Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1170 ไม้ใหญ่หมายอยู่นิ่ง วาโยมิหยุดพัด
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1170 ไม้ใหญ่หมายอยู่นิ่ง วาโยมิหยุดพัด
“ออกมาแล้ว!”
นอกหอมกุฎกระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่ง สายตานับไม่ถ้วนรวมอยู่ที่หลินสวินซึ่งเยื้องย่างออกมาจากในหอทันที
หลังจากรู้ข่าวว่าหลินสวินฝ่าบันไดสวรรค์มหามรรควันนี้ ทั้งเมืองโบราณเผาเซียนก็ครึกโครม ผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรล้วนมารวมตัวกัน
ดังนั้นเมื่อหลินสวินเดินออกมา จึงเห็นว่าในบริเวณใกล้เคียงมีเงาร่างของผู้ฝึกปราณหนาแน่นคับคั่งอยู่เต็มไปหมด
น่าตื่นตานัก!
หลินสวินอึ้งไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ออกจะประหลาดใจ
และในตอนนี้เอง หลินสวินถึงได้รู้ว่าทุกการเคลื่อนไหวของตน กลายเป็นที่จับตามองของผู้ฝึกปราณมากมายอยู่ก่อนแล้ว
สิ่งนี้ คงเรียกว่าเป็นบารมีอย่างหนึ่งคงได้กระมัง
หลินสวินครุ่นคิด
“คุณชายหลิน ขอบังอาจถามท่านสักคำ ผลการฝ่าด่านคราวนี้เป็นอย่างไรขอรับ”
มีคนทำใจดีสู้เสือเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
เมื่อพูดคำนี้ออกไป พลันทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหูผึ่ง
หลินสวินยิ้มให้แล้วกล่าวว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าตั้งตาคอยให้มีคนสามารถเบียดตำแหน่งข้าลงไปได้ หากใครทำได้ ข้าหลินสวินจะขอเลี้ยงเหล้า!”
ทั้งที่นั้นอึกทึกครึกโครม!
คำพูดนี้ดูเหมือนพูดเรื่อยเปื่อย แต่พิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ว่าเทพมารหลินได้ขึ้นไปถึงขั้นสูงสุดของบันไดสวรรค์มหามรรคแล้ว เขาไม่มีอะไรให้ก้าวข้ามอีก
ก็เปรียบเหมือนอันดับหนึ่ง ทำได้เพียงรอถูกคนอื่นก้าวข้าม!
“ขอแสดงความยินดีกับคุณชายหลิน!”
“นับจากวันนี้ไป ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันนับล้านคนในแดนเผาเซียน จะมีคุณชายหลินเป็นผู้นำ!”
ตอนนี้เสียงอวยพรดังขึ้นไม่ขาดสายราวกระแสน้ำ กึกก้องในฟ้าดินบริเวณนี้
และเวลานี้หลินสวินได้ก้าวเดินจากไปแล้ว
ที่ที่เขาผ่าน ไม่ว่าใครก็พากันถอยหนีเปิดทางให้ สีหน้าเจือไปด้วยความชื่นชมและเคารพไม่มากก็น้อย
“เด็กนี่มีบารมีดั่งสุริยัน สาดส่องเมืองนี้เพียงลำพัง ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันใครจะแตะต้องได้”
ไกลออกไป พวกลั่วชวนจากสำนักอนธการได้เห็นภาพนี้กับตา ในใจก็สั่นสะท้านเพราะสิ่งนี้ ทว่าสีหน้ากลับดูอึมครึมผิดธรรมดา
ก่อนหน้านี้ตอนหลินสวินขึ้นหอ เคยขัดแย้งกับพวกเขา
ทว่าตอนนี้พวกลั่วชวนได้ดับความคิดที่จะเอาคืนไปสิ้นแล้ว ในใจยิ่งเจ็บแค้นขุมอำนาจใหญ่ในเมืองเหล่านั้น!
