Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1298 ผู้ทรงอิทธิพลในใต้หล้าล้วนเป็นคนรุ่นข้า
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1298 ผู้ทรงอิทธิพลในใต้หล้าล้วนเป็นคนรุ่นข้า
หืม?
ในเวลาเดียวกันนี้ ดวงตาดำของหลินสวินหรี่ลง
กระบี่นี้เขาตั้งท่ารอไว้นานแล้ว แม้ไม่ถึงกับสำแดงพลังทั้งหมดอย่างไม่ยั้งมือ แต่ความกร้าวแกร่งของอานุภาพก็เรียกได้ว่าสามารถสะเทือนบุคคลขอบเขตมกุฎระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดได้
แต่ในการรับรู้ของเขา เงาร่างสูงโปร่งอรชรนั้นเพียงได้รับบาดเจ็บเท่านั้น!
ปึง!
ไกลออกไปอานุภาพจู่โจมของดาบหักถูกสลายลงโดยสมบูรณ์ กระบี่สีเขียวเล่มนั้นส่งเสียงใสออกมาและแทงทะลุอากาศไป
อีกทั้งอาศัยโอกาสนี้ อวี๋ซี ไป๋เฉียน เหยาหลีทลายอากาศจากไปนานแล้ว ไม่ได้ร่ำไรอ้อยอิ่งสักนิด
เดิมหลินสวินคิดไล่ตามโจมตีต่อ แต่เมื่อเหลือบมองอาหลู่ที่กำลังฟื้นตัว ในใจก็ถอนหายใจ สุดท้ายก็ล้มเลิก
ที่จริงแล้วก็ไม่ถึงกับเสียดาย เพราะเขารู้ดีว่าโอกาสสูญไปแล้ว ต่อให้ไล่ตามไปก็ย่อมเปลืองแรงเปล่า
“เจ้าคางคก พวกเจ้าจัดการสนามรบเสียหน่อย พวกเราควรจากไปได้แล้ว”
สายตาหลินสวินกวาดมองไปในลาน เหล่าผู้กล้า ณ ที่นั้นเงียบกริบเป็นจักจั่นเหมันต์ ไม่กล้าสบตากับเขา
แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นองเลือดและสั่นสะท้านเกินไป ทำให้พวกเขายังไม่ได้สติมาจนถึงตอนนี้ ยามเผชิญหน้ากับหลินสวิน ในใจนอกจากความหวาดผวา แม้แต่ความกล้าต่อต้านสักนิดยังไม่มี
“ไป!”
ไม่นานนักเจ้าคางคก นกทมิฬ และอาหลู่ที่กวาดทรัพย์หลังศึกจนเกลี้ยงรวมตัวอยู่ด้วยกัน แล้วออกจากสถานที่ขัดแย้งนองเลือดแห่งนี้ไปกับหลินสวิน
ถ้ายังไม่ไปอีก ไม่แน่ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น หลินสวินไม่อยากเสี่ยงอีกแล้ว ที่ช่วยอาหลู่ไว้ได้อย่างปลอดภัยคราวนี้ก็บรรลุเป้าหมายแล้ว
ในลานบรรยากาศที่กดดันหาใดเทียบแต่เดิมเหือดหายไปพร้อมกับการจากไปของพวกหลินสวิน เหล่าผู้กล้าต่างเหมือนยกภูเขาออกจากอก พ่นลมหายใจขุ่นออกมาเฮือกหนึ่ง
เพียงแต่ในจิตใจยังคงหลงเหลือความตื่นตะลึงที่เนิ่นนานก็ไม่อาจปัดเป่าไปได้อยู่
“เทพมารหลิน แข็งแกร่งถึงขั้นไหนกันแน่นะ”
มีคนพึมพำ
ก่อนหน้านี้เหล่าผู้กล้ารวมตัว ประหนึ่งทัพใหญ่ประชิดพรมแดน มองอาหลู่เป็นสัตว์ในกรง จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด เอาเปรียบได้ตามใจ
หนำซ้ำยังมีพวกร้ายกาจที่ชื่อเสียงสะเทือนแดนเก้าบนอย่างพวกบุตรนรก ไป๋หลงถิงควบคุม
แต่ใครจะคิดได้ว่ากำลังทั้งหมดนี้ กลับถูกหลินสวินคนเดียวทำลายราบเป็นหน้ากลอง เข่นฆ่าบุคคลระดับนายเหนือหัวอย่างต่อเนื่อง เลือดสาดกระเซ็นทั่วฟ้าดิน!
