Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1325 แดนยอดมรดกมาเยือน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1325 แดนยอดมรดกมาเยือน
ฮู่ว…
ยามดึก หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่ในสถานที่ฝึกสมาธิ เริ่มฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
การต่อสู้กับอวิ๋นชิ่งไป๋ แน่นอนว่าเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากและอันตรายที่สุดตั้งแต่เขาฝึกปราณมา
ดูเหมือนรอบคอบทุกอย่างก้าว กำชัยไว้แล้ว แต่เบื้องหลังแท้จริงกลับแบกรับแรงกดดันและความทุ่มเทที่ไม่สามารถจินตนาการได้
หากไม่ใช่ว่าช่วงสุดท้ายได้ประโยชน์จากชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด คิดจะขวางการโจมตี ‘พลีชีพสังเวยกระบี่’ นั่นของอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ยากนัก!
ทว่าผ่านการประลองแห่งยุคเช่นนี้ ก็ทำให้หลินสวินได้รับประสบการณ์และหยั่งรู้ในการต่อสู้อย่างไม่เคยมีมาก่อน
เขามีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าเมื่ออาการบาดเจ็บฟื้นฟู พลังปราณของเขาต้องรุดหน้ายิ่งกว่าเดิม พอที่จะก้าวสู่ขั้นสมบูรณ์ของระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด
ถึงขั้นที่ว่าการทะลวงระดับก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ทั้งการสังหารอวิ๋นชิ่งไป๋ยังเหมือนการกำจัดโจรกลางใจ ขจัดมารในสภาวะจิต ทำให้จิตมรรคของหลินสวินราวกับทลายพันธนาการ ได้รับการยกระดับเช่นกัน
การฝึกปราณก็คือขั้นตอนของการฝึกใจ
การเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิตเร้นลับที่สุด แต่กลับมีประโยชน์ต่อการฝึกปราณอย่างไม่อาจประเมิน
วู้ม…
แสงมรรคหลายสายราวแสงมายาครอบคลุมตัวหลินสวินอยู่ภายใน ดูบริสุทธิ์สันโดษ
…
ผ่านไปเจ็ดวัน
“หืม?”
“นั่นคือ?”
“ช่างเป็นลักษณ์ประหลาดที่น่าอัศจรรย์!”
วันนี้ผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ต่างบริเวณในแดนเก้าบน ไม่ว่ากำลังทำอะไรก็ล้วนหยุดการกระทำในมืออย่างพร้อมเพรียง สายตามองไปยังเวิ้งฟ้า
บนฟ้านั่นไม่รู้ปกคลุมด้วยแสงทองพร่างพรายชั้นหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่องประกายราวกับทองเทพ ย้อมผืนฟ้ากลายเป็นสีทองทั้งแถบ สว่างเรืองรองดุจเพลิงผลาญ
ในความรางเลือนสามารถมองเห็นแดนลับแห่งหนึ่งปรากฏอยู่ในแสงทองบนเวิ้งฟ้านั่น ลักษณะคล้ายสนามประลองมหึมาหาใดเปรียบ ภายในมีรูปปั้นเก่าแก่และลึกลับยืนตระหง่านอยู่มากมาย
เพียงแต่ภาพนั้นยังเลือนรางอย่างยิ่ง ถูกปกคลุมด้วยแสงทองพร่างพราย มองเห็นเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างไรก็ไม่อาจสังเกตเห็นโฉมหน้าในนั้นได้
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างไหวหวั่น
ขณะเดียวกันหน้าศิลาศึกทุกแห่งในแดนเก้าบนเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดขึ้น
บนท้องฟ้าเหนือศิลาศึกแต่ละแห่งล้วนปรากฏอุโมงค์อากาศหนึ่ง ราวกับรุ้งเทพหลากสีงามแปลกตาทะลวงอากาศขึ้นไป ไม่รู้ว่าเชื่อมต่อไปที่ไหน
และวันนี้ข่าวเกี่ยวกับ ‘แดนยอดมรดก’ มาเยือนโลก ก็ราวกับลมพายุหอบหนึ่งม้วนกลืนแดนเก้าบน
“ไป!”