หากไม่ใช่เพราะขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้จงใจปิดบัง ใส่ไฟให้พวกเขาควบคุมหอมกุฎ จะไปขัดแย้งกับเทพมารหลินได้อย่างไร
“ไป ไปเรียกร้องความยุติธรรมกับไอ้พวกที่ยืมมีดฆ่าคน หน้าเนื้อใจเสือพวกนั้น!”
ลั่วชวนกัดฟัน ในใจคับข้องยากทนได้
ถูกคนอื่นหลอกใช้ ล่วงเกินผู้แข็งแกร่งยิ่งคนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ นี่ทำให้เขาไม่อาจยอมได้
ทว่ายามพวกเขามาถึงอาณาเขตที่ขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้นยึดครอง คิดจะทวงความยุติธรรม กลับพบว่าผู้นำของขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้ล้วนไม่อยู่!
ไม่นานนักพวกเขาก็สืบข่าวได้ว่า ขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้กลับรวมตัวกันไปขอรับผิดกับเทพมารหลินแล้ว ตอนนี้เป็นไปได้สูงยิ่งที่จะรออยู่หน้าตำหนักที่เทพมารหลินพำนักอยู่
นี่ทำให้พวกลั่วชวนนิ่งอึ้งไป เกิดอะไรขึ้น
“ไป ไปดูหน่อย”
ลั่วชวนตัดสินใจทันที นำทุกคนเคลื่อนไหวไปด้วย
……
หน้าตำหนักโบราณ
ขณะนี้มีเงาร่างสิบกว่าร่างรออยู่ตรงนั้นทั้งชายหญิง แต่ละคนประหนึ่งมังกรหงส์กลางหมู่มนุษย์ ท่าทางเหนือธรรมดา แม้ยังเยาว์แต่กลับมีความน่าเกรงขามอย่างยิ่ง!
พวกเขาล้วนเป็นบุคคลระดับผู้นำรุ่นเยาว์ของขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ บ้างเป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎ บ้างเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณ!
ในอดีต สุ่มเลือกพวกเขามาสักคนหนึ่ง ต่างสามารถทำให้สะท้านไปทั้งแถบ
แต่ตอนนี้พวกเขากลับรออยู่หน้าตำหนักนั้น เก็บงำความหยิ่งทระนงของตนรอคอยอย่างเงียบเชียบ หว่างคิ้วมีความกังวลฉายขึ้นแล้วหายไปเป็นครั้งคราว
ก่อนหน้านี้ยามหลินสวินเข้าไปในหอมกุฎ ได้เคยพูดไว้ว่าหากไม่ให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เขา เขาก็ไม่ถือที่จะไปเยือนถึงที่ทีละแห่ง!
เห็นได้ชัดว่าหลินสวินมองทะลุความคิดยืมมีดฆ่าคน นั่งดูคนอื่นตีกันของพวกเขาแล้ว!
ขุมอำนาจเหล่านี้นั่งไม่ติดที่โดยพลัน
พวกเขาไม่อาจลืมว่าก่อนหน้านี้ การชำระเลือดของหลินสวินครั้งเดียวก็ล้างบางขุมอำนาจอย่างเผ่าอีกาทอง สำนักยุทธ์นครนิล เผ่าวิญญาณสมุทรออกไป ที่ตายก็ตาย ที่หนีก็หนี น่าอนาถจนทนดูไม่ได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินดันพูดออกมาว่า ‘จะไปเยือนถึงที่’ จะไม่ทำให้ขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้กระวนกระวายได้อย่างไร
พวกเขาไม่อยากถูกขับออกจากเมืองโบราณเผาเซียนแห่งนี้เหมือนขุมอำนาจอย่างพวกเผ่าอีกาทอง!
ดังนั้นยังไม่ทันรอให้หลินสวินเดินออกมาจากหอมกุฎ บุคคลระดับผู้นำของขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้ก็รวมตัวกันมา ‘ขอรับผิด’ แล้ว!
