Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1205 เพลิงมรรคต้นกำเนิด
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1205 เพลิงมรรคต้นกำเนิด
ใต้บ่อโลหิตนรกเทพไม่มีอันตรายอะไรซ่อนอยู่
พวกหลินสวินต่างโล่งอก เงยหน้ามองไปก็พลันเห็นว่าที่ที่ตนยืนอยู่กลับเป็นโลกที่เงียบสงัด เวิ้งว้าง และมืดสลัวไปทั้งแถบ
เหมือนเดินเข้ามาในนรก ฟ้าดินเย็นยะเยือกเงียบเหงาทั้งแถบ
เงยหน้ามองไปบนห้วงอากาศ ปรากฏกระแสน้ำวนที่แปรมาจากกลุ่มเมฆสีเลือด
เมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งกลุ่มถูกเคลื่อนย้ายมาจากกระแสน้ำวนนี้
พินิจดูสี่ทิศคร่าวๆ รอบหนึ่ง จี้ซิงเหยาและเจิ้นอวิ๋นเฟิงต่างหยิบม้วนภาพที่เก่าและไม่สมบูรณ์ภาพหนึ่งออกมา รวมหัวกันวิเคราะห์
“ถ้ำแห่งนรกเทพในตำนานน่าจะอยู่ที่นี่”
ไม่นานทั้งสองก็ระบุตำแหน่ง จากนั้นพาทุกคนเคลื่อนไหวทันที
ระหว่างทางจี้ซิงเหยาสื่อจิตหาหลินสวิน ‘ถ้ำแห่งนรกเทพเป็นเพียงแค่วิธีเรียกของพวกเรา นั่นเป็นดั่งสถานที่ต้องห้าม ปิดผนึกมหาศุภโชคพลิกฟ้า ในสมัยบรรพกาลก็เคยมีผู้แข็งแกร่งไปถึงที่นั่น และคาดการณ์ว่าในถ้ำแห่งนรกเทพมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะหลงเหลือมรดกไร้เทียมทานบางอย่าง’
หลินสวินพยักหน้า เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก เป็นห่วงเพียงว่าตอนนี้เจ้าคางคกอยู่ที่ไหน
ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล เงียบสงัดและมืดสลัว
เดินอยู่ในนี้ สรรพสิ่งแห้งเหี่ยวไม่เห็นต้นไม้ใบหญ้า อากาศเต็มไปด้วยไอมรณะที่เย็นยะเยือก
ชิ้ง!
จู่ๆ เสียงกระบี่ครวญก็ดังขึ้น เบื้องหน้ากระบี่เทพสีทองเล่มหนึ่งทะลวงฟ้า กรีดทำลายความมืดมนของท้องฟ้า สว่างไสวอย่างที่สุด
จากนั้นก็แวบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผ่านไปสองชั่วยามแล้ว ระหว่างทางแม้จะไม่เจออันตรายใดๆ แต่บรรยากาศกลับเงียบจนชวนกดดัน ตอนนี้จู่ๆ เห็นภาพเช่นนี้ ทำให้พวกหลินสวินตกใจขึ้นมาทันที
“หรือที่แห่งนี้จะมีกระบี่สมบัติพลิกฟ้าปรากฏออกมา”
โม่เทียนเหอสายตาวูบไหว
จนถึงตอนนี้พวกเขาเดินอยู่ในแดนนรกโลหิตตลอดทาง ไม่เคยเห็นของมีค่าใดๆ และไม่มีผลเก็บเกี่ยวใดๆ
มุ่งหน้าไปอีกสิบลี้ สุสานหัวโล้นที่ราวกับเนินเขาเล็กๆ ปรากฏขึ้น ตั้งตระหนักอยู่ตรงนี้ไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว หน้าสุสานมีศิลาหลักหนึ่งตั้งอยู่
ศิลาหินผุพังผ่านการกัดก่อนของลมฝน สามารถมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าด้านบนมีอักษรโบราณเขียนว่า ‘เพลิงมรรคไม่ดับ มหามรรคคงอยู่ชั่วนิรันดร์’
พวกหลินสวินอดตะลึงไม่ได้ สุสานนี้ดูเหมือนธรรมดา แต่กลับไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ราวกับเนินเขาลูกย่อมๆ ปลดปล่อยอานุภาพไร้รูป!
