Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1217 ศุภโชคกับผลกรรม
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1217 ศุภโชคกับผลกรรม
แม้จะสยบเพลิงมรรคไร้มลทินได้สำเร็จ แต่ค่าตอบแทนที่หลินสวินจ่ายไปก็น่าอนาถเช่นกัน
เสียโอสถราชันไปสิบหกต้นเต็มๆ กว่าจะฟื้นฟูร่างกายกลับมามีกำลังวังชาได้อีกครั้ง
ที่จริงเมื่อคำนวณโดยละเอียด ในระหว่างสยบเพลิงมรรคใหญ่ทั้งห้านี้ ร่างกายของหลินสวินเสมือนผ่านการนิพพานไปแล้วห้าครั้ง!
ก็เปรียบได้กับเหล็กแข็งก้อนหนึ่งถูกตีให้แหลกห้าครั้งและสร้างขึ้นใหม่อีกห้าครั้ง
ส่วนโอสถราชันหลายสิบต้นที่ผลาญไปแม้มีจำนวนมาก แต่แก่นแท้ของโอสถราชันเหล่านี้กลับทำให้ร่างกายที่หลินสวินสร้างขึ้นใหม่แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งหาใดเทียบ
เหมือนกับตอนนี้ ร่างกายของเขาเปล่งปลั่งเจิดจรัส อบอวลไปด้วยแสงสมบัติ กล้ามเนื้อกระดูกผิวหนังประหนึ่งสร้างขึ้นจากทองเทพ ปะทุพลังชีวิตคับคั่งหาใดเทียบออกมา
แม้แต่เส้นผมของเขายังมีแสงวิญญาณโปรยปราย หากถูกตัดไปยังสามารถเป็นวัตถุดิบวิญญาณหลอมอันสูงค่าได้!
ไม่ต้องสงสัยว่านี่เป็นสิ่งที่เก็บเกี่ยวได้อย่างเหนือความคาดหมายอย่างหนึ่ง ทำให้หลินสวินแม้ยังไม่บรรลุมรรคหลอมกาย แต่กลับปูรากฐานร่างกายที่แข็งแกร่งหาใดเทียบไปแล้ว
เมื่อสัมผัสได้ถึงการฟื้นฟูพลังกายทั้งร่างถึงขีดสุดแล้ว ตอนนี้หลินสวินถึงทอดสายตามองไปยังเพลิงมรรคเตาหลอมที่ตั้งตระหง่านกลางทะเลเพลิง ดุจดั่งไม่เสื่อมคลายชั่วนิรันดร์เตานั้น
เพลิงมรรคฟ้าประทานใหญ่ทั้งห้าถูกสยบลงไปแล้ว ตอนนี้ก็ขาดแค่สยบมหาศุภโชคที่ต้องใจหลินสวินที่สุดดวงนี้แล้ว!
วู้ม!
ทว่ายังไม่ทันรอให้หลินสวินลงมือ ขุนพลวิญญาณเพลิงที่จำแลงมาจากกฎระเบียบผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นทันที กุมมือเอ่ยว่า “คุณชาย โปรดหยุดมือ”
เสียงยังเฉยชาว่างเปล่า แต่เพิ่มมารยาทเข้ามาแล้ว นี่เป็นการยอมรับหลินสวินอย่างไร้ข้อกังขา
หลินสวินเลิกคิ้ว “เจ้าจะขวางข้าหรือ”
ขุนพลวิญญาณเพลิงส่ายหัว “หากคุณชายลงมือ จะต้องก่อให้เกิดเภทภัยที่ไม่อาจคาดคะเนได้ ทำให้วาสนาที่ผนึกนี้สูญสิ้นไปโดยสมบูรณ์”
หลินสวินครุ่นคิด “เจ้าจะบอกว่า หากข้าลงมือกับเตาหลอมเตานั้น ทุกสิ่งในที่แห่งนี้จะหายไปหมดหรือ”
ขุนพลวิญญาณเพลิงพยักหน้า ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “ทว่าหากคุณชายต้องการนำเพลิงมรรคนี้ไป ก็ไม่ได้ไม่มีวิธี”
“พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
ดวงตาดำของหลินสวินเปล่งประกาย ไม่ต้องลงมือได้ยิ่งดี
“เพลิงมรรคนี้ถือกำเนิดในแหล่งกำเนิดคลุมเครือ ภายหลังถูกผนึกไว้ที่นี่ หากคุณชายนำมันหวนคืนแหล่งกำเนิดได้ ไม่ต้องลงมือมันก็จะตามท่านไป ยกท่านเป็นนายเอง”