ถึงแม้การทำเช่นนี้จะดูขายหน้านัก ไม่สมกับฐานะของพวกเขา เสื่อมเสียเกียรติยศโดยสิ้นเชิง แต่ช่วยไม่ได้ ใครให้คนที่ไปผิดใจด้วยเป็นคนร้ายกาจอย่างเทพมารหลินกัน
ที่จริงแล้วในใจพวกเขาก็กลัดกลุ้มและอัดอั้นนัก
ตั้งแต่เริ่มจนจบพวกเขายังไม่ได้ทำอะไร เพียงสังเกตการณ์อย่างเย็นชา ต้องการดูขุมอำนาจที่มาจากภายนอกเหล่านั้นขัดแย้งกับหลินสวินเสียหน่อยเท่านั้น เหตุใด… ภัยจึงตกมาถึงตัวได้
หรือการไม่เตือนขุมอำนาจจากภายนอกเหล่านั้นถึงความน่ากลัวของเทพมารหลิน ก็เป็นความผิดอย่างหนึ่งหรือ
แน่นอนว่าความอัดอั้นใจนี้พวกเขาทำได้เพียงอดทน
ในเมืองโบราณเผาเซียนแห่งนี้ ยอมล่วงเกินยมราชได้ แต่จะล่วงเกินเทพมารหลินไม่ได้!
ไม่นานนักหลินสวินก็กลับมาแล้ว เมื่อเห็นภาพนี้เข้าตอนแรกก็อึ้งไป จากนั้นถึงกระจ่างใจขึ้นมา มุมปากยกยิ้มเหี้ยมเกรียม
เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย เดินตัดตรงไปยังตำหนักที่ตนพักอยู่
แต่นี่กลับทำให้ชายหญิงสิบกว่าคนนั้นกระวนกระวายขึ้นทันตา พากันเข้าประชิด
“สหายยุทธ์หลิน ข้าน้อยโจวชิงอวิ๋นผู้สืบทอดถ้ำสวรรค์ดารามายา ก่อนหน้านี้เพราะเข้าใจผิดบางประการ ถึงได้ทำให้สหายยุทธ์เช่นเจ้าไม่สบายใจ ข้าน้อยมาขออภัยโดยเฉพาะ ขอเจ้ายกโทษให้ด้วย”
“พี่หลิน ข้าคือผู้สืบทอดจวนสวรรค์ปัญจธาตุ…”
“คุณชายหลิน ขอให้ท่านอยู่ก่อน…”
ครู่เดียวหลินสวินก็ถูกล้อมไว้
ผู้กล้าที่ในอดีตหยิ่งยโสโอหัง เดินไปที่ใดก็ได้รับความยำเกรงจากทุกคนเหล่านี้ เวลานี้ล้วนพินอบพิเทา ใบหน้าเจือความละอายใจและรู้สึกผิด ออกตัวก้มหัวขออภัยก่อน
ภาพเช่นนี้ในอดีตย่อมพบเห็นได้ยากนัก หากแพร่งพรายออกไป ย่อมกลายเป็นหัวข้อสนทนาอันร้อนแรงไปทั่วหัวระแหง
ยามเหล่าผู้สืบทอดสำนักอนธการอย่างพวกลั่วชวนตามมาทันก็ได้เห็นภาพนี้เข้าพอดี ต่างตาเบิกกว้างในทันใด
ทำให้คนธรรมดาเคารพยำเกรงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ทำให้เหล่าบุคคลระดับผู้นำที่มาจากขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ พากันมาขอโทษ ทั้งแต่ละคนยังมีท่าทีพินอบพิเทานั้นเป็นเรื่องยากนัก!