‘อานุภาพ’ เช่นนี้ เบื้องบนเชื่อมสวรรค์ เบื้องล่างเชื่อมพื้นดิน รวมเป็นหนึ่งเดียวกับที่แห่งนี้ แม้จะไร้รูปแต่กลับให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่แข็งแกร่ง สูงใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด
ยืนอยู่ด้านหน้ามันแล้วเล็กจ้อยราวกับมด ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวไปโดยธรรมชาติ
“หรือว่านี่เป็นสุสานอริยะ”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงสายตาเร่าร้อน
คนอื่นๆ ต่างเผยความตื่นเต้นออกมาไม่มากก็น้อย สุสานอริยะแห่งหนึ่ง ด้านในจะต้องมีสิ่งของที่มูลค่าน่าตกใจอย่างแน่นอน
ชิ้ง!
ทันใดนั้นในสุสานโบราณนั้นมีเสียงครวญใสดังขึ้น แสงดาบสีเงินยวงพุ่งออกมา ราวกับมังกรขาวที่คดเคี้ยวและทะลวงขึ้นฟ้าไป ด้วยอยู่ท่ามกลางฟ้าดินที่มืดสลัว ทำให้ดูสะดุดตามากเป็นพิเศษ
“แสงกระบี่สีทองเมื่อครู่นี้ต้องออกจากสุสานนี้อย่างแน่นอน!”
โม่เทียนเหอพูดกับตัวเอง ในใจก็อดคาดหวังไม่ได้
ผ่านความแปลกประหลาดและอันตรายมามากมาย ไม่ง่ายกว่าจะผ่านบ่อโลหิตนรกเทพเข้ามาถึงที่นี่ แต่ระหว่างทางกลับไม่ได้อะไรเลย ทำให้ทุกคนสงสัยว่าจะมาผิดที่เสียแล้ว
แต่ตอนนี้ไม่มีใครคิดเช่นนี้แล้ว!
“นี่ไม่ใช่ปราณดาบ แต่เป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่แปลงจากเพลิงมรรคต้นกำเนิด!”
ดวงตากระจ่างของจี้ซิงเหยาเผยระลอกคลื่นหลากสีสัน เงยขึ้นมองห้วงอากาศ
หลินสวินเองก็สังเกตเห็นว่าปราณดาบสีเงินที่โฉบขึ้นมานั้น ความจริงเป็นปรากฏการณ์ประหลาดของห้วงอากาศ มองดูอย่างละเอียดมันเหมือนควบรวมออกมาจากเปลวเพลิงสีเงิน!
ทันใดนั้นสายตาของทุกคนล้วนแปลกไป ในใจเต้นระทึก
เพลิงมรรคต้นกำเนิดถือกำเนิดจากเมล็ดพันธุ์เพลิงในต้นกำเนิดมหามรรค มีประโยชน์มหัศจรรย์ในการหล่อเลี้ยงและหลอมชำระยอดศาสตรามรรคราชัน
เป็นที่รู้กันดีว่าขอเพียงเหยียบย่างระดับราชัน ก็จะสามารถหล่อเลี้ยงสมบัติบริสุทธิ์ที่เป็นของตัวเองได้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ยอดศาสตรามรรคราชัน’
สำนักโบราณทุกสำนักล้วนมีวิชาและทักษะที่แตกต่างกันในการหลอมและหล่อเลี้ยงยอดศาสตรามรรคราชัน มีความมหัศจรรย์ที่แตกต่างกัน
แต่การมีหรือไม่มีเพลิงมรรคต้นกำเนิดมาหลอมนั้น ทำให้ยอดศาสตรามรรคราชันเกิดอนุภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มีเพลิงมรรคต้นกำเนิดคอยช่วย คุณภาพและอานุภาพของยอดศาสตรามรรคราชันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าดิน มีคุณสมบัติแฝงที่สามารถพัฒนาเป็นสมบัติอริยะได้!