“ในที่สุดก็เปิดออกแล้ว…”
“ท้ายที่สุดอริยะนำพาจะตกสู่มือใคร”
ผู้แข็งแกร่ง ยักษ์ใหญ่ ราชันนายเหนือหัวนับไม่ถ้วน พากันมุ่งไปยังหน้าศิลาศึกที่กระจายอยู่ในแดนเก้าบนราวได้รับการเรียกหา
…
“นี่ต้องเป็นศุภโชคสุดท้ายก่อนที่แดนมกุฎจะปิดฉากแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปช่วงชิงเต็มกำลัง”
องค์ชายเซ่าเฮ่าอาภรณ์สะบัดโบก แววตาเต็มไปด้วยประกายวาววามน่าพรั่นพรึง
“ผู้คนรู้แค่ว่านายน้อยถ่อมตัวประหนึ่งหยก ไม่คิดแก่งแย่งกับใคร แต่กลับไม่รู้ว่าหากนายน้อยออกแรงเต็มกำลัง แดนเก้าบนนี้จะต้องไร้ผู้ต่อกร”
สาวใช้หวั่นอินแววตาไหลวนแสงอัศจรรย์ สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส
มีเพียงนางที่รู้ชัดว่านายน้อยของตนแข็งแกร่งแค่ไหน!
“ไร้ผู้ต่อกร? วาจานี้กล่าวเกินไปแล้ว การช่วงชิงวาสนา หนึ่งดูพลัง สองดูโชคชะตา เกิดเป็นคนต้องทำให้ดีที่สุด นอกเหนือจากนั้นก็แล้วแต่ฟ้าลิขิต”
เซ่าเฮ่ายิ้ม เวลานี้เขานึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ก็ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าหมอนั่นฟื้นฟูหรือยัง…
วันนั้นเขานำผู้ที่อยู่ใต้อาณัติทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังแดนยอดมรดก
…
“อริยะนำพา ไม่รู้ว่าจะมหัศจรรย์เหมือนที่เล่าลือจริงหรือไม่… ไม่ว่าอย่างไรสิ่งยิ่งใหญ่เช่นนี้ต้องช่วงชิงมาให้ได้”
วันนี้มีคนเห็นเทพธิดารั่วอู่แปลงเป็นรุ้งเพลิงสายหนึ่ง พุ่งออกมาจากสถานที่ปิดด่าน
…
“เจ้าลิง พวกเราควรไปแล้ว”
ราชันเผิงปีกทองน้อยยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ในดวงตาสีทองฉายประกายแสงชวนประหวั่น
หลายปีนี้เขาเก็บงำตนเองมานานเกินไปแล้ว ได้เวลาเผยคมประกายเสียที!
ตูม!
ไม่นานหยวนฝ่าเทียนก็ออกด่าน กลิ่นอายทะลุทะลวงอหังการหยิ่งผยอง “ราชันเผิงน้อย เจ้าว่าหลินสวินนั่นจะเข้าร่วมด้วยไหม”
ราชันเผิงปีกทองน้อยส่ายหัว “ยากนัก จนถึงวันนี้เขาไม่เคยทำการทดสอบกระดานทองคำผู้กล้า เกรงว่าคงเพราะบาดเจ็บหนักเกินไป ถึงขั้นต้องละทิ้งการเคลื่อนไหวครั้งนี้แล้ว”
หยวนฝ่าเทียนชะงัก ถอนหายใจกล่าว “น่าเสียดายเกินไปแล้ว”
ราชันเผิงปีกทองน้อยเยาะหยัน “ข้าว่าในใจเจ้าน่าจะดีใจมากกระมัง ถึงอย่างไรหากเจ้าหมอนี่เข้าร่วมจริง คงนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลให้กับใครก็ตาม”
“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย รีบไปเถอะ”
หยวนฝ่าเทียนกลอกตาใส่ นำหน้าทลายอากาศไปก่อน
…
แดนวารีอุดร
หน้าศิลาศึกผู้กล้า ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งพุ่งขึ้นไปทางอุโมงค์อากาศที่อยู่ใต้เวิ้งฟ้านั่น
ปึง!