“ยืมมีดฆ่าคนสนุกมากมั้ย” สายตาหลินสวินกวาดมองทุกคน สีหน้าเรียบเฉย
ชายหญิงเหล่านี้ต่างมีสีหน้าอับอายอยู่บ้าง อ้ำอึ้งไม่พูดจา แม้ในใจไม่สบอารมณ์นัก แต่… ทำได้เพียงทนต่อไป
“หากพวกเจ้ามองข้าหลินสวินเป็นศัตรู เช่นนั้นก็เข้ามาอย่างตรงไปตรงมาสิ หากทำได้เพียงลอบใช้เล่ห์กลกระจอกๆ แบบนี้ ก็มีแต่จะทำให้ข้าดูแคลนพวกเจ้า”
หลินสวินเอ่ยอย่างเย็นชา
ธนูในที่แจ้งหลบง่าย หน้าไม้ในที่ลับป้องกันยาก
ตอนนี้เหลือเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งปีก่อนจะไปยังแดนเก้าบน เขาไม่อยากเปลืองแรงมาป้องกันเรื่องพรรค์นี้
ประโยคเดียวทำให้ชายหญิงเหล่านี้แข็งทื่อไปทั้งตัว เหงื่อกาฬแทบไหลออกมา รีบร้อนรับรองว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีก
ละครตลกเรื่องหนึ่งก็ปิดฉากลงเช่นนี้
กระนั้นหลินสวินก็รู้ว่าแม้ตอนนี้ขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้อาจจะก้มหัวให้ แต่เมื่อแดนเก้าบนเปิดออก การช่วงชิงความเป็นหนึ่งในขอบเขตมกุฎที่แท้จริงเปิดฉากขึ้น ขอเพียงมีโอกาส พวกเขาย่อมหันมากัดตนอย่างร้ายกาจโดยไม่ถือสา!
เขาเข้าใจความคิดของผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้ดียิ่งนัก
ตอนนี้พวกเขาก้มหัวให้ ก็เพียงเพราะกลัวพลานุภาพที่ตนสำแดงออกมาในเมืองโบราณเผาเซียนเท่านั้น
ทันทีที่สถานการณ์เปลี่ยนไป พวกเขาก็จะมองการกระทำในวันนี้เป็นความอัปยศ ย่อมต้องหาโอกาสสร้างเรื่องยุ่งยากให้ตนแน่
นอกเสียจากว่าตนสามารถข่มพวกเขาเช่นนี้ไปได้ตลอด!
ตั้งแต่วันนี้ไป หลินสวินปิดด่านเก็บตัวอีกครั้ง คิดจะถือโอกาสก่อนเส้นทางไปยังแดนเก้าบนเปิดออก ยกระดับมหามรรคไร้มรณะขึ้นไปอีกขั้น
ทุกอย่าง ล้วนขาดเพียงโอกาสที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชันเท่านั้นแล้ว!
……
กาลเวลาเคลื่อนคล้อย ชั่วพริบตาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน
เมืองโบราณเผาเซียนยิ่งคึกคักขึ้น มีผู้ฝึกปราณจากแดนอื่นข้ามแดนมาแทบทุกวัน หมายจะอาศัยหอมกุฎในเมืองโบราณเผาเซียนเข้าสู่แดนเก้าบน
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็ง่ายดายนัก
ในบรรดาสามพันแดน แม้กล่าวว่าในหอมกุฎของทุกแดนล้วนกำหนดจำนวนผู้เข้าแดนเก้าบนไว้หนึ่งพันคน แต่ควรรู้ว่าจำนวนผู้ฝึกปราณในแต่ละแดนไม่ทันไรก็มีหลายล้านคน แค่คิดก็รู้ว่าการแข่งขันจะโหดร้ายปานไหน
อีกทั้งในบางแดนมีขุมอำนาจใหญ่มากมายกระจายตัวอยู่ ก็เหมือนเจียวหลงหลายตัวซุ่มอยู่ในบ่อหนึ่งเดียว เพื่อดำรงชีพ เจียวหลงที่อ่อนแอบางตัวก็ทำได้เพียงไปหาโอกาสที่บ่ออื่น
ทว่าขอเพียงเป็นขุมอำนาจจากภายนอกที่เข้าสู่แดนเผาเซียน เมื่อได้รู้ถึงการมีอยู่ของหลินสวิน รวมถึงเรื่องนองเลือดที่เขาทำแต่ละเรื่อง ต่างไม่กล้าบุ่มบ่ามก่อเรื่องแล้ว
อย่างน้อย เรื่องอย่างสำนักอนธการปิดล้อมหอมกุฎก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีก
มีผู้ฝึกปราณจากภายนอกที่ไม่พอใจ แต่เมื่อรู้ว่าหลินสวินได้ยืนตระหง่านอยู่บนขั้นสูงสุดของบันไดสวรรค์มหามรรคแดนนี้ ไม่มีใครสั่นคลอนได้ ความคิดที่จะสร้างเรื่องยุ่งยากให้หลินสวินก็ดับมอดลงทันที
การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในโลกภายนอกล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน
ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ ด้วยพลังของดวงใจฉิวหนิวและมรรคพ้องดั่งใจ ทำให้หลินสวินหยั่งรู้เจตจำนงมรรคไร้มรณะขั้นสมบูรณ์ได้อย่างราบรื่น
เหลืออีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็จะบรรลุระดับแก่นมรรคแล้ว!
