Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1372 ขายชาติ?
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1372 ขายชาติ?
ผิดจากที่คาด จ้าวจิ่งเซวียนส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ไปหรอก ฆ่าราชันเถาวัลย์เพลิงคนหนึ่ง ก็เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่จักรวรรดิเผชิญอยู่ตอนนี้ไม่ได้ ตรงข้ามมีแต่จะแหวกหญ้าให้งูตื่นเพราะเรื่องนี้”
นางสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง นัยน์ตาสุกใสแน่วแน่กล่าวว่า “รอให้กลับสู่นครต้องห้าม ข้าจะทำความเข้าใจข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับหายนะอสูรมารของจักรวรรดิโดยเร็วที่สุด ไม่ลงมือก็ว่าไปอย่าง แต่เมื่อได้ลงมือย่อมต้องใช้วิธีกวาดล้างกำจัดมารเดรัจฉานพวกนี้สิ้นซาก!”
นัยน์ตาหลินสวินฉายแววชื่นชม กล่าวว่า “ข้าสนับสนุนเจ้า”
ในเวลาเช่นนี้จ้าวจิ่งเซวียนยังรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ มองสถานการณ์โดยรวม ช่างหายากยิ่งจริงๆ
“ไปเถอะ”
จ้าวจิ่งเซวียนรีบร้อนอยากกลับนครต้องห้าม
“ดี”
จากนั้นทั้งคู่ก็ออกเดินทาง
บนเส้นทางหลังจากนั้น พวกเขาก็พบกับอาณาเขตของสัตว์อสูรมารดุร้ายส่วนหนึ่งอย่างต่อเนื่อง เมืองบางแห่งถึงกับถูกทำลายย่อยยับ เหลือเพียงซากปรักหักพังเกลื่อนพื้น
กล่าวว่าสิ่งมีชีวิตจมสู่ห้วงทุกข์ ก็ไม่พ้นเป็นเช่นนี้
เพียงแต่ยิ่งเข้าใกล้พื้นที่จุดศูนย์กลางจักวรรดิ ระหว่างทางก็เริ่มไม่ค่อยปรากฏร่องรอยการปรากฏตัวของสัตว์อสูรมารอีกแล้ว
นี่ก็เพราะในแต่ละเมืองล้วนมีทัพใหญ่ของผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิที่เก่งกาจ และขุมอำนาจตระกูลใหญ่ส่วนหนึ่งร่วมมือกัน ทำการต่อต้านและตอบโต้
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างลอบถอนหายใจโล่งอก สถานการณ์โดยรวมสำหรับจักรวรรดิแล้วยังไม่ถือว่าเลวร้ายเกินไปนัก
เพียงแต่ทุกสิ่งที่ได้เห็นตามทางยังคงทำให้ทั้งคู่รับรู้ได้ว่า ในเงามืดของความพลุกพล่านจอแจนั้น มีกระแสมืดทึบตึงเครียดและเคร่งขรึมพวยพุ่งอยู่
หายนะของสัตว์อสูรมาร หากไม่กำจัดก็เกรงว่าจักรวรรดิจะไม่มีวันสงบสุข!
…
หนึ่งวันให้หลัง
ไกลออกไปในสถานที่ตั้งเมืองอันเก่าแก่ใหญ่ตระหง่านแห่งหนึ่ง ไอสีม่วงคละคลุ้งพวยพุ่งอยู่เหนือเมือง ภายใต้แสงอาทิตย์ เมืองทั้งเมืองย้อมด้วยสีม่วงทองที่งดงามและพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ กว้างใหญ่ไพศาล คล้ายกับมีมาตั้งแต่อดีตกาลก็ไม่ปาน
นครต้องห้าม!