ทว่าจากนั้นเขาก็ถูกพลังไร้รูปหนึ่งซัดจนถอยกลับมา ซวนเซตกลงสู่พื้น สีหน้าเศร้าสลดกล่าว “จริงดังว่า หากชื่อไม่เคยปรากฏอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้าก็ไม่อาจเข้าไปในแดนยอดมรดกได้”
เห็นดังนี้ผู้แข็งแกร่งมากมายในที่นั้นทอดถอนใจ สีหน้ามืดมน
พวกเขาเกือบทั้งหมดล้วนเป็นเช่นนั้น ไม่สามารถก้าวขึ้นไปอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้าได้ ถูกลิขิตให้ไม่อาจเข้าร่วมงานใหญ่นี้ด้วยเช่นกัน
ฟุ่บ!
และเวลานี้เอง ลั่วเจียที่มาจากเผ่าหงส์เซียนโฉบออกมาจากฝูงชน เงาร่างพุ่งวาบหายไปในอุโมงค์อากาศนั่น
…
เกือบจะวันเดียวกัน บุคคลชั้นนำอย่างชื่อหลิงเซียว เย่หมัวเฮอ หวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจิน เซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินต่างเริ่มเคลื่อนไหว
ใต้หล้าเกิดคลื่นลมในชั่วพริบตา สายตาจับจ้องไปที่แดนยอดมรดกพร้อมกัน!
แน่นอน ใช่ว่าใครก็มีสิทธิ์เข้าไปในนั้น มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ชื่อเคยปรากฏอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้าจึงจะสามารถเข้าไปในนั้นได้
ส่วนผู้แข็งแกร่งคนอื่นก็ถูกลิขิตให้เป็นแค่ผู้ชม
เขาฝนดาวตก
“พี่ใหญ่ อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
อาหลู่เอ่ยถาม ปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกลางฟ้าดินก็ดึงดูดความสนใจของพวกเขาเช่นกัน เมื่อสืบข่าวดูเล็กน้อยก็รู้ว่าแดนยอดมรดกปรากฏแล้วในวันนี้
“ดีขึ้นประมาณเจ็ดแปดส่วนแล้ว”.ไอลีนโนเวล.
หลินสวินพูดง่ายๆ เขาสวมชุดสีขาวพระจันทร์ ท่าทางผ่อนคลาย ยืนไพล่หลังอยู่ในทะเลหมอกบนยอดเขา ทอดมองแสงทองส่องประกายที่ปกคลุมผืนฟ้า
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าจะไปแดนยอดมรดกหรือไม่”
พวกอาหลู่ เจ้าคางคก และนกทมิฬต่างแววตาเร่าร้อน สำหรับ ‘อริยะนำพา’ พวกเขาน่ะอยากได้มานานแล้ว
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าไปก่อนไหม”
อาการบาดเจ็บของเขาตอนนี้ยังไม่หายโดยสมบูรณ์ ทั้งในการทำสมาธิเจ็ดวันนี้ เขายังมีการหยั่งรู้ในการต่อสู้บางส่วนที่ยังไม่เข้าใจเต็มที่
พวกอาหลู่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ลังเลยิ่งนัก
“ไปเถอะ ไปช่วยข้าสืบหาความจริงที่นั่นสักหน่อยก่อน รอข้าเตรียมพร้อมแล้ว หากโอกาสอำนวยจะต้องไปหาพวกเจ้าแน่”
หลินสวินโบกมือไล่พวกเขาไป
“พี่ใหญ่ เช่นนั้นเจ้าต้องมานะ”
ห่างออกไปอาหลู่ตะโกนเสียงดัง
หลินสวินอมยิ้มพยักหน้า มองส่งพวกเขาจากไปแล้วหันหลังกลับเข้าสู่สถานที่ทำสมาธิ
สำหรับ ‘อริยะนำพา’ ที่เกี่ยวข้องกับปริศนาแห่งการบรรลุมกุฎอริยะ เขาไม่สนใจมากนัก
ด้วยมรรคาของเขาไม่เคยมีมาก่อน ต่างจากคนอื่น หากหมายบรรลุมกุฎอริยะย่อมไม่มีทางเหมือนคนอื่นแน่
อริยะนำพาอาจจะเกี่ยวข้องกับปริศนาแห่งการบรรลุมกุฎอริยะ บางทีอาจเปิดทางให้เขาได้ แต่กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว สุดท้ายการบรรลุอริยะก็ยังต้องพึ่งพาตัวเอง!
