Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1225 กองทัพแดนนรก
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1225 กองทัพแดนนรก
ตำหนักนรกเทพ!
จี้ซิงเหยาตกตะลึง จากนั้นนัยน์ตาก็เป็นประกายวาววาม “ยังจำเป้าหมายของภารกิจเราครั้งนี้ได้ไหม ศุภโชคพลิกฟ้าที่ถูกผนึกหมื่นสมัยนั่นซ่อนอยู่ในนี้!”
“ถ้าอย่างนั้นยังลังเลอะไรอยู่ ออกเดินทางสิ”
เจ้าคางคกถูไม้ถูมือ
หลินสวินกลับไม่สนใจอยู่บ้าง
ตั้งแต่เข้ามาในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก เขาก็ได้รับประโยชน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
เริ่มจากหลอมเทวบุตรโลหิตได้แหล่งกำเนิดวิญญาณบริสุทธิ์มาอย่างหนึ่ง ทำให้พลังจิตวิญญาณพัฒนาขึ้นอีกขั้น
จากนั้นก็เข้าไปในโลกใต้สุสาน ได้เพลิงมรรคฟ้าประทานอย่างเพลิงมรรคอัศจรรย์มาหกดวง รวมถึงเพลิงมรรคต้นกำเนิดอื่นอีกสิบกว่าดวง
ต่อมาก็เข้าไปในถ้ำนรกเทพ ได้เจอกับอู๋ยางในแดนลับภูเขาเขียวนั่น การกรำศึกสามพันสนามในป่าไผ่ม่วงทำให้พลังยุทธ์ของตนเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย
ทั้งยังได้กระบวนท่ากระบี่ ‘ไปไร้หวน’ ที่อู๋ยางเหลือไว้มาด้วย!
นอกจากนี้ผลเก็บเกี่ยวอื่นอย่างพวกโอสถราชัน วัตถุดิบวิญญาณก็มีไม่น้อย
พูดได้ว่าต่อให้ตอนนี้ต้องจากไป หลินสวินก็ไม่เสียดายเลย
และจากที่เขารู้ ยิ่งเป็นศุภโชคพลิกฟ้าเท่าไร อันตรายที่ตามมาก็ยิ่งน่ากลัว
ก็เหมือนอย่าง ‘ตำหนักนรกเทพ’ ที่ตอนนี้ถูกผู้ฝึกปราณอื่นมากมายจับจ้อง มหาศุภโชคพลิกฟ้าที่ถูกผนึกมาหมื่นสมัยเช่นนี้ มีหรือจะได้มาง่ายๆ
แต่หลินสวินก็ไม่อาจปฏิเสธ ด้วยรู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นเจ้าคางคกหรือพวกจี้ซิงเหยา ล้วนคงไม่มีทางยอมแพ้แน่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไปเป็นเพื่อนพวกเขาสักรอบก็ไม่เห็นเป็นไร
ที่สำคัญกว่าคือหลินสวินรู้ดีว่าในใจเจ้าคางคกยังกลั้นโทสะไว้เต็มท้อง ต้องการหาตัวหวังเสวียนอวี๋แห่งสำนักเอกอุมาล้างความอัปยศ
จากที่หลินสวินคาดเดา หวังเสวียนอวี๋ต้องไม่ยอมพลาดมหาศุภโชคที่เกี่ยวกับ ‘ตำหนักนรกเทพ’ นี้แน่!
“ไป!”
ทุกคนก้าวไปข้างหน้า
โลกที่ความมืดปกคลุมนี้วังเวงและอึมครึม ก้อนหินต้นไม้ล้วนเป็นสีดำสนิทแปลกประหลาด พาให้บรรยากาศกดดันนัก
อีกทั้งยิ่งมุ่งหน้าไปกลิ่นอายกดดันไร้รูปนั้นก็ยิ่งเด่นชัด ราวกับในความมืดนั้นซ่อนสิ่งแปลกประหลาดและอัปมงคลบางอย่างไว้ พาให้ผู้คนขนพองสยองเกล้า
พวกหลินสวินต่างระวังตัวขึ้นมา
“เผ่นโว้ย…!”
