที่รักษาความเป็นกลางล้วนถอนหายใจ การรอคอยนั้นเป็นความทรมานอย่างไม่ต้องสงสัย ค่อยๆ กัดกร่อนความอดทนของพวกเขาทีละเล็กทีละน้อย
บัดนี้ในที่สุดผลลัพธ์ก็จะปรากฏให้เห็น ทำให้พวกเขาฮึกเหิมขึ้นมา
ทางด้านผู้ฝึกปราณจากขุมอำนาจใหญ่ที่กำลังปิดล้อมกระบวนค่ายกล ยามนี้ล้วนยากจะเก็บกลั้นความปิติในใจ ตะโกนร้องจนอึกทึก ถึงขั้นมีคนหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ
ศึกที่เปลืองแรงนี้ช่างทรมานผู้คนเกินไปแล้ว
ตูม!
ภายใต้คำชี้แนะของนักสลักวิญญาณคนนั้น ผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งร่วมกันลงมือทลายค่ายกลทันทีโดยไม่ชักช้า
ผลลัพธ์ปรากฏออกมาแล้ว
กระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันที่แต่เดิมสั่นคลอนอยู่แล้วเริ่มพังทลายลงมา ภายใต้การทำลายของเหล่าผู้ฝึกปราณ กระบวนรอยสลักวิญญาณต่างอับแสง
“เยี่ยม! เยี่ยม! เยี่ยม!”
ผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจต่างๆ ทั้งเผ่าอีกาทอง สำนักยุทธ์นครนิล เขาวิญญาณหมื่นอสูร เผ่าวิญญาณสมุทร ลัทธิบูชาจันทร์ ต่างก็ตื่นเต้นกันถ้วนหน้า นัยน์ตาร้อนเร่าไปด้วยไอสังหารดุเดือด
เพื่อสังหารเทพมารหลินที่บาดเจ็บปางตายคนเดียว กลับทำให้พวกเขาต้องลำบากอยู่ที่นี่นานถึงห้าวัน สิ่งนี้ทำให้พวกเขาล้วนโกรธแค้น ต้องการระบายออกโดยทันที
“อีกครู่ ข้าจะฟันเจ้านั่นเป็นหมื่นเป็นพันชิ้น บดขยี้ให้เป็นจุณ!”
อีกาทองตัวหนึ่งสยายปีกสีทองออกมาพลางพูดกัดฟัน เตรียมตัวลงมือเป็นคนแรกทันที
“ไม่ต้องรีบ ให้ข้าจัดการเขาดีๆ สักรอบก่อน ทำให้เขาได้ลิ้มรสว่าอะไรเรียกว่าอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่สามารถ!”
หลูชวนแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรแววตาน่าสะพรึง สีหน้าเยียบเย็น
เวลานี้สายตาทุกคนต่างจ้องมองมาที่นี่ ไม่มีละสายตาจนแทบลืมหายใจ
โครม!
ท้ายที่สุดกระบวนค่ายกลจตุลักษณ์ราชันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พังครืนลงมา เผยให้เห็นบ้านที่ถูกปกคลุมอยู่ในนั้น
นี่เกิดขึ้นเร็วกว่าเวลาที่เสี่ยวอิ๋นคาดคิดไว้ถึงครึ่งวัน!
กระนั้นเสี่ยวอิ๋นก็ไม่ได้ตื่นตระหนก และไม่ถอยหนีแต่อย่างใด ท่าทีของเขาสงบนิ่งแต่เด็ดเดี่ยว บนใบหน้าเล็กหล่อลเหลาไร้ที่ติเจือไอสังหารอันไร้ขอบเขต
ส่วนกระบี่จิตวิญญาณที่แบกอยู่บนหลังกลับถูกชักออกมาโดยไร้เสียง!
ด้านหลังหลินสวินนั่งนิ่งไม่ไหวติง ตั้งแต่เริ่มจนบัดนี้ยังไม่ตื่นขึ้นมา ยิ่งสัมผัสไม่ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในที่นี้…
แต่ก็ไม่สำคัญแล้ว
เสี่ยวอิ๋นรู้เพียงว่า แม้ตัวตายก็ต้องขวางไว้ให้จงได้!
“ฮ่าๆๆ ทุกท่านดูสิ เทพมารหลินยังนั่งสมาธิอยู่เลย เกิดความโกลาหลปานนี้ยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก!”
มีคนหัวเราะเยาะ
“ข้ายังนึกว่าเขาคงจะฟื้นฟูบาดแผลไปได้เกินครึ่งแล้ว ที่ไหนได้ บาดแผลของเขาสาหัสยิ่งกว่าที่พวกเราคิดเสียอีก!”
เวลานี้ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละขุมอำนาจใหญ่ต่างก็ถอนหายใจ ผ่อนคลายไปทั้งตัว ส่วนแววตาที่จับจ้องหลินสวินราวกับจ้องมองคายตายอย่างไรอย่างนั้น
“ไฉนถึงเป็นเช่นนี้…”
ไกลออกไปผู้ฝึกปราณมากมายนัยน์ตาเบิกโพลง ไม่อาจเชื่อสายตาตัวเอง แม้เวลาจะล่วงเลยมาห้าวันแล้ว เทพมารหลินกลับยังไม่สามารถฟื้นฟูบาดแผลได้หรือ
หรือว่าครั้งนี้เขาจะต้องประสบแล้วจริงๆ ไม่อาจกลับมาผงาดได้อีกแล้ว?
“ฆ่า!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนหนึ่งบุกเข้าไป เขาไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป เข้าโจมตีทันที ราวกับสายฟ้าแลบสีทอง เท้าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบไปทางศีรษะของหลินสวิน
การโจมตีเช่นนี้กำเริบเสิบสานนัก ซ้ำยังแฝงการหยามเกียรติไว้ด้วย!
…………………..