……
อีกหนึ่งเดือนผ่านไป
ในตอนที่หลินสวินบรรลุเจตจำนงมรรคไร้มรณะถึงระดับแก่นมรรคนี้เอง ก็มีผู้ฝึกปราณภายนอกกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากเจดีย์มกุฎ
ผู้ที่นำหน้าเป็นชายหนุ่มที่มีสายฟ้าสีดำอาบชโลมไปทั้งกายผู้หนึ่ง สวมเกราะดำทั้งตัว เส้นผมทุกเส้นล้วนโอบล้อมด้วยสายฟ้าแสงนิลน่าหวาดหวั่น พลานุภาพน่าครั่นคร้ามหาใดเทียม
ข้างกายเขาห้อมล้อมไปด้วยชายหญิงกลุ่มหนึ่งเหมือนดาวล้อมเดือน
“บอกข้ามาว่าไอ้สารเลวหลินสวินอยู่ที่ไหน!”
ทันทีที่ปรากฏตัว ชายหนุ่มเกราะดำก็ยื่นมือไปคว้าผู้ฝึกปราณคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปผ่านห้วงอากาศ แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเฉยชา
“ยะ… อยู่…” ผู้ฝึกปราณคนนั้นตกใจจนสติแทบหลุด บอกที่พักของหลินสวินด้วยเสียงสั่นเครือ
ปึง!
ชายหนุ่มเกราะดำโยนผู้ฝึกปราณคนนั้นออกไปเหมือนทิ้งขยะ
จากนั้นนัยน์ตาสีแดงฉานของเขานั้นก็จับจ้องไปยังอาคารที่อยู่ไกลลิบหลังหนึ่งทันที แล้วพูดว่า “ไป พวกเราไปหาไอ้สวะตัวจ้อยนี่เสียหน่อย!”
สวบ!
เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง เงาร่างของเขาก็แปรสภาพเป็นสายฟ้าสีดำสายหนึ่งทะลวงผ่านอากาศดังโครมคราม เคลื่อนไปยังที่ไกลออกไป
ชายหญิงคนอื่นเห็นเช่นนี้ก็พากันตามติดไปด้วย
ท่าทางฮึกเหิมนัก!
ไกลออกไปผู้ฝึกปราณหลายคนเห็นภาพนี้เข้าล้วนหน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้ เกิดอะไรขึ้น ถึงกับยังมีคนกล้าข้ามแดนมาหาเรื่องเทพมารหลินหรือ
คนหวังดีไม่มา คนมาไม่ได้หวังดี
คนพวกนี้ท่าแข็งกร้าวเช่นนี้ ทันทีที่มาถึงก็เริ่มเคลื่อนไหว ชี้ปลายหอกไปยังเทพมารหลิน นี่ก็น่าตระหนกนัก
“พวกเขาคือผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!”
มีคนจำได้แล้ว ร้องเสียงหลงออกมาอย่างอดไม่อยู่
——