เวลาผ่านไปสิบกว่าปี ยามที่ย้อนกลับมาและมองเห็นนครอันดับหนึ่งของจักรวรรดิแห่งนี้อีกครั้ง ในใจหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างก็อดเลื่อนลอยไม่ได้
“ตอนนี้ข้าเพิ่งสังเกต ว่าเมืองแห่งนี้มีไอม่วงอ่อนเชื่อมสวรรค์ ด้านล่างยึดด้วยโชควาสนาแห่งสี่สุดยอดฮวงจุ้ย ครอบคลุมแปดทิศ เชื่อมต่ออานุภาพสิบทิศ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ศุภโชคแห่งฟ้าดิน สวรรค์สรรค์สร้าง”
หลินสวินเอามือไพล่หลัง นัยน์ตาดำทอแสงวาววับ ปราณของเขาในยามนี้ต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง มองปราดเดียวก็ดูออก นครต้องห้ามอันกว้างขวางแห่งนี้ ความจริงก็เป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคลที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ซ้ำยังจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ซ่อนแฝงนัยเร้นลับมากมาย ดึงดูดอานุภาพแห่งฟ้าดิน วิเศษสุดประเสริฐ
“นั่นย่อมแน่อยู่แล้ว ที่นี่เป็นถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิ หัวใจแห่งทั้งจักวรรดิ ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว”
จ้าวจิ่งเซวียนเม้มปากยิ้มกล่าว
“ไปกันเถอะ”
หลินสวินสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ทำให้เขารู้สึกปิติและผ่อนคลายเหมือนได้หวนสู่บ้านเกิดรังนอน
จ้าวจิ่งเซวียนร้องอืมหนึ่งครา พุ่งโฉบเคียงไหล่หลินสวินออกไปยังที่ไกลๆ
ระหว่างทางความคิดหลินสวินดุจลอยล่อง นึกถึงสหายเก่าอย่างพวกหลินจง เสี่ยวเคอ พญาแร้ง จูเหล่าซาน
และนึกถึงเพื่อนรักสมัยเด็กอย่างหนิงเหมิง สืออวี่ เย่เสี่ยวชี
พวกเขา ยามนี้ยังสบายดีกันหรือไม่
และช่วงหลายปีมานี้ บนภูเขาชำระจิตจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
เมื่อเข้าประตูสูงตระหง่านเก่าแก่ที่สูงร้อยจั้ง สิ่งที่พุ่งสู่สายตาก็คือท้องถนนที่พลุกพล่านดุจสายน้ำนั่น ผู้คนที่เบียดเสียดแน่นขนัด รวมถึงคลื่นเสียงที่เอ็ดอึงเซ็งแซ่
เหมือนเช่นที่ผ่านมา นครต้องห้ามยังคงครึกครื้นและพลุกพล่านเช่นนี้อยู่เสมอ
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างเก็บงำกลิ่นอาย เดินเคียงบ่ากันบนท้องถนน มองดูภาพที่แสนคุ้นเคยภาพแล้วภาพเล่า ความคิดล่องลอย
“ข้าจะกลับบ้านแล้ว”
ไม่ทันไรจ้าวจิ่งเซวียนก็ชะงักเท้า นัยน์ตาสุกใสทอดมองไปไกลๆ ตรงนั้นคืออาคารเก่าแก่ที่ตั้งเรียงราย กำแพงมุกกระเบื้องทอง แผ่กลิ่นอายอร่ามเจิดจ้าออกมา
ที่นั่นคือวังหลวง
“ไปเถอะ ข้าเองก็ควรกลับไปดูสักหน่อยเช่นกัน มีเรื่องอะไรจำไว้ว่าไปหาข้าที่ภูเขาชำระจิต”
หลินสวินกล่าวยิ้มๆ
“ได้”
จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า หลังจากนั้นก็ยิ้มพลางโบกมือแล้วหันตัวจากไป
มองส่งจ้าวจิ่งเซวียนจากไป หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ยืนอย่างสันโดษ ก่อนเดินเข้าสู่ท้องถนนที่พลุกพล่านดุจสายน้ำเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่ตั้งในความทรงจำ
ภูเขาชำระจิตของตระกูลหลิน เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองยอดเขาตระกูลทรงอิทธิพล หนึ่งในแดนมงคลถ้ำสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนครต้องห้าม
ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่หลินสวินจะจำตำแหน่งผิด
เพียงแต่เพิ่งอยู่ระหว่างทาง ตอนที่ผ่านหอสุราแห่งหนึ่ง ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงระลอกหนึ่งดึงความสนใจของหลินสวิน
“ตระกูลหลินใกล้จบสิ้นแล้ว โทษขายชาติหากได้รับการยืนยัน ทุกคนทั้งบนล่างในตระกูลเกรงว่าต้องถูกประหารกันหมดแน่!”