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้หลินสวินยังเตรียมตัวไม่พร้อมจริงๆ
กาลเวลาล่วงเลย ผ่านไปอีกสามวัน
โลกภายนอก ข่าวเกี่ยวกับแดนยอดมรดกดึงดูดความสนใจทั่วแดนเก้าบนนานแล้ว ต่อให้ไม่สามารถเข้าร่วมก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนจิตใจถูกดึงดูด
ต่างกำลังใคร่รู้ว่าในการประลองสุดท้ายก่อนแดนมกุฎนี้จะปิดฉาก ใครจะสามารถกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายกันแน่!
และยังมีคนทำบันทึก ว่าตอนนี้บุคคลชั้นนำที่จัดอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้า ได้เข้าไปในแดนยอดมรดกกันหมดแล้ว
นอกจากนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งอีกประมาณห้าร้อยคนเข้าไปในนั้นเช่นกัน พวกเขาต่างเป็นผู้แข็งแกร่งที่เคยก้าวขึ้นไปอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้า แต่ตอนนี้ลำดับชื่อถูกเบียดตกออกมาแล้ว
“เทพมารหลิน จนถึงวันนี้ก็ไม่เคยปรากฏตัว”
และมีคนมากมายสังเกตเห็น แต่ไหนแต่ไรอย่าว่าแต่หลินสวินเข้าไปในแดนยอดมรดกเลย แม้แต่ชื่อก็ไม่เคยปรากฏอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้าด้วยซ้ำ!
นี่ก็ชักนำมาซึ่งเสียงทอดถอนใจมากมายเช่นกัน
เทพมารหลินที่น่าเกรงขาม เอาชนะอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ แข็งแกร่งระดับใด แต่ยามนี้ด้วยบาดเจ็บสาหัสจึงต้องทิ้งโอกาสเข้าสู่แดนยอดมรดกไป จะไม่ให้คนทอดถอนใจได้อย่างไร
เขาฝนดาวตก
หลินสวินในตอนนี้สีหน้าเจือแววประหลาดใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน ถึงขั้นมีความตื่นเต้นที่ไม่อาจสงบอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บของเขาฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ หากแต่ด้วยวันนี้จ้าวจิ่งเซวียนตื่นแล้ว!