แต่ถ้าไม่มีการช่วยเหลือของเพลิงมรรคต้นกำเนิด ก็จะเป็นตรงกันข้ามที่คุณภาพละอนุภาพจะมีจำกัด อีกทั้งในอนาคตก็ไม่สามารถกลายเป็นสมบัติอริยะได้
ยกตัวอย่างยอดศาสตรามรรคราชันชิ้นหนึ่งที่หลินสวินหลอมขึ้นมา หากมีเพลิงมรรคต้นกำเนิดก็จะสามารถหลอมชำระได้อย่างต่อเนื่อง ขอเพียงแค่มีวัตถุดิบวิญญาณและวัตถุดิบเทพที่เพียงพอ ก็สามารถทำให้ยอดศาสตรามรรคราชันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งพัฒนาเป็นสมบัติอริยะ!
ทว่าหากไม่มีเพลิงมรรคต้นกำเนิดก็จะไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
นี่ก็คือคุณค่าของเพลิงมรรคต้นกำเนิด!
ในโลกภายนอกเพลิงมรรคต้นกำเนิดถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าในสำนักใหญ่ต่างๆ แบ่งเฉือนเก็บฮุบไปเกือบหมดแล้ว ที่หลงเหลืออยู่มีน้อยยิ่งกว่าน้อย เทียบจะสิ้นสูญไปหมดแล้ว
ถึงอย่างไรสมบัติระดับนี้ สัตว์ประหลาดเฒ่าคนใดจะยอมยกให้คนรุ่นหลังเล่า
แม้แต่เหล่ามกุฎราชันอย่างจี้ซิงเหยา โม่เทียนเหอ เจิ้นอวิ๋นเฟิง ก่อนจะมุ่งหน้ามายังแดนมกุฎก็เพียงแค่ถูกสำนักแจ้งให้ทราบว่า หากสามารถบรรลุระดับมกุฎราชันและกลับมาอย่างปลอดภัย ทางสำนักจึงจะพิจารณาเรื่องขอเพลิงมรรคต้นกำเนิดมาให้พวกเขา!
ก็หมายความว่า อย่างพวกจี้ซิงเหยาหากอยากจะได้เพลิงมรรคต้นกำเนิด ก็ต้องทำให้ได้ตามที่สำนักกำหนด!
“ถ้าอย่างนั้น ในสุสานนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะซ่อนเพลิงมรรคต้นกำเนิดไม่ใช่แค่ชนิดเดียวหรือ”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงสูดหายใจสะท้าน ไม่สามารถสงบนิ่งได้
“ต้องเป็นเช่นนี้แน่ และการที่สามารถปรากฏเพลิงมรรคบริสุทธิ์ที่สะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ได้ คุณภาพจะต้องน่าทึ่งอย่างที่สุดด้วย”
จี้ซิงเหยาตาเป็นประกายระยิบระยับ ในใจนางตื่นเต้นอย่างมาก
ยังไม่ทันถึงถ้ำแห่งนรกเทพ ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะได้รับศุภโชคใหญ่ที่ไม่อาจร้องขอ ไม่ว่าใครก็ยากจะสงบได้
“เพลิงมรรคไม่ดับ มหามรรคคงอยู่ชั่วนิรันดร์…”
สายตาของหลินสวินจ้องมองศิลาหินที่เต็มไปด้วยรอยด่างนั่น เอ่ยว่า “ที่นี่จะต้องมีวาสนาเกี่ยวกับเพลิงมรรคต้นกำเนิดซ่อนอยู่แน่”
สาเหตุสำคัญที่ก่อนหน้านี้เขาไม่หลอมยอดศาสตรามรรคราชันเสียทีก็คือ ในมือเขายังขาดเพลิงมรรคค้นกำเนิด!
