Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1433 ความอับอายของมอด
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1433 ความอับอายของมอด
ในป่าไม่มีปฏิทิน เวลาผ่านไปไม่รู้วันคืน
ดอกไม้ผลิแล้วก็บาน รู้ตัวอีกทีหลินสวินมาอยู่ที่ภูเขาเมฆาครามหนึ่งปีแล้ว
ในหนึ่งปีนี้ระหว่างสามค่ายทัพใหญ่อย่างจักรวรรดิ พ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่า เกิดการเข่นฆ่าดุเดือดอยู่บ่อยครั้ง
ล้วนเกี่ยวข้องกับการแย่งสมบัติจำพวกผลึกกำเนิดเจตะ โอสถเทพแทบจะทั้งหมด
พูดโดยรวมก็คือ สถานการณ์ของผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิในปีนี้ยิ่งมีแนวโน้มถดถอยลงกว่าเดิม
ผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิทุกคนที่ออกไปฝึกฝนข้างนอก จำเป็นต้องออกไปกันเป็นกลุ่ม และขอบเขตในการเคลื่อนไหวก็ลดน้อยลงมาก
เหตุผลเพราะไม่ว่าจะเป็นค่ายทัพพ่อมดเถื่อนหรือพันธมิตรหมื่นเผ่าล้วนเพ่งเล็งจักรวรรดิ!
ทั้งสองค่ายทัพใหญ่แม้ภายนอกดูเหมือนไม่ได้ร่วมมือกัน แต่ทุกคนรู้ดีว่าทั้งสองจะต้องแอบร่วมมือในบางด้านกันแล้วแน่
วู้ม!
วันนี้บนยอดภูเขาเมฆาคราม รุ้งศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวงดงามสายแล้วสายเล่าพุ่งออกจากเรือนหินที่หลินสวินปิดด่านอยู่
รุ้งศักดิ์สิทธิ์ทุกสายล้วนเต็มไปด้วยแสงประกายหยกที่อัศจรรย์ ราวกับเป็นของจริง พุ่งขึ้นฟ้างดงามอย่างที่สุด
ในเรือนหินเลือดลมรอบตัวหลินสวินพลุ่งพล่าน แปลงเป็นประกายแสงอย่างต้นพิสุทธิ์ หยกพิสุทธิ์ ยอดพิสุทธิ์ วิญญาณพิสุทธิ์ แรกพิสุทธิ์ มายาพิสุทธิ์ ไหลเวียนไม่หยุด ล้อมพิทักษ์รอบๆ
มองไปโดยละเอียด ผิวหนังทุกกระเบียดของเขาล้วนเป็นพร่างพราวแวววาว พรั่งพรูแสงมรรค ระหว่างกระดูกและเลือดลมเต็มไปด้วยเสียงธรรมกู่ก้อง
ฟึ่บ!
ยามหลินสวินลืมตาขึ้น อานุภาพน่ากลัวชวนกดดันสายหนึ่งแผ่กระจายออก ทำให้อากาศบริเวณนั้นทรุดทลาย เหมือนเป็นการก้มหัวเลื่อมใส
“ทะลวงแล้ว…”
ในใจหลินสวินเกิดความปลื้มปิติ
ในหนึ่งปีพลังหลอมกายของเขาได้ก้าวผ่านแต่ละระดับอย่างรวดเร็ว จากอมตะเคราะห์ด่านสองในตอนแรก ก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านหกแล้ว!
หนึ่งปีทะลวงสี่ระดับ!
นี่หากเผยแพร่ออกไปย่อมสามารถสะเทือนโลกได้ เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์
แต่สำหรับหลินสวิน พัฒนาการเช่นนี้ปกติมาก
สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่งในการฝึกปราณอยู่แล้ว และสถานที่ที่เขาปิดด่านคือบนยอดภูเขาเมฆาคราม ทรัพยากรฝึกปราณที่ใช้คือผลึกกำเนิดเจตะและโอสถเทพที่มีมาอย่างไม่ขาดสาย วิชาที่ฝึกคือพลังหลอมกายของวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์และใจความการหลอมกายของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ
หากยังไม่สามารถก้าวหน้าอย่างที่สุดในการหลอมกาย นั่นต่างหากที่เรียกว่าไม่ปกติ
สิ่งที่สำคัญที่สุด เคราะห์หนักทุกด่านบนมรรคาอมตะหลินสวินผ่านมานานแล้ว เพราะฉะนั้นในการฝึกหลอมกายจึงเท่ากับไม่มีการขัดขวางใดๆ
เพียงแค่ฝึกต่อไป พลังหลอมกายก็สามารถพัฒนาขึ้นอย่างราบรื่น!