ทันใดนั้นในความมืดที่ห่างออกไปมีเสียงร้องหนึ่งดังขึ้น ดูตื่นตระหนกและพรั่นพรึงอย่างเห็นได้ชัด
“มารดามันเถอะ นี่มันตัวบ้าอะไรกัน”
“รีบหนีเร็ว!”
จากนั้นเสียงตะโกนอย่างตระหนกขุ่นเคืองดังขึ้นเป็นระลอก
ผืนดินเริ่มสั่นสะเทือนครืนครัน ราวกับมีกองพลพันหมื่นกำลังพุ่งออกมาจากในความมืดที่ห่างไกล
พวกหลินสวินหยุดเดินทันที
“เจ้าพวกนี้คือกองทัพแดนนรกรึ”
มีคนตะโกนลั่น
เวลานี้พวกหลินสวินก็เห็นแล้วว่าในความมืดนั้นมีแสงเคลื่อนไหวแปลกตามากมายกำลังหลบหนี นั่นคือผู้ฝึกปราณที่เกาะกลุ่มรวมกัน
เพียงแต่สีหน้าพวกเขาล้วนตื่นตระหนกหาใดเปรียบ
ด้านหลังพวกเขาคือกองทัพใหญ่ราวกระแสน้ำ!
แต่ละร่างเป็นโครงกระดูกเลือดขี่นกกระดูก สัตว์กระดูก มือถืออาวุธกระดูก ทั่วร่างอบอวลด้วยหมอกควันสีดำราวกับกองทัพนรกในตำนานประชิดพรมแดน!
มากมายมหาศาล แน่นขนัดราวกระแสน้ำ ครอบคลุมฟ้าดินที่ห่างออกไปจนหมด
ภาพเช่นนี้ก็เหมือนกับประตูนรกเปิดออก ผีร้าย ยักษาและทหารนรกที่ซ่อนอยู่ภายในพุ่งออกมาพร้อมกัน กลายเป็นภาพชวนประหวั่น
ในหมู่ผู้ฝึกปราณที่วิ่งหนีนั้นไม่ขาดแคลนเงาร่างของระดับมกุฎราชัน ทั้งยังมีผู้สืบทอดที่มาจากสำนักโบราณไม่น้อย
แต่ตอนนี้ต่างกำลังหลบลี้หนีตาย!
“ระยำเอ๊ย!”
เจ้าคางคกสบถออกมาเต็มคำ ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่
“หนีเร็ว!”
พวกหลินสวินก็ไม่สนใจสิ่งอื่น หันหลังหนีทันที
นั่นเหมือนกับทัพสัตว์ตะบึงข้ามแดน ทั้งเหมือนกองทัพขุมทมิฬเรือนพันเรือนหมื่นเคลื่อนขวาง ทันทีที่ถูกกลืนเข้าไปจุดจบต้องไม่ดีแน่
ในบริเวณที่ห่างออกไปเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นราวอสนีบาต หมอกดำดุจกระแสน้ำโหมกระหน่ำห้อตะบึง ปกคลุมฟ้าดินจนสิ้น
จิตรับรู้ของหลินสวินแข็งแกร่งระดับใด ขณะหลบหนียังสัมผัสได้ในชั่วพริบตาว่าในกองทัพแดนนรกนั้น ไม่ว่าจะเป็นทหารม้าโครงกระดูกหรือสิ่งมีชีวิตจำพวกนกกระดูกสัตว์กระดูก ทั่วร่างต่างอวลไปด้วยไอมรณะน่าตระหนก
พรูด!