ตอนนี้มีความเป็นไปได้ที่วาสนาจะอยู่ตรงหน้า
ระหว่างที่พวกเขาคุยกัน บนสุสานประหนึ่งเนินเขาเล็กนั้นมีแสงประกายพุ่งทะลวงขึ้นฟ้าไม่ขาดสาย เปลี่ยนเป็นรูปร่างที่แตกต่างกัน ปรากฏการณ์ประหลาดชวนตะลึง
จากเรื่องนี้สามารถคาดการได้ว่า ใต้สุสานต้องมีเพลิงมรรคต้นกำเนิดไม่น้อยแน่!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็รีบลงมือกันเถอะ”
เมื่อคำพูดนี้ของเจิ้นอวิ๋นเฟิงดังออกมา พลันดึงดูดให้ทุกคนร้องรับทันที พวกเขารอไม่ไหวแล้วจริงๆ
“ช้าก่อน!”
จู่ๆ หลินสวินก็พูดขึ้น เดินหน้าเข้าไปก่อนแผ่จิตรับรู้สัมผัสอย่างละเอียด
คนอื่นๆ ต่างขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุใดต้องระวังขนาดนี้ เปิดสุสานนี้เสียก็จบมิใช่หรือ
“ข้าจัดการเอง!”
ชายเหี้ยมหาญที่ชื่อจั่นลู่ซิวคนนั้นหมดความอดทนแล้ว ก้าวเท้าออกไป เรียกทวนศึกสีดำเล่มหนึ่งออกมา ส่งเสียงคำรามโดยพลันแล้วฟาดฟันลงไป
ตูม!
ห้วงอากาศระเบิดแตกโดยพลัน เห็นได้ว่าการโจมตีนี้รุนแรงแค่ไหน
เพียงแต่ตอนนี้เองหลินสวินกลับสะบัดแขนเสื้อ พาจี้ซิงเหยาถอยร่นหนีออกไปไกล
และในเวลาเดียวกัน จู่ๆ สุสานนั่นก็ปลดปล่อยคลื่นต้องห้ามทะลวงฟ้า แผ่ขยายออกไปราวกับกระแสน้ำ
เสียงปังดังสนั่น จั่นลู่ซิวเป็นหนังหน้าไฟ ถูกสะเทือนจนปลิวออกไปอย่างรุนแรง ร่างกายเซถอยล้มลงห่างออกไปนอกร้อยจั้ง ปากจมูกกระอักเลือด
พวกโม่เทียนเหอ เจิ้นอวิ๋นเฟิงไม่ได้หนีในทันที ต่างโดนลูกหลงไปด้วย ล้วนต้านทานและหลบหนีอย่างสะบักสะบอม เสียงร้องสับสนวุ่นวายดังมาเป็นระลอก
มีเพียงหลินสวินกับจี้ซิงเหยาที่ปลอดภัยหายห่วง
“เจ้าดูออกนานแล้วหรือ” จี้ซิงเหยาอดถามไม่ได้
หลินสวินพูด “ข้าเพียงรู้สึกว่าออกจะผิดปกติ จึงให้ทุกคนรอสักครู่ ไม่คิดว่าสหายยุทธ์จั่นจะใจร้อนไปหน่อยจนเกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้”
สีหน้าของจั่นลู่ซิวที่เพิ่งกลับมาพลันดูย่ำแย่ขึ้นมาอยู่บ้าง นี่กำลังกล่าวโทษว่าเขาทำเสียเรื่องหรือ
เขาเตรียมจะพูดอะไรสักหน่อยก็ถูกสายตาเย็นเยียบของเจิ้นอวิ๋นเฟิงมองเขม็งแวบหนึ่ง พลันสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ไม่กล้าพูดอะไรมาก
ในเวลาเดียวกันเจิ้นอวิ๋นเฟิงพูดพร้อมสีหน้าเป็นมิตร “พี่จิน ในเมื่อเจ้าสัมผัสได้ถึงเลศนัยแล้ว มีวิธีแก้หรือไม่”
สายตาของคนอื่นๆ ต่างมองมาทางหลินสวิน
“ทุกท่านรอสักครู่”
ว่าแล้วหลินสวินก็เริ่มเดินสังเกตรอบสุสานแห่งนี้
ครู่หนึ่งเขายืนตระหง่านอยู่ตรงตำแหน่งหนึ่ง จู่ๆ ก็ออกแรงใต้ฝ่าเท้า