อีกทั้งยามหลินสวินฝึกฝน คำว่ามั่นคงต้องมาก่อน ไม่ได้ฝืน ทำให้รากฐานการหลอมกายมั่นคงอย่างที่สุด
หากคิดแต่จะทะลวงระดับขึ้นไป ในหนึ่งปีนี้หลินสวินมั่นใจว่าสามารถยกระดับพลังหลอมกายให้สูงขึ้นกว่านี้ได้
แต่เขาไม่ได้ทำ
สามารถทะลวงพลังหลอมกายสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านหกอย่างมั่นคงได้ภายในหนึ่งปี ก็ทำให้หลินสวินประหลาดใจและดีใจมากแล้ว
ความจริงหากเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น หากมีทรัพยากรฝึกปราณและพรสวรรค์อย่างหลินสวิน ก็สามารถทำได้ถึงขั้นนี้เช่นกัน
เหตุผลง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นหลอมกาย หลอมปราณหรือหลอมจิต เส้นทางต่างกันแต่มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ขอเพียงแค่สำเร็จในมรรคาใดมรรคาหนึ่ง ค่อยไปคำนึงถึงมรรคาอื่นๆ มักสามารถได้รับผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว
สิ่งที่ทำให้หลินสวินพอใจอย่างแท้จริงก็คือ ระหว่างการยกระดับของพลังหลอมกาย ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย!
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในแดนมกุฎเขาก็สังเกตเห็นแล้วว่า การยกระดับของพลังหลอมกายมีความเกี่ยวข้องและสอดรับอย่างใกล้ชิดกับพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินของตน
พลังหลอมกายยิ่งแข็งแกร่ง ระลอกคลื่นแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดก็ยิ่งรุนแรง พลังพรสวรรค์ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหัศจรรย์ตามไปด้วย
อย่างเช่นตอนนี้ พอเขาโคจรพลังหลอมกาย ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดก็ประหนึ่งสุริยันร้อนแรงจรัสแสง สว่างไสวสะดุดตา แผ่คลื่นคลุมเครือแปลกประหลาดออกมา มีความรู้สึกเดือดพล่านมีชีวิตชีวา
‘ยามทะลวงด่านที่เก้าของห้องโถงมรรคาสวรรค์ ทำให้ข้าได้รับ ‘พลังเร้นชะตาสวรรค์’ ที่สามารถปลุกพลังพรสวรรค์ กระตุ้นประทับต้นกำเนิดในพลังพรสวรรค์ เพื่อครอบครองอภินิหารพรสวรรค์ในมรดกสายเลือดของตนอย่างแท้จริง…’
หลินสวินตระหนักได้ว่า เมื่อพลังหลอมกายยกระดับขึ้น ระยะห่างของการปลุกอภินิหารพรสวรรค์ของตนก็ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
เขารอคอยอย่างยิ่ง ว่าพลังอภินิหารบริสุทธิ์ของพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินจะมีอานุภาพที่คาดไม่ถึงอย่างไร…
หลินสวินสัมผัสพลังหลอมกายของตนเงียบๆ อยู่นานถึงค่อยลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากเรือนหิน
เขาสังเกตเห็นแล้วว่า ต่อให้ปิดด่านต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ต่อการยกระดับพลังอีกแล้ว หากต้องการให้พลังหลอมกายเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง จะต้องเข้าสู่การเคี่ยวกรำอย่างแท้จริง
ตอนนั้นเฒ่าโดดเดี่ยวเคยพูดว่า พลังหลอมกายของเขาแม้จะแข็งแกร่ง แต่ขาดการเคี่ยวกรำ ขาดการฝึกฝนและพัฒนาอย่างแท้จริง
จุดนี้แน่นอนว่าหลินสวินย่อมไม่ลืม
และถ้าอยากจะฝึกฝนเคี่ยวกรำ การต่อสู้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ก้าวลงจากภูเขาไปอย่างปล่อยอารมณ์
……
“ผลึกกำเนิดเจตะหายากขึ้นเรื่อยๆ สถานที่ดีๆ ที่รู้จักก็ถูกพวกสารเลวพ่อมดเถื่อนและพวกตัวประหลาดหมื่นเผ่ายึดครองไปหมด น่าชังจริงๆ”