“ไม่ขนาดนั้นกระมัง ไม่ใช่แค่ว่าอสูรมารบำเพ็ญตนหนึ่งที่ตระกูลหลินชุบเลี้ยงทรยศหลบหนีไปหรือ จะไปหาว่าทั้งตระกูลหลินขายชาติได้อย่างไร”
“เฮอะๆ นี่เจ้าไม่เข้าใจแล้วล่ะ หากคิดยัดเยียดโทษจะต้องพูดให้มากความไปทำไม”
“เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่”
“ได้ยินว่าเพราะคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจล้นฟ้าเพ่งเล็งภูเขาชำระจิตของตระกูลหลิน ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ทำให้ภูเขาแห่งตระกูลทรงอิทธิพลเจ็ดสิบสองแห่งต่างกลายเป็น ‘แดนสมบัติถ้ำสวรรค์’ ที่เลื่องชื่อลือชา ใครจะไม่ตาร้อนกันบ้าง”
“และมีข่าวลือว่า เป็นเพราะก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มผู้นำตระกูลหลินคนนั้นล่วงเกินขุมอำนาจใหญ่มากมายเกินไป”
“ก็ไหนว่าตระกูลหลินได้รับการคุ้มครองจากราชวงศ์ของจักรวรรดิไม่ใช่หรือ”
“นี่เจ้าไม่เข้าใจแล้ว หลายปีมานี้เป็นองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินดูแลจักรวรรดิ จัดการงานราชกิจ จากที่ข้ารู้มาองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินน่ะมีความสัมพันธ์ค่อนข้างแน่นแฟ้นกับสองตระกูลจั่วและฉิน หากสองตระกูลนั้นอยากจัดการตระกูลหลิน ราชวงศ์มีหรือจะยังคุ้มครองตระกูลหลินอยู่อีก”
“เฮอะ พวกเจ้าผิดกันหมด หากปีนั้นผู้นำตระกูลหลินที่ได้ฉายาว่า ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ คนนั้นยังอยู่ ใครจะกล้ากระตุกหนวดตระกูลหลินกัน”
“น่าเสียดาย ยามนี้ใครบ้างไม่รู้ว่าหลังจากฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ผู้นำตระกูลหลินที่มุ่งหน้าไปฝึกปราณยังดินแดนรกร้างโบราณคนนั้น จะไม่สามารถย้อนกลับมาได้อย่างแน่นอน!”
…
จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ สายตาของหลินสวินก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นขึ้นมา ความปิติยินดีที่ได้กลับสู่บ้านเกิดพลันหายไปไม่มีเหลือ
ขายชาติ?
โทษสถานหนักยิ่งนัก!
‘ดูเหมือนว่าหลายปีที่ข้าไม่อยู่ ตระกูลหลินเหมือนจะไม่ค่อยสงบสุขสักเท่าไหร่…’
หัวคิ้วหลินสวินขมวดขึ้น
ที่น่าเสียดายคือคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น ไม่สามารถทำให้หลินสวินเข้าใจข้อมูลข่าวสารมากขึ้นเลยสักนิด
เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น มุ่งหน้าเดินไกลออกไป
ไม่ว่าหลายปีมานี้ตระกูลหลินประสบเรื่องราวอะไรมา ในเมื่อตนกลับมาแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สนใจ!
บนท้องถนนเกี้ยวสมบัติหลังหนึ่งขับผ่านข้างลำตัวหลินสวิน จากนั้นเกี้ยวสมบัติพลันหยุดกะทันหัน เสียงคล้ายตกใจสายหนึ่งดังลอยออกมา “ผู้นำตระกูล?”