“รวมไป๋หลงถิงเข้าไปด้วย มีบุคคลระดับนายเหนือหัวที่อยู่บนกระดานทองคำผู้กล้าไปแล้วทั้งสิ้นสิบเก้าคน นอกจากนี้ก็มีบุคคลขอบเขตมกุฎสามสิบสองคนประสบเคราะห์ในการเข่นฆ่า…”
มีคนรวบรวมสถิติ ตัวเลขที่ได้มากลับน่าตกตะลึงเมื่อได้เห็น!
ควรรู้ว่าในทั้งแดนเก้าบนมีบุคคลขอบเขตมกุฎนับไม่ถ้วน แต่ที่สามารถพาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้าได้ กลับมีเพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้น
แต่ตอนนี้ยามการต่อสู้ครั้งหนึ่งจบลง เพียงแค่บุคคลระดับนายเหนือหัวที่ตายด้วยน้ำมือหลินสวินเหล่านั้นก็มีมากถึงสิบเก้าคน!
ไม่จำเป็นต้องสงสัยสักนิดว่า หากเรื่องนี้กระจายออกไปทั้งแดนเก้าบนต้องอึกทึกครึกโครมเป็นแน่ ก่อเกิดคลื่นพายุคับฟ้า
“ก็ยังดีๆ ที่พวกเราไม่ได้ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วย”
หลายคนต่างลอบยินดีปรีดา เมื่อนึกถึงภาพก่อนหน้านี้แต่ละภาพยังกังวลจนเหงื่อออกมือ หากตอนนั้นพุ่งเข้าไปต่อสู้ เข้าร่วมกับพวกคนที่โจมตีหลินสวิน เกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงกลายเป็นศพเปื้อนเลือดที่กองอยู่บนพื้นแล้วกระมัง
“พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าสามคนที่ปรากฏตัวทีหลังนั้นไม่ธรรมดาหรือ เป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะมาจากกลุ่มเดียวกัน เคารพยกย่อง ‘องค์ชาย’ ผู้หนึ่ง!”
มีคนฉงนใจ วิเคราะห์ที่มาของพวกอวี๋ซี ไป๋เฉียน และเหยาหลี
“ไม่ผิด พวกเขาแต่ละคนล้วนมีพลังต่อสู้ที่ไม่ด้อยไม่กว่าไป๋หลงถิงเลย แต่ช่วงหลายปีก่อนหน้าหน้านี้กลับเงียบเชียบไม่มีชื่อมาตลอด นี่ก็น่าเหลือเชื่อพออยู่แล้ว!”
“ที่น่ากลัวที่สุดอาจะเป็น ‘องค์ชาย’ ผู้นั้น สามารถรวบรวมคนร้ายกาจอย่างนี้กลุ่มหนึ่งมาเป็นคนในปกครองได้ แค่คิดก็รู้ว่า ‘องค์ชาย’ นี่ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่”
เหล่าผู้กล้าวิพากษ์วิจารณ์ ในใจแต่ละคนต่างปั่นป่วนไม่ว่างเว้น
“ที่จริงแล้วไม่ว่าพวกเขาเป็นใคร การโจมตีคราวนี้ก็ทำอะไรเทพมารหลินไม่ได้อยู่ดี นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดที่น่ากลัวของเทพมารหลิน!”
