Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1282 ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1282 ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
การขอร้องนี้ออกจะล่วงล้ำไปบ้าง ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ต่างฝ่ายต่างเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีความสัมพันธ์มาพูดกันได้สักนิด
แต่นี่กลับทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างลอบอิจฉาริษยา
ในแดนเก้าบน ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยเป็นดั่งบุคคลระดับเทพธิดาผู้หนึ่ง ไม่เพียงเพราะนางมีรูปลักษณ์ล้ำเลิศที่ทำให้ผู้อื่นน้อยเนื้อต่ำใจได้
ยังเป็นเพราะรากฐานพลังและศักยภาพของนางก็อยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้า ทำให้เหล่าผู้กล้าต่างชื่นชม
ทว่าเพราะนางมีนิสัยใจคอเย็นชาดั่งหิมะ ไม่สุงสิงกับใครมาตลอด ถึงขนาดทำให้ผู้อื่นเข้าหานางยากนัก
แต่ตอนนี้นางถึงกับออกตัวเอ่ยปากว่าต้องการพูดคุยกับพวกหลินสวิน นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากยิ่ง จะให้ผู้อื่นไม่อิจฉาได้อย่างไร
เห็นได้ชัดว่าหลินสวินก็อึ้งไป หันหน้ามาเอ่ยถามว่า “แม่นางบอกเหตุผลสักข้อได้หรือไม่”
ประโยคเดียวทำให้คนไม่น้อยแทบกลอกตา จะดีชั่วเจ้าเทพมารหลินก็เป็นคนที่ลือชื่อในใต้หล้าผู้หนึ่ง แต่ทำไมถึงไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ขนาดนี้
หญิงงามผู้มีสติปัญญาความสามารถล้ำเลิศ รูปลักษณ์เกินธรรมดาเช่นนี้มาขอร้อง จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ
แต่ก็มีหลายคนลอบชื่นชม อย่างไรเรียกโฉมสะคราญอยู่เบื้องหน้าแต่จิตใจดั่งเสาหิน การกระทำนี้ของเทพมารหลิน กล่าวได้ว่าอธิบายสิ่งนี้ได้อย่างแจ่มชัด
ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยก็อึ้งไปเช่นกัน จากนั้นจึงเอ่ยเสียงใสว่า “ได้ยินชื่อเสียงของสหายยุทธ์หลินมานาน รู้สึกเลื่อมใส เหตุผลนี้ได้ไหม”
หลินสวินยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็เชิญเถอะ”
เขารู้สึกได้ว่าหลิ่นเสวี่ยไม่ได้มีเจตนาร้าย ทั้งอีกฝ่ายก็พูดถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเขาปฏิเสธอีกเช่นนั้นก็จะดูไม่ไว้หน้ากัน
ผู้ฝึกปราณคนอื่นที่อยู่ใกล้เห็นดังนี้ต่างเปลี่ยนความคิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ อดไม่ไหวพากันเอ่ยปากว่า “สหายยุทธ์หลินสวิน พวกข้าก็รู้สึกเลื่อมใสชื่นชมเจ้าถึงที่สุด ไม่สู้…”
“อย่าแม้แต่คิด!”
เจ้าคางคกตัดบทอย่างไม่ลังเล ปฏิเสธอย่างแล้งน้ำใจ
ทุกคนต่างหมดคำพูดไปครู่หนึ่ง นี่มันเรียกปฏิบัติต่างกันนี่หว่า!
แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ใครยังจะกล้าทำใจดีสู้เสือฝ่าฟันไปโต้งๆ ได้
……
ชั้นสิบแปดของสถูปเจดีย์
“หลายปีมานี้คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าจะวิ่งเต้นเพราะเรื่องของข้ามาโดยตลอด ลำบากเจ้าแล้ว มา ข้าคารวะเจ้าจอกหนึ่ง”
เมื่อรู้ว่าเจ้าคางคกตามหาร่องรอยของกู่ฝอจื่อ ต้องการจะแก้แค้แทนตนมาตลอดช่วงสี่ปีที่ตนติดอยู่ใต้แม่น้ำนรก หลินสวินก็อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งใจไม่หยุด
เขายกจอกเหล้าขึ้นคารวะเจ้าคางคก!