ขุนพลวิญญาณเพลิงกล่าว
สายตาหลินสวินมองไปยังเพลิงมรรคเตาหลอมนั้น นิ่วหน้าพูดว่า “ถ้าไม่ลงมือ จะนำกลับไปแหล่งกำเนิดได้อย่างไร”
ขุนพลวิญญาณเพลิงเอ่ย “ได้รับการยอมรับจากมันก็พอแล้ว”
ส่วนจะได้รับการยอมรับอย่างไร กลับไม่ได้บอก
หลินสวินจมสู่ห้วงความคิด ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจลองดูสักครั้ง
……
นอกภูเขาไฟ พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิง จี้ซิงเหยากับเจ้าคางคกล้วนตั้งตาคอยอย่างกระวนกระวาย
ช่วงก่อนหน้านี้ภายในภูเขาไฟมีเสียงโครมครามราวอสนีบาตดังขึ้นตลอด ทั้งมีเพลิงมรรคต้นกำเนิดกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าพุ่งเข้าไปภายในนั้น
ภาพเหล่านี้ทำให้พวกเขาตกอกตกใจเป็นระยะ กลัวแต่หลินสวินจะประสบเคราะห์
จินตนาการได้ว่าใต้ภูเขาไฟลูกนั้นต้องเกิดการต่อสู้น่าครั่นคร้ามถึงที่สุดอยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเทพมารหลินจะต้านทานได้หรือไม่
“เอ๋?”
ทันใดนั้นจี้ซิงเหยาก็สังเกตเห็นว่าภูเขาไฟที่กำลังปะทุลูกนั้นสงบลงอย่างประหลาด ไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว
ฉับพลันทุกคนก็รู้สึกได้ว่า แม้แต่เพลิงมรรคต้นกำเนิดนับร้อยนับพันที่ทะลักออกมาจากในภูเขาไฟ ตอนนี้ต่างหายลับไป ตกอยู่ในความเงียบเชียบ
อีกทั้งพวกเขาต่างสังเกตได้อย่างฉับไว ว่ากลิ่นอายทำลายล้างอันร้อนเร่าแทบจะเผาไหม้เต็มฟ้าดินแถบนี้สลายไปอย่างรวดเร็ว
แม้ยังร้อนเป็นไฟเหมือนเดิม แต่เทียบกับเมื่อครู่ก็ไม่มีกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงที่กดข่มใจคนเช่นนั้นโดยสิ้นเชิงแล้ว
เกิดอะไรขึ้น
ทุกคนฉงนใจไม่ว่างเว้น
ก็ในตอนนี้เอง ในครรลองสายตาของทุกคน เงาร่างสูงเด่นสันโดษของหลินสวินปรากฏขึ้นที่ปากภูเขาไฟ
อาภรณ์สีขาวพระจันทร์ทั้งตัว ผมดำปลิวไสว ทั้งร่างอาบด้วยแสงมรรคราวมายา มองจากไกลๆ ดุจดั่งเซียนเหนือโลกีย์จุติลงมา
ออกมาแล้ว!
ทุกคนในที่นั้นตื่นเต้นกระสับกระส่าย จิตใจที่เป็นกังวลอยู่สงบลง
หลินสวินก้าวย่างมาทางนี้ พร้อมกันนั้นภูเขาไฟสีแดงเพลิงหาใดเทียบลูกนั้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเงียบงันและทรุดโทรม กำลังมอดดับไป…
นี่ทำให้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี ทำไปถึงเป็นเช่นนี้
“หลินสวิน ชิงศุภโชคใหญ่อะไรมาได้ไหม” เจ้าคางคกเอ่ยปากถามอย่างอดไม่ได้
หลินสวินพยักหน้า จากนั้นก็พูดว่า “ออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน”
ทุกคนสบตากัน ต่างเก็บกลั้นความสงสัยต่างๆ ไว้ในใจ กลับตามทางเดิมตามหลินสวินไป
โครม!