มีคนทอดถอนใจ
มีเพียงชื่อเหยาที่เงียบมาตลอด
ในใจนางเต็มไปด้วยความขมขื่นและท้อแท้
ตอนออกจากแดนเผาเซียน นางเคยลอบสาบานว่าถ้าไม่บรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชัน จะไม่ไปหาหลินสวินเพื่อชิงไม้โพธิ์เด็ดขาด
แต่จะคิดได้อย่างไรว่าในขอบเขตมกุฎระดับราชัน นางก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินได้เลย…
‘ไม้โพธิ์… เหตุใดต้องถูกเขาเอาไปเสียได้…’
ใจชื่อเหยาแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองขึ้นมา
นางหันตัวจากไปเหมือนศพเดินได้ แต่ก่อนนางก็หยิ่งผยองอวดดีหาใดเทียบ คิดว่าสามารถผงาดขึ้นในมหายุค อำนาจเหนือปวงชน ก่อลมเมฆในใต้หล้า
แต่ตอนนี้ นางถึงพบว่าความคิดของตนออกจะไร้เดียงสา
ในยุคเดียวกันมีคนร้ายกาจอย่างเทพมารหลินคนหนึ่ง ก็เพียงพอจะกดข่มให้สัตว์ประหลาดยุคโบราณมากมายไม่อาจเชิดหน้าได้!
……
“แม่นางหวั่นอิน ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ”
ในขณะเดียวกัน เงาร่างของอวี๋ซี ไป๋เฉียนและเหยาหลีปรากฏขึ้นในพื้นที่ที่สายฟ้าแน่นขนัดแห่งหนึ่ง
เมื่อเห็นเงาร่างอรชรที่รอพวกเขาเงียบๆ ทั้งสามก็ตื่นตระหนกอย่างอดไม่ได้
นี่คือหญิงสาวราวนางเซียนผู้หนึ่ง สง่างามดั่งเทพเซียน เลื่อนลอยยากจับต้อง ทั้งกายอาบชโลมอยู่กลางหมอกฝนสลัว ดูเหมือนภาพมายาไกลห่าง
เมื่อพินิจโดยละเอียดรูปลักษณ์ของนางอ่อนเยาว์ถึงที่สุด ดูเหมือนอายุสิบเจ็ดสิบแปด แต่ยามยืนตามสบายอยู่กลับมีท่วงท่าสง่างามเหนือโลกา ไม่แปดเปื้อนมลทิน
ทว่าใบหน้าของนางในตอนนี้กลับซีดขาวเล็กน้อย บนสาบเสื้อเบื้องหน้าเปื้อนรอยเลือดแดงสดอยู่สองสามจุด
และที่ปลายนิ้วมือเรียวยาวขาวสะอาดของนาง ยังมีหยดเลือดหยดหนึ่งกำลังจะไหลลงมา
นี่จะไม่ทำให้พวกอวิ๋นซีตื่นตระหนกได้อย่างไร
แม่นางหวั่นอินตรงหน้าผู้นี้เป็นถึงสาวใช้ข้างกายองค์ชาย ยามองค์ชายเก็บตัวหลับใหลในยุคบรรพกาล ก็ติดตามอยู่ข้างกายมาโดยตลอด
แม้เป็นสาวใช้ แต่ใครก็ไม่กล้าปฏิบัติกับนางอย่างคนที่อยู่ต่ำกว่า
เหตุผลก็ง่ายดายนัก ความล้ำเลิศในพรสวรรค์ แก่นกระดูก และรากฐานพลังของหวั่นอินล้วนเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมที่สุดในยุคปัจจุบัน ไม่ด้อยกว่าไปสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนใด!
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือนางยังมีพรสวรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้นางรุดหน้าชิงชัยในมรรคามาตลอด สามารถทำให้ผู้กล้านับไม่ถ้วนได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยดี!
แม้แต่องค์ชายยังเคยรำพึงว่าให้หวั่นอินตามปรนนิบัติข้างกาย เป็นการลบหลู่ความสามารถอย่างไม่ต้องสงสัย! เห็นได้ว่าองค์ชายให้ความสำคัญกับนางมาก
แต่ตอนนี้บุคคลที่สามารถเย่อหยิ่งดุจดั่งนางเซียนเช่นนี้ กลับได้รับบาดเจ็บแล้ว…
ชั่วขณะหนึ่งพวกอวี๋ซีก็นึกถึงกระบี่ที่หลินสวินฟันออกมานั้น!