แสงโลหิตซ่านเซ็น ขณะที่นกจาบฝนแดงชาดขนาดมหึมาตัวหนึ่งกำลังหนีก็ถูกทวนกระดูกขาวเล่มหนึ่งแทงทะลุอย่างหนักหน่วง หลังจากร่างร่วงหล่นก็ถูกเหยียบย่ำจนละเอียดทันที น่าเวทนาเกินกว่าจะทนมอง
“อ๊าก…”
ห่างไปไม่ไกล ผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งร้องโหยหวน นกปีศาจกระดูกขาวฝูงหนึ่งพุ่งเข้ามา กรงเล็บมหึมาแหลมคมโอบล้อมด้วยไอมรณะชวนประหวั่น
พวกเขามีประมาณสิบกว่าคน แต่ชั่วพริบตาก็ถูกสังหารสิ้น ฝนเลือดสาดพรมราวน้ำตก
ภาพนี้นองเลือดและน่าสะพรึงนัก
“โฮก!”
บนเวิ้งฟ้าเสียงคำรามหนึ่งดังขึ้น มังกรโครงกระดูกขาวยาวหลายพันจั้งตัวมหึมาทะยานฟ้ามาเยือน
มันตัวใหญ่เกินไปแล้ว ร่างราวกับเทือกเขาดูประหนึ่งเป็นมังกรนรกตัวหนึ่ง แผ่ไอมรณะออกมาคลุมเวิ้งฟ้าทุกแห่งที่พาดผ่าน
เพียงแค่เสียงก็สะเทือนจนผู้ฝึกปราณบางส่วนสั่นไปทั้งตัว จิตวิญญาณรวดร้าว กระอักเลือดคำโต จากนั้นก็ถูกกองทัพใหญ่ที่พุ่งเข้ามาสังหารจนตายอย่างไร้เยื่อใย!
ตูม!
มังกรกระดูกพ่นไฟเขียวมรกตแถบหนึ่งออกมาจากปาก หลั่งรินลงมาราวน้ำตก หลอมละลายห้วงอากาศสิ้น ครอบคลุมอาณาเขตกว้างขวาง
ตรงนั้นมีผู้แข็งแกร่งหลายคนไม่อาจหลบหนี ร่างถูกหลอมละลายราวเทียนไข แม้แต่พลังจิตก็ถูกผลาญสิ้น!
‘จำไว้! ไปรวมตัวกันที่ตำหนักนรกเทพ!’
หลินสวินสื่อจิตรวดเร็ว สีหน้าจริงจังหาใดเปรียบ
พวกเขาก็ถูกโจมตีเช่นกัน ไม่ใช่ว่าหนีช้า หากแต่ยามหลบหนีทุกคนถึงได้พบว่าทั่วสารทิศนั้นล้วนเป็นกองทัพแดนนรกที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ตูม!
เสียงหลินสวินเพิ่งแผ่วลงก็ถูกโครงกระดูกที่ขี่ม้ากระดูกสิบกว่าคนตีโอบ จากนั้นถูกกลืนเข้าไปในกองทัพใหญ่นั่น
หากมองจากเวิ้งฟ้าลงมา ทั่วทั้งฟ้าดินล้วนเป็นกองทัพใหญ่ดุจกระแสน้ำหลาก ผู้ฝึกปราณที่อยู่ในนั้นก็เหมือนฟองคลื่นเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตา
หลินสวินก็ไม่อาจสรุปว่าพวกเจ้าคางคกจะได้ยินคำพูดของเขาหรือไม่ แต่ไม่อาจสนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ด้วยเพราะตัวเขาเองก็ประสบกับภัยคุกคาม!
กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวล เสียงเข่นฆ่าโรมรันสะเทือนใต้หล้า ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยเสียงคำรามโหยหวน
ต่อให้เป็นมกุฎราชัน หลังจากถูกกองทัพใหญ่ไร้สิ้นสุดนี้ม้วนกลืนก็เห็นได้ว่าหน้าซีดเผือดและไร้เรี่ยวแรงนัก
…
ปลายทางของโลกมืดมีโบราณสถานเก่าแก่ทรุดโทรมราวซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง
มีเพียงตำหนักสีดำหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น แผ่กลิ่นอายยิ่งใหญ่ราวกับแปลงมาจากความมืดมิด พาให้คนใจสั่นระรัว
เวลานี้ประตูตำหนักปิดสนิท
และจุดที่ห่างจากตำหนักไม่ไกลก็มีเงาร่างหลายสิบคนยืนตระหง่าน เกาะกลุ่มเล็กๆ กระจายอยู่ในต่างบริเวณ
ตรงกลางคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สวมชุดนักพรตสีดำคนหนึ่ง
เขาหันหลังให้กับตำหนักมืด มองกองทัพใหญ่หนาแน่นไร้สิ้นสุดที่อยู่ห่างออกไป ในดวงตาเอ่อท้นประกายชวนประหวั่น
เมื่อดูอย่างละเอียด ในดวงตาเขายังปรากฏสัญลักษณ์เร้นลับคู่หนึ่ง หนึ่งดำหนึ่งขาวราวมัจฉาหยินหยาง วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ
คนผู้นี้ แน่นอนว่าคือหวังเสวียนอวี๋
“ทุกท่าน กองทัพแดนนรกได้กวาดล้างดินแดนแล้ว เกรงว่านอกจากพวกเราคงไม่มีใครสามารถมาถึงที่นี่อีก”
เขายิ้มเอ่ยเสียงฉะฉาน
สีหน้าผู้แข็งแกร่งที่กระจายตัวอยู่บริเวณอื่นๆ กลับประหลาดอยู่บ้าง สายตาที่มองไปยังหวังเสวียนอวี๋ล้วนเจือความหวาดกลัวเสี้ยวหนึ่งอยู่รางๆ
ก่อนหน้านี้ตำหนักนรกเทพปรากฏ ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดิน
ที่มาพร้อมกันยังมีกองทัพยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต!
ตอนนั้นพวกเขาล้วนเห็นชัดเจนว่าหวังเสวียนอวี๋ใช้เขากระดูกสัตว์ดำสนิทชิ้นหนึ่ง เป่าเสียงสัตว์ลุ่มลึกออกมา
ภายใต้เสียงเขาสัตว์ที่แพร่กระจายนี้ กองทัพแดนนรกที่เกรียงไกรนั่นก็ราวถูกควบคุม บุกจู่โจมออกไปทั่วสารทิศ!
นี่ช่างน่าเหลือเชื่อนัก
หวังเสวียนอวี๋อาศัยเพียงเขาสัตว์เดียวก็บงการกองทัพใหญ่ชวนประหวั่นได้ทั้งทัพ ใครจะกล้าเชื่อ
และด้วยประการฉะนี้ทุกคนจึงหวาดกลัวอยู่ในใจ
“สหายยุทธ์หวัง เจ้าทำเช่นนี้ออกจะเหี้ยมโหดเกินไปหรือไม่”
มีคนมุ่นคิ้วแค่นเสียงเย็นชา
กองทัพใหญ่แผ่กระจายเป็นวงกว้าง ราวสายน้ำเชี่ยวกรากฝูงสัตว์ห้อตะบึง จะต้องทำให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นที่กระจายอยู่ในฟ้าดินแถบนี้ถูกโจมตีอย่างหนักแน่
และทุกอย่างนี้ก็เกิดจากหวังเสวียนอวี๋
“ทุกท่าน มีคู่แข่งน้อยลงหน่อยไม่ดีรึ ว่าไปแล้วพวกเจ้าควรขอบคุณข้าถึงจะถูก ถึงอย่างไรก็เป็นข้าที่ช่วยพวกเจ้ากำจัดคู่แข่งไปไม่น้อย”
หวังเสวียนอวี๋หัวเราะเบาๆ กวาดสายตามองทุกคนในที่นั้น สีหน้าราบเรียบไร้คลื่นลม
เหล่าผู้ฝึกปราณ ณ ที่นั้นแทบทั้งหมดล้วนมาจากสำนักโบราณต่างๆ เหมือนเขา พลังต่อสู้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่ขาดสัตว์ประหลาดยุคโบราณ
เมื่อประตูตำหนักนรกเทพเปิดออก ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ก็จะกลายเป็นคู่แข่งของเขา
แต่หวังเสวียนอวี๋หาได้หวาดกลัว!