และเบื้องหลังพวกเขา ภูเขาไฟที่ซ่อนเพลิงมรรคต้นกำเนิดไม่รู้เท่าไรไว้ลูกนั้นก็ยุบตัวลงไปเบื้องล่างอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น หายลับไปด้วยความเร็วที่ตาเนื้อมองเห็นได้
นี่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกในใจอีกครั้ง สีหน้าเจือไปด้วยแววประหลาด ต่างรู้ดีว่าใต้ภูเขาไฟนั้นต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหันบางอย่าง ถึงทำให้ทุกอย่างนี้เกิดขึ้น
และนี่ต้องเกี่ยวข้องกับหลินสวิน!
จวบจนออกมาจากถ้ำสุเมรุ กลับมาอยู่ในเจดีย์หินอีกครั้งหนึ่ง ทุกคนต่างถอนหายใจยาวโดยมิได้นัดหมาย
เพียงแต่หลินสวินยังไม่มีความคิดจะเอ่ยปากเหมือนเดิม หน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าทางรีบร้อน กลับไปทางเดิมอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า
แม้ทุกคนมีความสงสัยมากมายในใจ แต่สุดท้ายก็ยังอดทนไว้
แต่ระหว่างทางใจหลินสวินออกจะว้าวุ่น
ก่อนหน้านี้เขาลองใช้จิตรับรู้สื่อสารกับเพลิงมรรคเตาหลอมนั้น ผลลัพธ์คือได้พบอย่างตกตะลึงว่า รอบๆ เพลิงมรรคนี้มีพลังต้องห้ามไร้รูปอยู่!
เป็นพลังต้องห้ามไร้รูปนี้เองที่ผนึกเพลิงมรรคเตาหลอมนี้ ทำให้มันได้เก็บตัวอยู่ใต้ภูเขาไฟอย่างเงียบเชียบ ไม่อาจเคลื่อนไหวได้
ทว่าพลังต้องห้ามนี้ไม่ได้ทำร้ายหลินสวิน กลับแสดงให้เห็นอักษรรมรรครูปลักษณ์กรงเล็บนกโบราณแถวหนึ่ง…
‘หมายได้ไฟนี้ ต้องสัมผัสผลกรรม หมายสลายผลกรรม ต้องเข้าสถานอัศจรรย์ ไม่ว่าเจ้าเป็นผู้ใด ขอถามสักประโยค ต้องการนำเพลิงนี้ไปยังแหล่งสถานอัศจรรย์หรือไม่’
แหล่งสถานอัศจรรย์ หนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล ลือกันว่าอยู่ในส่วนลึกที่สุดของฟ้าดารา
สำหรับข่าวลือของสถานที่นี้ หลินสวินคุ้นเคยดี กระทั่งว่ายังมีสมบัติบางชิ้นในมือเขามีส่วนเกี่ยวข้องบางอย่างกับแหล่งสถานอัศจรรย์
ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าตอนจะเก็บเพลิงมรรคเตาหลอมนั้น จะได้เกี่ยวโยงกับ ‘แหล่งสถานอัศจรรย์’ อีกครั้งโดยไม่ตั้งใจ!