ในใจล้วนเย็นเยียบขึ้นมาบ้างอย่างห้ามไม่ได้
อานุภาพของกระบี่นี้ แข็งแกร่งจนทำให้แม่นางหวั่นอินได้รับบาดเจ็บเลยหรือ
“พวกเจ้าคิดว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินเป็นอย่างไร”
แล้วก็ในตอนนี้เองที่หวั่นอินเอ่ยปากขึ้นทันใด เสียงพูดราวกับเสียงสวรรค์ เลื่อนลอยเลือนราง กลิ่นอายฟ้าดินคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาและอุดมไปด้วยพลังชีวิต
“แข็งแกร่งมาก!”
นี่เป็นความคิดอันเป็นเอกฉันท์ของพวกอวี๋ซี
ต่อให้พวกเขาไม่ยินยอม แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนประลองกับหลินสวิน หากไม่ใช่เพราะรู้ดีว่าหวั่นอินควบคุมดูแลอย่างลับๆ พวกเขาก็ไม่กล้าไปล่วงเกินง่ายๆ
คนผู้นั้นเหมือนเหวลึกอันยากแท้หยั่งถึงแห่งหนึ่ง ไม่อาจใช้สามัญสำนึกมาวัดได้!
หวั่นอินพยักหน้าน้อยๆ
นางคล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่
“ใช่แล้ว ข้างกายหลินสวินนั่นยังมีราชันหนอนกินเทพตนหนึ่งติดตามมาด้วย เรื่องนี้ต้องแจ้งให้องค์ชายทราบ!”
อวี๋ซีพลันเอ่ยขึ้น สีหน้าเจือไปด้วยความไม่ยินยอมเล็กน้อย
ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะมีหนอนกินเทพนั่นดูแล นางคงใช้วิชาจู่โจมจิตวิญญาณฆ่าอาหลู่ แล้วชิงศุภโชคสุสานจักรพรรดิที่อยู่กับตัวเขาไปได้นานแล้ว!
“หนอนกินเทพ…”
แววตาของหวั่นอินแปรเปลี่ยนเป็นคลุมเครือขึ้นมา คล้ายนึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย
ครู่หนึ่งนางถึงพูดว่า “เรื่องนี้จำเป็นต้องแจ้งองค์ชายให้ทราบทันที!”
……
ในช่วงไม่กี่วันนี้ภายในแดนเก้าบนสะเทือนเลื่อนลั่นโดยสมบูรณ์
เวลาผ่านไปสองปี เทพมารหลินออกจากแดนธรรมสถูป พิชิตชัยรอบทิศโดยลำพัง ฝ่าเส้นทางเป็นตายในแดนโบราณหมื่นลักษณ์ออกมาได้ สังหารผู้แข็งแกร่งระดับนายเหนือหัวอย่างต่อเนื่อง!
ข่าวนี้ทำให้บารมีของหลินสวินสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในคราวเดียว ก่อให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์และเสียงฮือฮาไม่น้อย
“ตัวคนเดียวปลิดชีพผู้แข็งแกร่งระดับนายเหนือหัวที่อยู่ในกระดานทองคำผู้กล้าสิบเก้าคน หลินสวินคนนี้ก็เหมือนกับดาวสังหารดวงหนึ่งจริงๆ!”
มีคนใจสั่นระรัว
“ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ การจะขึ้นมาอยู่ในสามอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้าก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”
ทั้งยังมีคนกำลังวิเคราะห์และเปรียบเทียบพลังต่อสู้ของหลินสวิน
“อวิ๋นชิ่งไป๋ล่ะ เหตุใดยังไม่ปรากฏตัวอีก หรือจะมองดูหลินสวินบ่มเพาะอานุภาพไร้ศัตรูไปต่อหน้าต่อหน้า”
ผู้ที่มองหลินสวินเป็นศัตรูบางคนกลับไม่พอใจ หวังจากจิตใต้สำนึกให้มีคนลุกขึ้นมากดข่มบารมีของหลินสวินเสียหน่อย
และอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ได้รับความคาดหวังอย่างมากจากคนเหล่านี้
เพราะตอนนี้ต่างรู้ดีแล้วว่า ไม่ว่าหนี้เลือดระหว่างหลินสวินกับอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ แต่อย่างน้อยเรื่องที่หลินสวินเคยปลิดชีพเหล่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็เป็นเรื่องจริง!