เสียงตึงดังลั่น ฟ้าดินสั่นสะเทือน ดินโคลนสาดกระเซ็น เผยแผ่นหินสีดำที่แปลกประหลาดเชื่อมไปถึงหน้าสุสาน ราวกับทางเดินที่ถูกปูขึ้นมา
ขจัดดินโคลนจนหมดสิ้นก็สามารถมองเห็นว่า บนแผ่นหินสีดำนั่นประทับสัญลักษณ์ไว้มากมาย ทั้งเป็นเปลวเพลิงในรูปลักษณ์ต่างๆ
บางอันเหมือนดาบ เหมือนกระบี่ เหมือนกระถาง เหมือนเจดีย์
บางอันกลับปรากฏรูปร่างสัตว์ปีก สัตว์สี่เท้า ภูตผีปีศาจ
ทุกคนเห็นเช่นนี้ต่างตื่นเต้นมาก อดมองหลินสวินอีกคราไม่ได้ คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าจินตู๋อีคนนี้ยังสามารถมองทะลุความจริงเท็จของที่แห่งนี้ได้
หลินสวินกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาเดินตามแผ่นหินสีดำไปถึงฐานสุสาน สังเกตคร่าวๆ ก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปกดลงกลางอากาศเบาๆ
แกรกๆ!
ภาพที่น่าตกใจปรากฏขึ้น พร้อมๆ กับที่หลินสวินกดลง ใต้สุสานนั่นหินเก่าแก่ที่รวมเป็นชิ้นเดียวพลันแยกออกจากกัน ปรากฏทางเดินคล้ายอุโมงค์สายหนึ่ง นำไปสู่ส่วนลึกของสุสาน
“สำเร็จแล้วหรือ”
คนอื่นๆ ต่างดีใจ สายตาที่มองหลินสวินยิ่งแปลกประหลาดขึ้น คิดไม่ถึงว่าจินตู๋อีนี่ยังมีความสามารถที่มหัศจรรย์เช่นนี้ด้วย
ความจริงนี่คือความดีความชอบของนัยน์ตาเฉาเฟิง มีประโยชน์อัศจรรย์ต่อการเสาะหาชีพจรปราณ
หลังจากหลินสวินก้าวสู้ระดับราชัน อานุภาพของนัยน์ตาเฉาเฟิงก็มหัศจรรย์ขึ้น สามารถมองทะลุความจริงเท็จได้ สำรวจคุณลักษณะของฟ้าดินได้มากขึ้น
โม่เทียนเหอถูมือ อดไม่ไหวอยากพุ่งเข้าไปในอุโมงค์นั่นแล้ว แต่เพียงครู่เดียวก็ชะงักเท้า มองหลินสวินอย่างลำบากใจแวบหนึ่ง น้อมขอคำชี้แนะ “พี่จิน ตอนนี้ปลอดภัยแล้วหรือไม่”
สายตาของหลินสวินแปลกพิกลเล็กน้อย หากเจ้าหมอนี่รู้ว่าตนก็คือหลินสวินที่เล่นงานเขาจนร่วง จะยังเกรงใจตนเช่นนี้หรือไม่
“ตอนนี้ถือว่าปลอดภัยแล้ว แต่ในอุโมงค์จะมีอันตรายอย่างอื่นหรือไม่นั้นข้ายังไม่สามารถตัดสินได้”
หลินสวินพูดง่ายๆ
“เช่นนั้นให้พี่จินนำทางเป็นอย่างไร พวกข้าจะคุ้มกันเจ้าอย่างเต็มกำลัง”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงเองก็พูดขึ้นอย่างเกรงใจ
จี้ซิงเหยาพลันพบว่า หลินสวินได้กลายเป็นกำลังสำคัญในกลุ่มของพวกเขาไปโดยปริยายแล้ว อย่างน้อยๆ ตอนนี้ แม้แต่โม่เทียนเหอและเจิ้นอวิ๋นเฟิงยังต้องพึ่งพลังและสติปัญญาของเขา
เป็นทอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ล้วนเปล่งประกาย
จี้ซิงเหยาอดถอนหายใจในใจไม่ได้
………………..