“ฝั่งพ่อมดเถื่อนมีผู้กล้า ‘คู่แฝดรุ่งรัตติกาล’ พลังต่อสู้ยอดเยี่ยม และมีบุคคลสุดยอด ‘ราชันพ่อมดระดับอมตะเคราะห์ทั้งสิบ’ ทุกคนล้วนมีพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าซ่งอู๋เชวีย คู่แฝดรุ่งรัตติกาลคู่นั้นยิ่งน่ากลัว ในค่ายทัพจักรวรรดิของเราคงมีเพียงหลี่ตู๋สิงที่เทียบได้”
“ส่วนฝั่งพันธมิตรหมื่นเผ่า บุคคลที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของ ‘กระดานพลังต่อสู้หมื่นเผ่า’ ล้วนเป็นบุคคลเหี้ยมโหดชั้นหนึ่ง ทุกคนเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่หายากในหมื่นปี บางคนพรสวรรค์ยอดเยี่ยม บางคนแก่นกระดูกเลิศล้ำ บางคนความสามารถในการหยั่งถึงเทียมฟ้า…”
“ย้อนกลับมามองค่ายทัพจักรวรรดิของเรา ก็มีแค่พวกหลี่ตู๋สิง ซ่งอู๋เชวีย สืออวี่ไม่กี่คนที่สามารถสู้พวกเขาได้ แต่เมื่อเทียบกัน พลังชั้นยอดที่แท้จริงห่างกันมากเกินไปแล้ว”
ในค่ายทัพภูเขาเมฆาคราม หลายคนต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์ สีหน้าหดหู่และหนักใจไม่มากก็น้อย
สถานการณ์ของทัพจักรวรรดิทำให้พวกเขาต่างหนักใจ
สิ่งที่แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดคือ จำนวนของผลึกกำเนิดเจตะและโอสถเทพที่เก็บได้ในแต่ละวันลดน้อยลงอย่างมาก!
นี่ทำให้พลังปราณของพวกเขาได้รับผลกระทบ
หากสถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป ภายใต้การเก็บเกี่ยวที่ฝั่งเราลดแต่ฝั่งเขาเพิ่ม อิทธิพลของค่ายทัพพ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่ามีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนอิทธิพลค่ายทัพจักรวรรดิของพวกเขาก็จะอ่อนแอลงอีกก้าว!
ช่วงนี้เสียงถอนหายใจเช่นนี้แทบจะเป็นเงามืดปกคลุมเหนือภูเขาเมฆาคราม ท้องฟ้ามืดครึ้มหม่นแสง
“เอ๊ะ วันนี้วันอะไร มอดตัวนั้นกลับยอมเดินออกจากยอดเขา”
ทันใดนั้นมีคนสังเกตเห็นหลินสวินที่เดินลงจากเขาก็อดประหลาดใจไม่ได้
“เขาจริงๆ ด้วย”
คนอื่นๆ ก็ตะลึงเช่นกัน
ในหนึ่งปีนี้หลินสวินโผล่หน้าออกมาน้อยมาก โดยเฉพาะครึ่งปีหลัง ไม่เคยก้าวออกจากเรือนหินที่เขาอยู่เลย
คนที่ไม่รู้คงคิดว่าบนภูเขาเมฆาครามไม่มีคนที่ชื่อหลินสวินด้วยซ้ำ
คนที่รู้ ส่วนมากก็ไม่อยากพูดถึงหลินสวินนัก แม้รู้ว่าเจ้าหมอนี่ไม่ควรมีเรื่องด้วย แต่พวกเขาก็ไฟสุมอก
เหตุผลง่ายมาก ในหนึ่งปีตั้งแต่หลินสวินเข้าสู่ภูเขาเมฆาคราม นอกจากตอนแรกที่ตบจ้าวจิ่งเฟิงไปสองที เปิดโปงฐานะ ‘ข้ารับใช้มายาร้าย’ ของจ้าวจิ่งหลิน เคยทำให้ซ่งอู๋เชวียตกใจจนถอยได้ในประโยคเดียว
เวลาอื่นๆ หลินสวินก็เหมือนมอดตัวหนึ่งมาโดยตลอด รับการดูแลอย่างดีเป็นพิเศษจากจ้าวซิงเย่ มีผลึกกำเนิดเจตะและโอสถเทพให้ใช้ไม่หมด แต่กลับไม่เคยทำประโยชน์เพื่อค่ายทัพจักรวรรดิเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ไม่เลยสักครั้ง!
แน่นอนว่าทำให้ทุกคนรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
พลังปราณแข็งแกร่งแล้วอย่างไร ไม่ถวายชีวิตให้กับค่ายทัพจักรวรรดิแล้วจะต่างอะไรกับมอดตัวหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิเดือดดาลที่สุดคือ ผลึกกำเนิดเจตะที่หลินสวินใช้สอย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผลึกกำเนิดเจตะที่พวกเขาเสี่ยงอันตรายเก็บกลับมาอย่างยากลำบาก
ตอนนี้สถานการณ์ของค่ายทัพจักรวรรดิกดดันขึ้นเรื่อยๆ จำนวนผลึกกำเนิดเจตะที่รวบรวมได้ก็น้อยลงเรื่อยๆ
แต่จำนวนผลึกกำเนิดเจตะที่หลินสวินใช้กลับไม่เคยน้อยลง!