หลินสวินรู้ว่าเพลิงนี้มีผลกรรม หากคิดจะได้มันมา ต้องรับผลกรรมที่มันนำมาด้วย และผลกรรมเช่นนี้ก็เกี่ยวข้องกับแหล่งสถานอัศจรรย์
เพียงแต่เขาไม่เคยคิดจะไปเสาะหาสถานที่ที่เกือบจะเป็นตำนานแห่งนี้มาก่อน
แต่ท้ายที่สุดหลินสวินก็ตอบรับแล้ว
เพราะเพลิงมรรคเตาหลอมนี้สำคัญต่อเขายิ่งนัก สาเหตุที่คราวนี้เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตฝ่าเข้าไปยังก้นภูเขาไฟนั้น ก็เพื่อเสาะหาเพลิงมรรคที่พึงพอใจดวงหนึ่งให้ตัวเอง ใช้สิ่งนี้มาหลอมตีและฟูมฟักยอดศาสตรามรรคราชันอันเป็นของตน
และหลังจากนั้น พลังต้องห้ามสลาย เพลิงมรรคเตาหลอมนั้นก็ถูกหลินสวินเก็บไปโดยราบรื่นถึงที่สุด ระหว่างทางไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันอีก
ดูเหมือนราบรื่นนัก แต่หลินสวินรู้ว่าตนได้สัมผัสกับผลกรรมของเพลิงมรรคเตาหลอมดวงนี้แล้ว!
ส่วนจะสลายอย่างไร นั่นเป็นเรื่องในภายหน้า ยังไม่ถึงกับทำให้หลินสวินทุกข์ร้อนใจกับผลกรรมที่คลุมเครือคล้ายไม่มีจริงอันหนึ่ง
ที่ทำให้หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีจริงๆ ก็คือ เพลิงนี้ถึงกับมีนามว่า ‘อัศจรรย์’!
สิ่งนี้พิสูจน์อย่างไร้ข้อกังขา ว่าเพลิงนี้ต้องเกี่ยวข้องกับแหล่งสถานอัศจรรย์ในตำนานเป็นอย่างยิ่ง!
เวลานี้เพลิงมรรคอัศจรรย์ก็ลอยอยู่เหนือ ‘เมล็ดพันธุ์มรรค’ ในร่างหลินสวินอย่างว่านอนสอนง่าย
ส่วนรอบๆ เพลิงมรรคอัศจรรย์ ล้อมรอบปกปักษ์ไปด้วย ‘เพลิงมรรคสงัดนิรันดร์’ ที่กลายสภาพเป็นบรรทัดหยกสีดำ ‘เพลิงมรรคไร้มลทิน’ ที่กลายสภาพเป็นคัมภีร์หยกขาว ‘เพลิงมรรคห้าเร้น’ ที่กลายสภาพเป็นกวางห้าสี ‘เพลิงมรรคโชนทอง’ ที่กลายสภาพเป็นโคมทองดวงหนึ่ง และ ‘เพลิงมรรคเรืองม่วง’ ที่กลายสภาพเป็นม้วนภาพสีม่วงม้วนหนึ่ง!
เพลิงมรรคฟ้าประทานห้าดวงล้วนถูกหลินสวินสยบลงก่อนแล้ว แต่ตอนนี้ต่อหน้าเพลิงมรรคอัศจรรย์ก็ยังคงล้อมรอบปกปักษ์เหมือนข้าราชบริพารดังเดิม
จากจุดนี้ก็เห็นแล้วว่าเพลิงมรรคอัศจรรย์นี้น่าตื่นตะลึงปานไหน
โครม!
ยามพวกหลินสวินเพิ่งเดินออกมาจากโลกใต้สุสาน สุสานโบราณที่เหมือนภูเขาลูกย่อมนี้ก็ยุบตัวลงตามไปด้วย
หายลงไปใต้พื้นดินท่ามกลางฝุ่นควันอบอวล
เมื่อพวกหลินสวินเสาะหาอย่างละเอียดก็ไม่อาจหาร่องรอยใดๆ พบแล้ว
เหมือนกับว่าสุสานนี้ระเหยหายไปในอากาศ
แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่า ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องจริง!