หลินสวินชะงักเท้า หันหลังกลับไปมองก็เห็นชายหนุ่มชุดหยกคนหนึ่งกระโดดออกมาจากเกี้ยวสมบัติ มองมาทางตนด้วยสีหน้ายากจะเชื่อ
ทันใดนั้นหลินสวินก็จำสถานะของอีกฝ่ายได้ หลินเสวี่ยเฟิง!
คนผู้นี้เดิมทีเป็นบุตรภรรยาเอกของหลินไหวหย่วน หัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดร หลังจากหลินสวินรวมสี่สายรองของตระกูลหลินเป็นหนึ่งเดียว หลินเสวี่ยเฟิงก็อุทิศตนอยู่ที่ภูเขาชำระจิตเรื่อยมา
อีกทั้งหลินเสวี่ยเฟิงก็เป็นหนึ่งในคนตระกูลหลินสายรองกลุ่มแรกที่สวามิภักดิ์ต่อหลินสวินในปีนั้น
“เสวี่ยเฟิง ไม่ได้เจอกันนานเลย”
หลินสวินคลี่ยิ้มบางๆ ทุกครั้งที่เผชิญเรื่องใหญ่ต้องใจเย็น ต่อให้ภายในใจจะเป็นกังวลต่อสถานการณ์และความปลอดภัยของตระกูลหลินยามนี้ แต่หลินสวินก็รู้ว่า ก่อนที่จะรู้สถานการณ์ชัดเจนยังรีบร้อนไม่ได้
“ผู้นำตระกูล เป็นท่านจริงๆ ด้วย!”
หลินเสวี่ยเฟิงตื่นเต้นจนตะโกนลั่น สภาพอารมณ์สูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ
สิบกว่าปีแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่ได้เจอผู้นำตระกูลที่ทำให้เขาเลื่อมใสไม่สิ้นคนนี้อีกแล้ว ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะได้พบกันอีกครั้งในยามนี้!
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนฝันไป
หลินสวินตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ กล่าวว่า “ใจเย็นก่อน จากนั้นบอกข้าทีว่าในช่วงหลายปีมานี้ตระกูลหลินเกิดเรื่องอะไรบ้างกันแน่” Aileen-novel
หลินเสวี่ยเฟิงพยักหน้า เขาสูดหายใจลึกหลายเฮือก ทำให้อารมณ์มั่นคงอย่างสมบูรณ์ สายตากวาดมองไปบนท้องถนนสี่ทิศรอบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ผู้นำตระกูล ที่นี่ไม่ใช่ที่สนทนากัน”
กล่าวพลางเชิญหลินสวินขึ้นเกี้ยวสมบัติ
พอขึ้นนั่งบนเกี้ยวสมบัติ มองเห็นหว่างคิ้วหลินเสวี่ยเฟิงมีแววกังวลไม่สร่าง ในใจหลินสวินก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่ง
“พูดมาเถอะ ระหว่างทางข้าได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตระกูลหลินมาบ้างแล้ว”
ท่าทางสุขุมเยือกเย็นเช่นนั้นของหลินสวิน พาให้ภายในใจหลินเสวี่ยเฟิงสงบลงไม่น้อย กล่าวว่า “นับตั้งแต่ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน สถานการณ์ของพวกเราตระกูลหลินก็เปลี่ยนเป็นไม่ดีเท่าไร…”
ในเสียงเจือแววขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก
นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ลง กล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ในจักรวรรดิยังมีคนกล้าราวีตระกูลหลินอยู่อีกหรือ”
ควรรู้ว่าปีนั้นก่อนที่เขาจะออกจากจักรวรรดิ ก็กวาดล้างอุปสรรคทั้งหมดให้ตระกูลหลินตั้งนานแล้ว กำราบจนตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ดหวาดหวั่น ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน
สามตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง ตระกูลฉี ยิ่งแก้ปมความเข้าใจผิดส่วนหนึ่งต่อหน้าเจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตกับหลินสวิน หมดสิ้นความอาฆาตแค้น