“พี่น้องครอบครัวตัวเอง พูดแบบนี้ก็ทำเป็นคนอื่นไปได้”
เจ้าคางคกยกจอก แหงนหน้าดื่มจนหนำใจ
ตอนเห็นหลินสวิน ไหนเลยเขาจะไม่รู้สึกยินดีปรีดา
“ไม่สู้ไม่รู้จักกัน หากเมื่อครู่ล่วงเกินอะไรไปก็ขออภัยด้วย”
หลินสวินยกจอก ทอดสายตามองไปยังชื่อหลิงเซียว
ก่อนหน้านี้ชื่อหลิงเซียวรู้สึกอึดอัดไปหมด เหมือนนั่งบนพรมเข็มมาโดยตลอด ความหยิ่งทระนงในใจทำให้เขาออกจะไม่อาจเผชิญหน้ากับหลินสวินได้
ในขณะเดียวกันด้วยได้รับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในวันนี้ ก็ทำให้เขาเชิดหน้าต่อหน้าหลินสวินไม่ได้อยู่บ้างจริงๆ
แต่ตอนนี้ยามเห็นหลินสวินออกตัวขอโทษ คารวะตนด้วยจอกเหล้า ชื่อหลิงเซียวกลับอึ้งไปครู่หนึ่ง
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน ยกจอกพูดว่า “พี่ใหญ่หลินมือไวใจถึง จิตใจกว้างขวาง จอกนี้ควรเป็นข้าคารวะเจ้าถึงจะถูก”
“เชิญ” หลินสวินยิ้ม
ทั้งสองคนยกดื่มหมดจอก
“ฮ่าๆๆ พี่ใหญ่ เจ้าไม่รู้อะไร เจ้าหนูชื่อหลิงเซียวคนนี้ตอนนั้นเป็นถึงราชันมารจอมก่อกวนที่ชื่อเสียงโจษจันคนหนึ่ง ข้ารู้จักเขามานานขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นเขาอับอายปานนี้มาก่อน”
เจ้าคางคกที่อยู่ด้านข้างหัวเราะเสียงดัง
“คางคกอย่างเจ้าพูดน้อยกว่านี้หน่อยจะตายหรือไง” ชื่อหลิงเซียวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ตายหรอก แต่จะรู้สึกแย่มาก” เจ้าคางคกพูดจริงจังประโยคหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังอย่างอดไม่ได้
วันนี้เขาดีใจมากจริงๆ
ไม่เพียงได้พบกับหลินสวินอีกครั้ง ยังช่วยสหายสนิทสะสางอันตรายในช่วงเวลาสำคัญได้ครั้งหนึ่ง และตอนนี้มานั่งพูดคุยสนุกสนานที่นี่ได้ ความรู้สึกนี้…
ไม่น่ายินดีหรือ!