ที่น่าเสียดายก็คือ สองปีมานี้อวิ๋นชิ่งไป๋เหมือนระเหยไปจากโลก ไม่มีข่าวคราวอีก ขนาดตำแหน่งอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำผู้กล้าของเขาถูกเบียดลงไป ก็ยังไม่เคยทำให้เขาปรากฏตัว
ขณะเดียวกันในที่ลับ ที่มาที่ไปของอวี๋ซี ไป๋เฉียนและเหยาหลีก็ดึงดูดความสนใจของขุมอำนาจใหญ่มากมาย
ก่อนหน้านี้นิ่งเงียบไร้ชื่อเสียง ทั้งชื่อยังไม่เคยอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้า แต่กลับมีพลังต่อสู้เทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับไป๋หลงถิง
นี่ ย่อมทำให้ผู้อื่นไม่อาจไม่ให้ความสำคัญ!
พวกเขาเป็นใคร
และผู้ที่ถูกพวกเขายกให้เป็น ‘องค์ชาย’ จะเป็นอริยเทพจากไหนอีก
และเป็นตอนนี้เช่นกัน ที่หลายคนถึงตระหนักได้โดยพลันว่าสายตาไม่อาจจับจ้องอยู่ที่กระดานทองคำผู้กล้าเท่านั้น และไม่อาจใช้อันดับของกระดานทองคำผู้กล้ามาวัดเหล่าผู้กล้า
เพราะในที่ลับ ยังมีบุคคลแข็งแกร่งถึงที่สุดมากมายที่ยังไม่เคยไปทะลวงกระดานทองคำผู้กล้า
เช่นหลินสวิน
เช่นพวกอวี๋ซี ไป๋เฉียนและเหยาหลีที่เพิ่งเป็นที่รู้จักในช่วงใกล้ๆ นี้
นี่ทำให้ทุกคนคาดเดาอย่างอดไม่ได้ว่า ในแดนเก้าบนยังมีคนร้ายกาจที่ยังไม่พาตัวเองขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้าเช่นนี้อีกกี่คนกันแน่
……
แดนอัคคีทักษิณ
เขาฝนดาวตก ยามช่องทางสู่แดนเก้าบนเปิดออกครั้งแรก เขาแดนมงคลแห่งนี้ก็ถูกยึดครองโดยเผ่าอีกาทอง
เพียงแต่หลายปีผ่านไป เผ่าอีกาทองร่วงโรยไปนานแล้ว แทบจะล่มสลาย
เขาฝนดาวตกที่ถูกทำลายด้วยไฟศึกควันสงครามแปรเปลี่ยนเป็นรกร้างมานานแล้ว ไม่มีบรรยากาศภูเขาแดนมงคลลือชื่อให้พูดได้อีก
วันนี้เงาร่างของพวกหลินสวินปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขาฝนดาวตก
“ข้าจำได้ว่าใต้ภูเขาลูกนี้มีชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดอยู่สายหนึ่ง หากเสาะหามันออกมาได้ ใช้ค่ายกลใหญ่กระตุ้นขึ้นมา ก็จะเป็นแดนมงคลฝึกปราณชั้นเลิศแห่งหนึ่งได้”
หลินสวินเงยหน้ามองเขาฝนดาวตกที่รกร้างราวซากปรักหักพังมานานแล้วนั้น นึกถึงตอนที่ตนเหยียบบนเขาลูกนี้ครั้งแรก เผ่าอีกาทองยังเป็นขุมอำนาจใหญ่แห่งหนึ่ง กองกำลังทรงพลังราวสุริยันกลางเวหา
แต่ตอนนี้เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปีเท่านั้น ความรุ่งเรืองในวันวานของเผ่าอีกาทองก็ถูกลมฝนกรรโชกซัดสาดไป ความอหังการ ความทะเยอทะยาน ต่างแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า!
——