“พี่หลิน ไม่ทราบว่าเจ้าเจอประสบกับอะไรที่ใต้ภูเขาไฟนั้นบ้าง”
จี้ซิงเหยาเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ สายตาของคนอื่นก็พากันมองไปยังหลินสวิน เจือไปด้วยความสงสัย
หลินสวินยิ้มให้แล้วพูดว่า “ได้เห็นเพลิงมรรคฟ้าประทานที่พิเศษนักดวงหนึ่ง ต้องสู้ด้วยพลังทั้งหมดที่มีเพื่อสยบมัน ยังดีที่โชคดีทำสำเร็จแล้ว”
เขาหยุดไปแล้วพูดต่อว่า “เพียงแต่ก็เพราะศึกนี้ ทำให้ภูเขาไฟนั่นได้รับผลกระทบ จนกระทั่งจมสู่ความเงียบงัน ก็ไม่รู้ว่าจะปรากฏขึ้นอีกทีเมื่อไร และจะปรากฏขึ้นที่ใด…”
แม้ถ้อยคำจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง แต่ทุกคนก็ไม่คิดจะซักไซ้ถึงที่สุด
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของหลินสวิน ถ้าเขาไม่อยากพูด ต่อให้ถามแค่ไหนก็เสียเปล่า
ขณะที่พูดหลินสวินพลิกมือครั้งหนึ่ง เพลิงมรรคต้นกำเนิดสองดวงก็ปรากฏขึ้น ทันใดนั้นก็เบนความสนใจของทุกคนให้มารวมกัน
จากนั้นที่ทำให้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีก็คือ หลินสวินนำเพลิงมรรคสองดวงมอบให้อิ๋นเสวี่ยกับจั่นลู่ซิว!
สิ่งนี้เป็นถึงศุภโชคที่แม้บังเอิญพบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอ สาบสูญไปจากโลกภายนอกนานแล้ว มูลค่าเหลือประมาณ และไม่อาจใช้ราคามาเทียบวัดได้!
แต่ตอนนี้หลินสวินกลับมอบให้สองดวงง่ายๆ!
ชั่วขณะหนึ่งจั่นลู่ซิวกับอิ๋นเสวี่ยล้วนนิ่งอึ้งอย่างอดไม่ได้ ตื่นเต้นยินดีและประหลาดใจ จนกระทั่งสมองสับสนงุนงงอยู่บ้าง
“ในเมื่อเป็นสิ่งที่พี่หลินมอบให้ ยังไม่รีบรับไปอีกหรือ พลาดแล้วพลาดเลยนะ” เจิ้นอวิ๋นเฟิงยิ้มพูด
ในใจเขาก็ซับซ้อนนัก ทั้งตื่นตะลึงและชื่นชม
หากเปลี่ยนเป็นเขา เกรงว่าคงไม่ใจกว้างเช่นนี้!
“ขอบคุณพี่หลิน บุญคุณใหญ่หลวงปานนี้ พวกเราทั้งสองไม่อาจลืมเลือน”
พวกอิ๋นเสวี่ยล้วนสูดหายใจลึก แสดงความขอบคุณด้วยสีหน้าจริงจัง
หลินสวินยิ้มให้ นี่เป็นเพียงเพลิงมรรคต้นกำเนิดที่เขาดูดซับมาอย่างสบายๆ สองดวง ในมือเขายังมีอีกสิบกว่าดวง
หากไม่ใช่ว่าตอนนั้นเวลาไม่พอ ยังจะได้มามากกว่านี้อีก
คนอื่นต่างก็เดาเรื่องนี้ได้ เพียงแต่ไม่มีใครพูดอะไรอีก นี่เป็นศุภโชคของหลินสวิน ใครก็ออกความเห็นไม่ได้
‘รอหาโอกาสได้ ข้าจะมอบเพลิงมรรคฟ้าประทานให้เจ้าดวงหนึ่ง’
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็สื่อจิตกับเจ้าคางคก ในมือเขามี ‘เพลิงมรรคโชนทอง’ ดวงหนึ่ง เหมาะกับเจ้าคางคกถึงที่สุด
เจ้าคางคกสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับยินดีปรีดาหาใดเทียบ สื่อจิตพูดว่า ‘ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าคนอย่างเจ้าต้องเก็บของดีมาได้ไม่น้อย!’
ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนหัวข้อ กล่าวด้วยความคับแค้นออกมาว่า ‘แต่ว่าเพลิงมรรคของเจ้าข้าขอไม่เอาก่อน ของที่ทำหล่นข้าต้องชิงกลับมาจากมือของหวังเสวียนอวี๋นั่นให้ได้ หาไม่แล้วข้าคงกลืนความเคืองแค้นนี้ลงไปไม่ได้!’
——