สนเขียวแข็งแกร่งเปี่ยมพลัง น้ำตกหลั่งรินน้ำพุเวียนวน หน้าพุ่มหญ้าชอุ่มแห่งหนึ่ง จ้าวจิ่งเซวียนนั่งอยู่บนพื้น เงาร่างเพรียวบางประหนึ่งร่องรอยที่งดงามหาใดเปรียบ ภายใต้การขับเน้นของหมอกเมฆที่อบอวลระหว่างภูเขา เสริมให้กลิ่นอายงดงามเงียบสงบโดดเด่นขึ้นกว่าเดิม
นางมวยผมยาวสลวยเอาไว้ ดวงหน้างามเหมือนซูบตอบกว่าแต่ก่อน แต่เครื่องหน้าทั้งห้ากลับดูประณีตและงามพิสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิม เรียกได้ว่างามผุดผ่องดั่งภาพวาด รูปโฉมราวกับเซียน
ในนิ้วทั้งสิบที่ขาวกระจ่างเรียวยาวดั่งต้นหอมของนางกำลังกุมจอกไม้หนึ่งที่ยังอุ่นอยู่ ส่วนน้ำชานั้นหลินสวินเป็นคนต้มเอง
ตรงหน้า หลินสวินกำลังควบคุมความตื่นเต้นภายในใจ เล่าเรื่องราวในหลายปีที่จ้าวจิ่งเซวียนจำศีลนี้ออกมาทีละเรื่อง
จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มฟังและจิบน้ำชาตลอดเวลา ในใจก็รู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก
ตอนนั้นนางปลูกเรือนพำนัก ไม่เชื่อว่าหลินสวินตายอยู่ใต้แม่น้ำนรก เฝ้ารออยู่นอกเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนานหลายปี
ในหลายปีนั้นใจของนางเหมือนบ่อร้าง ไม่ยินดีเสียใจ ไม่ไต่ถามเรื่องทางโลก สิ่งที่ยึดมั่นในใจมีเพียงคำว่าเฝ้ารอ
จนถึงท้ายที่สุด หากไม่เจอการล้อมโจมตีของผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใต้การควบคุมของบุตรนรก ก็คงไม่มีทางผนึกจิตวิญญาณตัวเอง จมสู่ความเงียบงันจนกระทั่งตื่นขึ้นมาในตอนนี้
นางมองออกว่าในใจหลินสวินก็ตื่นเต้นและยินดีมาก นี่ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนสบายใจยิ่ง มุมปากอวบอิ่มโค้งเป็นรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว ในดวงตากระจ่างระบายยิ้ม
ส่วนหลินสวินกำลังพูดอะไร นางฟังไม่รู้เรื่องโดยสิ้นเชิง เทียบกับการยืนยันว่าหลินสวินที่อยู่ตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่ เรื่องอื่น… ก็เหมือนไม่สำคัญสักนิด
พูดอยู่นาน ยามหลินสวินรู้สึกปากแห้ง มือกระจ่างมือหนึ่งที่ถือถ้วยชาไว้ก็ปรากฏตรงหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นจ้าวจิ่งเซวียนยิ้มกล่าว “ดื่มเถอะ”
หลินสวินยกถ้วยชากระดกดื่มรวดเดียวหมดแล้วกล่าวถาม “เจ้าไม่ได้ฟังว่าข้ากำลังพูดอะไรเลยใช่ไหม”
จ้าวจิ่งเซวียนกะพริบตาปริบๆ ในดวงตาใสสะอาดดั่งคลื่นใบไม้ร่วงนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มร่า กล่าวว่า “ป่านนี้เจ้าเพิ่งจะรู้? ไม่นับว่าโง่ไปหน่อยหรือ”
น้ำเสียงใสไพเราะ
หลินสวินพลันหัวเราะร่ากล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าโง่ หากแต่ถูกความดีใจครอบงำ เห็นว่าในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้นมาเลยดีใจมาก ห้ามความรู้สึกไม่อยู่จริงๆ”
จ้าวจิ่งเซวียนชะงัก บนใบหน้างามผุดผ่องขาวกระจ่างปรากฏสีแดงสดวูบหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ในความงามพิสุทธิ์เสริมความงามอันอ่อนโยนเพิ่มขึ้นมา
จากนั้นนางดูเหมือนได้รู้จักหลินสวินใหม่อีกครั้ง พินิจพิเคราะห์เขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยปากชม “ดูไม่ออกว่าคนอย่างเจ้านับวันยิ่งอ้อนคนเป็นแล้ว หรือหลายปีนี้คบหาคนรู้ใจไปไม่น้อย ฝึกจนมีสาวมากมายมาอิงแอบแนบชิดคลอเคลีย”
หลินสวินสีหน้าค้างแข็ง
แต่ประโยคต่อมาของจ้าวจิ่งเซวียนกลับราวฟ้าถล่มดินทลาย “หากให้ซย่าจื้อแม่นางน้อยคนนั้นรู้เรื่องพวกนี้ หึๆ…”
สีหน้าหลินสวินพลันชะงักค้าง หน้าผากปรากฏเส้นเลือดดำ
……………….