“ทุกคนต่างเป็นผู้มีความสามารถล้ำเลิศอันดับต้นๆ ในปัจจุบัน ได้รู้จักกับทุกคนข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรตินัก ต้องการใช้เหล้าจอกนี้คารวะพวกเจ้า”
ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยเอ่ยปาก เสียงใสประหนึ่งน้ำพุกังวาน น่าฟังกว่าเสียงสวรรค์เสียอีก
นางมีผมดำขลับดั่งน้ำตก คิ้วงามราวน้ำหมึก ปากแดงนุ่มชุ่มชื้น เนตรกระจ่างทั้งสองเจือรอยยิ้ม เหมือนลมวสันต์สลายพิรุณ เจือจางกลิ่นอายเย็นเยียบทั้งตัวลงไม่น้อยทันที
ฝ่ามือเรียวเล็กยาวทั้งสองประคองจอกเหล้า ทุกการกระทำสามารถใช้คำว่าสง่างามล่มโลกา โฉมสะคราญเป็นศรีนครมาบรรยายได้
สมเป็นสตรีผู้เลิศล้ำที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเทพธิดาจากผู้กล้ามากมายนับไม่ถ้วนในแดนเก้าบน
ทุกคนพากันยกจอกดื่มร่วมกัน
ทันใดนั้นบรรยากาศก็ครึกครื้นกลมเกลียวขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้ไม่น้อย
“หลายปีนี้ข้าขึ้นเหนือล่องใต้ เสาะหาตามที่ต่างๆ ในแดนเก้าบน เกือบประสบเคราะห์อยู่หลายครั้ง ยังดีที่ในที่สุดวันนี้ทำให้ข้ากับพี่ใหญ่ได้พบกัน”
ร่ำสุราไปหลายยก เจ้าคางคกเมากรึ่ม เอ่ยทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
ตอนนี้หลินสวินถึงรู้ว่าช่วงหลังจากที่ตนปรากฏตัวในเขาจำศีลหัวโล้น เจ้าคางคกก็ได้เข้ามาในแดนธรรมสถูปที่เสี่ยงอันตรายไม่อาจคาดเดาแห่งนี้ อีกทั้งถูกขังอยู่ในที่ที่อันตรายแห่งหนึ่งในนั้น
และเมื่อไม่นานนี้เขาถึงหลุดออกมาได้ ดังนั้นจึงไม่รู้ข่าวว่าตนยังมีชีวิตอยู่
“แต่น่าเสียดาย เจ้าคนเถื่อนอาหลู่นั่นจนตอนนี้ยังข่าวคราวเงียบหาย ข้าล่ะเป็นห่วงเจ้าคนหยาบกระด้างหาใดเทียบคนนี้จริงๆ…”
พูดถึงตรงนี้เจ้าคางคกก็พูดต่อไม่ไหวแล้ว
ใจหลินสวินก็หนักอึ้งไปครู่หนึ่ง
ตอนนั้นสมัยอยู่แดนเผาเซียน อาหลู่ก็กล่าวลาจะไปเสาะหา ‘แดนโบราณหมื่นคชา’ นั่น แต่เวลาล่วงเลยมาจนตอนนี้ ผ่านมาหลายปีแล้วอาหลู่ก็ยังไร้ร่องรอย ข่าวคราวเงียบหาย จะไม่ให้หลินสวินกังวลได้อย่างไร
“ด้วยกิตติศัพท์ในตอนนี้ของพี่ใหญ่หลิน เป็นที่รู้จักดีในหมู่ผู้แข็งแกร่งแดนเก้าบนมานานแล้ว หากอาหลู่คนนั้นรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ต้องรีบมาทันทีแน่”
ชื่อหลิงเซียวเห็นว่าบรรยากาศออกจะอึมครึมก็เอ่ยปากกล่าว
“เฮ้อ เจ้าหมอนี่สนใจแต่เสาะหาแดนโบราณหมื่นคชา แต่หลายปีนี้ข้าวิ่งไปทั่วแดนเก้าบน ก็ยังไม่เคยได้ยินสถานที่อย่าง ‘แดนโบราณหมื่นคชา’ นี่”
เจ้าคางคกพึมพำ
“แดนโบราณหมื่นคชาหรือ”
ก็ในตอนนี้เองธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยพลันเอ่ยปากว่า “แต่ข้าเคยได้ยินชื่อที่แห่งนี้นะ”
ชั่วครู่เดียวสายตาพวกหลินสวินกับเจ้าคางคกพากันมองไปที่หลิ่นเสวี่ย