‘ตำหนักนรกเทพ… ก็ไม่รู้ว่า ‘เลือดแท้นรกเทพ’ ในตำนานนั่นมีอยู่จริงหรือไม่…’
หวังเสวียนอวี๋ไม่สนใจเรื่องอื่นอีก เหลือบสายตาไปยังตำหนักมืดที่อยู่กลางซากปรักหักพังนั่นพลางใคร่ครวญในใจ
ผู้แข็งแกร่งอื่นก็มีความคิดต่างกันไป
…
กระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วยาม กองทัพใหญ่ราวกระแสน้ำซัดก็ถอยร่น หายไปในความมืดไร้ขอบเขต
บรรยากาศเงียบสงัดลงอีกครั้ง แต่กลิ่นคาวเลือดชวนสยองที่อบอวลในอากาศยังบ่งบอกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่น่าหวาดกลัวระดับใด
ในมหาเคราะห์ครานี้ไม่รู้ว่ามีคนตายไปเท่าไหร่!
หลินสวินยืนเพียงลำพังอยู่ในหลุมมหึมาที่ก่ายกองไปด้วยซากศพ กวาดสายตามองโดยรอบ
แม้จะรอดชีวิตจากเคราะห์ใหญ่ครั้งนี้ได้ แต่ก็ทำเอาเขาเลือดอาบไปทั้งตัว ดูน่าอเนจอนาถอยู่บ้าง ร่างกายได้รับบาดเจ็บหลายจุด
‘ที่นี่อันตรายจริงๆ…’
หลินสวินทอดถอนใจ อาการบาดเจ็บทั่วร่างเขาฟื้นสภาพแล้ว พลังกายก็กำลังฟื้นฟูอย่างรวดเร็วด้วยฤทธิ์ของโอสถราชัน
เวลานี้เขาพลัดหลงกับเจ้าคางคก จี้ซิงเหยาและโม่เทียนเหอแล้ว
จากที่เขาคาดเดา อาศัยพลังต่อสู้ของพวกเจ้าคางคกน่าจะไม่ถึงขั้นอันตรายถึงชีวิต
ฮู่ว…
ผ่านไปนานกระทั่งฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ หลินสวินผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง มุ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิดมากอีก
ตลอดทางเจอแต่เหล่าผู้ฝึกปราณกระจัดกระจาย ล้วนแต่บาดเจ็บสาหัส น่าอนาถหาใดเปรียบ
แต่กลับไม่มีร่องรอยของพวกเจ้าคางคก
“หวังเสวียนอวี๋ เจ้าต้องไม่ตายดี!”
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องอาฆาตหนึ่งดังขึ้น
หลินสวินหันกลับไปทันที ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่ในแอ่งโลหิต นางได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกผ่าอกแหวกท้อง ศีรษะแตกหายใจรวยริน น่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไม่นานแล้ว
สีหน้านางเจือความไม่ยินยอมและโกรธแค้นเหลือคณา เมื่อสังเกตเห็นสายตาของหลินสวิน นางขยับปากอย่างยากลำบาก กล่าวกระท่อนกระแท่น “มหาเคราะห์คราวนี้เป็น… เป็นหวังเสวียนอวี๋… ที่ชักนำมา…”
พูดไม่ทันจบนางก็สิ้นลมโดยพลัน
ต่อให้ตายไปแล้วบนสีหน้าก็ยังแฝงความเกลียดชัง
นัยน์ตาดำหลินสวินหดรัด หวังเสวียนอวี๋มีความสามารถอะไรถึงทำให้เกิดเคราะห์ใหญ่ที่เกรียงไกรเช่นนี้ได้
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่ง สูดหายใจลึกแล้วมุ่งหน้าต่อ ในความมืดที่อยู่ห่างออกไปสามารถมองเห็นโบราณสถานราวซากปรักหักพังแห่งหนึ่งได้รางๆ…
…………………..