กอปรกับตอนที่หลินสวินจากไป ราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหลให้สัญญาว่าจะปกป้องคุ้มครองตระกูลหลิน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินไม่สามารถจินตนาการได้เลยจริงๆ ว่าในนครต้องห้ามแห่งนี้ ใครยังจะแตะต้องตระกูลหลินได้อีก
“เมื่อก่อนตอนที่ท่านยังอยู่ นครต้องห้ามย่อมไม่มีอยู่แล้ว แต่หลายปีมานี้ข่าวทั้งหมดล้วนแพร่สะพัด ว่าชั่วชีวิตนี้ท่านไม่สามารถกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณได้ ดังนั้น…”
หลินเสวี่ยเฟิงทอดถอนใจ
พูดยังไม่ทันจบแต่หลินสวินก็พอเข้าใจได้เลาๆ แล้ว
นับดูแล้ว เขาออกจากโลกชั้นล่างไปสิบกว่าปีแล้ว ตอนที่มีข่าวว่าตนไม่สามารถหวนกลับมาได้อีก ขุมอำนาจที่แต่เดิมมองตระกูลหลินเป็นศัตรูเหล่านั้น มีหรือจะยอมอยู่เฉย
ก่อนหน้านี้นานมาแล้วหลินสวินก็เข้าใจกระจ่าง หากตนยังอยู่นครต้องห้าม ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องภูเขาชำระจิตของตระกูลหลิน ต่อให้เป็นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงพวกนั้นก็ได้แต่บีบจมูกฝืนทน
กอปรกับมีคนใหญ่คนโตแห่งราชวงศ์อย่างราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหลผู้นี้คอยช่วยเหลือ ไม่ว่าใครคิดจะแตะต้องตระกูลหลิน เกรงว่าคงต้องชั่งน้ำหนักกันเสียหน่อย
แต่หากชั่วชีวิตนี้หลินสวินไม่อาจย้อนกลับมาได้ เช่นนั้นทุกอย่างก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
คนจากลาน้ำชาเย็นชืด ไมตรีย่อมจืดจาง ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
“จิ้งจอกเฒ่าอย่างจ้าวไท่ไหลนั่นก็ไม่สนเลยหรือ”
หลินเสวี่ยเฟิงยิ้มขื่น ส่ายหน้ากล่าวว่า “ตอนที่ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหลรีบเร่งออกจากจักรวรรดิ ก่อนจะไปยังเคยกำชับเป็นพิเศษว่าหากตระกูลหลินประสบปัญหา ก็สามารถไปร้องขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินได้”
“จ้าวจิ่งเหวิน?” หลินสวินขมวดคิ้ว
เขาจำคนผู้นี้ได้เลาๆ ปีนั้นตอนที่อยู่สำนักศึกษามฤคมรกต จ้าวจิ่งเหวินดูเหมือนจะเป็นศิษย์ที่โดดเด่นคนหนึ่งในสาขามังกรเร้น
“ใช่ หลายปีมานี้จักรพรรดิองค์ปัจจุบันและจักรพรรดินีต่างก็ไม่ได้ออกหน้าอีก มีแต่ให้องค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินปกครองจักรวรรดิ จัดการงานราชสำนัก”
หลินเสวี่ยเฟิงกล่าวถึงตรงนี้นัยน์ตาก็ฉายแววจนปัญญาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “แต่ต่อมาตอนที่พวกเราไปขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสาม กลับถูกปฏิเสธอยู่ร่ำไป ไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเราตระกูลหลินเลยสักนิด”
หลินสวินร้องอืมหนึ่งครา และไม่ค่อยรู้สึกโกรธต่อเรื่องนี้เท่าใดนัก หยิบยืมกำลังภายนอกอย่างไรก็ไม่อาจพึ่งพาได้ ร้องขอให้คนช่วย โอกาสที่จะถูกปฏิเสธก็ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นเลย
จากนั้นเขาก็เอ่ยถาม “ภายนอกลือกันว่าพวกเราตระกูลหลินขายชาติ เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่”
…………..