“ภายในแดนอสนีบูรพามีแดนศุภโชคเย้ยฟ้าที่ทัดเทียมได้กับรังมังกรเจินหลงอยู่แห่งหนึ่ง มีชื่อว่าแดนโบราณหมื่นคชา”
“ไม่นานมานี้ข้าเพิ่งออกมาจากแดนอสนีบูรพา ได้รู้ข่าวน่าเชื่อถือมาบ้าง ตามการคาดเดา ผนึกที่แดนโบราณหมื่นคชาแห่งนั้นกระทั่งตอนนี้ยังไม่หายไปโดยสมบูรณ์ อย่างน้อยยังต้องรอสองปีถึงจะเข้าไปสำรวจภายในนั้นได้”
ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยไม่ได้ปิดบัง บอกข่าวคราวที่ตนรู้บางประการออกมา
เจ้าคางคกนิ่วหน้าพูดว่า “พูดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าอาหลู่นั่นจะยังไม่มีโอกาสเข้าไปในนั้นหรือ”
ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยกล่าว “นี่ก็ไม่แน่ ผนึกคลายลงแล้วเพียงแต่ยังไม่หายไปโดยสมบูรณ์ก็เท่านั้น หากล่วงรู้ความลับบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแดนโบราณหมื่นคชา ไม่แน่ว่าจะไม่มีทางเข้าไปได้”
พูดคุยแลกเปลี่ยนจนจบ หลินสวินกับเจ้าคางคกต่างตัดสินใจว่าจะรออีกพักหนึ่ง หากอาหลู่ยังข่าวคราวเงียบหายดังเดิม จะตัดสินใจอีกครั้งว่าจะไปที่แดนอสนีบูรพาสักรอบดีหรือไม่
“ยังมีเรื่องหนึ่งต้องการพิสูจน์ยืนยันกับพี่หลิน ขอเจ้าช่วยชี้แนะด้วย”
ในดวงตาธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยเจือความสงสัยเล็กน้อย จดจ้องหลินสวิน “หลายวันก่อนทุกที่ต่างลือกันว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ จอมราชันอันดับหนึ่งของกระดานทองคำผู้กล้าถูกพี่หลินไล่ฆ่าตลอดทาง ไม่ทราบว่าข่าวนี้จริงหรือไม่”
ประโยคเดียวพิสูจน์ว่าขนาดบุคคลชั้นยอดอย่างธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยก็กำลังติดตามเรื่องนี้ ทั้งยังตัดสินได้ยากมากด้วย
ชื่อหลิงเซียวที่กำลังแข่งกันดื่มสุรากับเจ้าคางคกหยุดการเคลื่อนไหวในมือ ทำหูผึ่ง
“เรื่องนี้เป็นความจริง แต่ไม่ได้เลยเถิดอย่างในข่าวลือ ตอนนั้น…”
หลินสวินไม่ได้ปิดบัง บอกเล่าแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นออกมาอย่างกระชับได้ใจความ ตัดรายละเอียดออกไปไม่น้อย
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังทำให้ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยกับชื่อหลิงเซียวออกจะเหม่อไปเล็กน้อยดังเดิม
ข่าวนี้เป็นเรื่องจริงจริงด้วย!
“เฮ้อ ถ้ารู้เรื่องนี้ก่อน ข้าจะยังกล้าปากพล่อยไปท้าทายพี่หลินได้อย่างไร”
ชื่อหลิงเซียวยิ้มขื่น ทอดถอนใจไม่ว่างเว้น
ความน่ากลัวของอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นที่รู้กันไปทั้งโลก แต่หลินสวินสามารถตามไล่อวิ๋นชิ่งไป๋ไปตลอดทางได้ ร้ายกาจจนพูดไม่ถูก
เจ้าคางคกยกนิ้วโป้งให้ “พี่ใหญ่ เจ๋งเลย!”