เช่นนี้ใครจะรู้สึกเป็นธรรมได้?
มีสิทธิ์อะไร
ดังนั้นตอนนี้พอเห็นหลินสวินปรากฏตัว ผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิเหล่านี้แต่ละคนสีหน้าไม่เป็นมิตรนัก บ้างแค่นเสียงเย็นเยียบ บ้างดูถูก บ้างหันหน้าหนีมองข้ามเขาโดยตรง
ทว่ากลับไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะ
ที่จ้าวจิ่งเฟิงโดนตบสองทียังคงติดตา ภาพที่ซ่งอู๋เชวียกลัวจนถอยไปเองจนวันนี้ทุกคนยังจำได้อย่างชัดเจน
ทุกคนรู้ว่าไม่ควรหาเรื่องหลินสวิน แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ทุกคนมองเขาว่าเป็น ‘มอด’ ได้
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็แปลกใจเล็กน้อย เพราะเขาไม่รู้เรื่องที่ตนถูกมองว่าเป็นมอด พวกสืออวี่และหนิงเหมิงไม่เคยพูดถึง
ก็หมายความว่า ‘การดูแลอย่างเป็นพิเศษ’ ที่หลินสวินได้รับในตลอดหนึ่งปีนี้ ตัวเขาไม่รู้เลยสักนิด
“ถุย!”
ตอนที่หลินสวินเดินผ่านชายหนุ่มชุดเทาคนหนึ่ง จู่ๆ อีกฝ่ายก็ถ่มน้ำลายอย่างรังเกียจ แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ความดูถูกนั้นได้เปิดเผยอย่างหมดจดแล้ว
หลินสวินชะงักเท้าโดยพลัน พูดว่า “ข้าเคยหาเรื่องเจ้าหรือ”
ชายหนุ่มชุดเทาคนนั้นอึ้ง จากนั้นพูดด้วยใบหน้ามืดทะมึน “เรื่องที่เจ้าทำ เจ้าไม่รู้ตัวหรือ”
“เรื่องอะไร” หลินสวินประหลาดใจ
เห็นท่าทางไร้ความผิดเช่นนี้ของเขา ชายหนุ่มชุดเทาคนนั้นโกรธจนสั่นไปทั้งตัว มอดตัวนี้รับการดูแลที่พิเศษแค่ไหน กลับไม่มีความรู้สึกผิดและอับอายเลยหรือ
จิตสำนึกไม่เจ็บปวดบ้างหรือไร
“น่ารังเกียจ!”
ชายหนุ่มชุดเทาสะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างขุ่นเคือง ท่าทางอับอายที่จะอยู่ร่วมกัน เขากังวลว่าพูดต่อไปจะโกรธจนกระอักเลือด
หลินสวินงุนงง สายตากวาดมองคนอื่นๆ เห็นพวกเขามองตนอย่างไม่พอใจก็ยิ่งฉงนใจ
“นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
สุดท้ายหลินสวินเจอสืออวี่ที่กำลังเตรียมจะออกไป จึงถามถึงเรื่องนี้
สืออวี่ยิ้มพูด “จะอะไรเล่า ริษยาอย่างไรล่ะ หนิงเหมิงพูดถูก ความริษยาทำให้คนน่ารังเกียจ ความอิจฉาทำให้คนหน้าตาอัปลักษณ์ เจ้าไม่ต้องสนใจ ฝึกปราณอย่างสบายใจก็พอแล้ว”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้อิจฉาริษยาก็ต้องให้เหตุผลที่อิจฉาหน่อยหรือเปล่า” หลินสวินพูดอย่างไม่เข้าใจ
สืออวี่จนปัญญา ทำได้เพียงเล่าเรื่องราวทั้งหมด
หลังจากรู้เรื่องแล้วหลินสวินจนคำพูด เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ทำไมพวกเจ้าไม่บอกข้าตั้งแต่แรก”
สืออวี่ยิ้มพูด “เรื่องที่เจ้าได้ประโยชน์พวกเราจะขัดขวางไปทำไม เจ้าอย่ามาได้ประโยชน์แล้วเสแสร้งไม่รู้ไม่ชี้ เช่นนี้จะดูหน้าไม่อายมาก”
หลินสวินคว้าตัวเขาเอาไว้พร้อมเอ่ย “ไป ออกไปกับข้าหน่อย”
สืออวี่ผิดคาด “ทำไม”
“ล้างความอับอายของการเป็นมอด!” หลินสวินสีหน้าจริงจัง