หลินสวินทอดถอนเบาๆ อย่างจนใจอยู่บ้าง “ไม่ว่าอย่างไรอวิ๋นชิ่งไป๋ก็แข็งแกร่งจริงๆ แม้ตอนนั้นข้าจะได้เปรียบไม่น้อย แต่เขาก็ยังหนีไปได้เหมือนเดิม…”
“อวิ๋นชิ่งไป๋ตอนนั้นมีพลังปราณอมตะเคราะห์ด่านห้า พี่หลินสามารถกดข่มเขาจนหนีกระเจิงได้ เรียกได้ว่าสะท้านโลกแล้ว”
สายตาธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยไหวเคลื่อน ฉายแววประหลาดไม่ว่างเว้น “ยิ่งไปกว่านั้น โชควาสนามหามรรคก็เป็นศักยภาพอย่างหนึ่ง”
หลินสวินยิ้มบางๆ “พูดถึงโชค โชคของอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ไม่แย่ อย่างน้อยก็ไม่ได้ใช้ฝีมือทั้งหมดเข้าสู้ ยังปล่อยให้เขาหนีไปได้”
ต่อมาก็พูดถึงกู่ฝอจื่อ เมื่อได้รู้ว่ากู่ฝอจื่อถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แม้แต่พลังพรสวรรค์ยังถูกชิงไป ทุกคนต่างสั่นสะท้านในใจ ไม่อาจสงบนิ่งได้
กู่ฝอจื่อ สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่มาจากอารามกษิติครรภ์ ลึกลับและน่ากลัวถึงที่สุด แต่กลับประสบเคราะห์ด้วยน้ำมือของอวิ๋นชิ่งไป๋ แค่คิดก็รู้ว่าหากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ทั้งแดนเก้าบนจะต้องเกิดพายุลูกใหญ่ขึ้นครั้งหนึ่งแน่!
กระทั่งว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกจากแดนมกุฎ กระจายไปถึงในดินแดนรกร้างโบราณ เกรงว่าระหว่างสำนักโบราณทั้งสองแห่งนี้อย่างสำนักกระบี่เทียมฟ้ากับอารามกษิติครรภ์ จะต้องเกิดความไม่ลงรอยและโจมตีกันขึ้นมา
“พี่หลิน ระหว่างเจ้ากับอวิ๋นชิ่งไป๋มีความแค้นกันหรือไม่”
พูดมาถึงท้ายที่สุด ชื่อหลิงเซียวก็เอ่ยปากอย่างอดไม่ได้
“หนี้เลือด”
คำตอบของหลินสวินราบเรียบนัก
เพียงสองคำทำให้ชื่อหลิงเซียวกับธิดาเทพหลิ่นเสวี่ยต่างดวงตาแข็งทื่อ แต่ก่อนไม่เคยมีใครรู้ว่าระหว่างเทพมารหลินกับอวิ๋นชิ่งไป๋ จะถึงกับมีหนี้เลือดกันได้!
“แต่… คนทั้งโลกต่างลือกันว่าเจ้ากับอวิ๋นชิ่งไป๋มีพลังมหามรรคที่เหมือนกันบางอย่าง ทำไม… พวกเจ้าถึงผูกแค้นกัน”
ชื่อหลิงเซียวถามอย่างหวั่นกลัว
“ตอนข้าเกิด พลังพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดถูกคนชิงไป และคนผู้นั้นก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋”
หลินสวินสีหน้าราบเรียบดังเดิม
นี่ยังเป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาฝึกปราณมาจนตอนนี้ ที่เขาเอ่ยความลับซึ่งเก็บอยู่ในส่วนลึกที่สุดของก้นบึ้งจิตใจ!
แต่ก่อนศักยภาพของเขาอ่อนแอ สถานการณ์น่าเศร้านัก ทำได้เพียงกล้ำกลืน กลบฝังความแค้นนี้ไว้
ทว่าตอนนี้เวลาเปลี่ยน สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแล้ว
เขาไม่กลัวอวิ๋นชิ่งไป๋แล้ว เหตุใดจะต้องอดกลั้นไว้อีก
คราวนี้เขาคิดจะอาศัยปากของชื่อหลิงเซียวกับธิดาเทพหลิ่นเสวี่ย ป่าวประกาศความลับนี้ในโลกให้ทุกคนได้รับรู้!
ลองคิดดูเมื่อทุกคนรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่ไร้เทียมทานที่ได้รับความเคารพยำเกรงจากพวกเขา ดันเป็นหัวขโมยต่ำทรามไร้ยางอายคนหนึ่ง ในใจควรจะรู้สึกเช่นไรเล่า
——