Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1441 ร่วงโรยอย่างต่อเนื่อง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1441 ร่วงโรยอย่างต่อเนื่อง
“ต้องชนะ!”
“ต้องชนะ!”
คนมากมายโห่ร้องให้กำลังใจฮวาหลิวหง
ฮวาหลิวหงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สาวเท้าก้าวขึ้นไปข้างหน้า สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณดั่งควันสัญญาณที่พวยพุ่ง ล้นทะลักออกมาจากร่างผอมเพรียวแบบบาง
ด้านล่างเขาพินิจมรรคมีสนามประลองแห่งหนึ่งเปิดใช้งาน ปกคลุมด้วยค่ายกลต้องห้าม เมื่อเหยียบลงไปแล้วก็ไม่มีทางกลับหลังได้อีก
“ผู้หญิงคนหนึ่ง อ่อนแอเกินไป เปลี่ยนคนใหม่มา!”
ในสนามประลองเสวียนหลัวจื่อมุ่นคิ้ว ตะโกนด้วยสีหน้าทะมึน เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจยิ่ง ทำท่าเหยียดฮวาหลิวหง
ฝ่ายค่ายจักรวรรดิต่างโมโห นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง จงใจเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของฮวาหลิวหง
หลินสวินมุ่นคิ้วเอ่ยถาม “ศึกถกมรรคเช่นนี้ ยอมแพ้ได้หรือไม่”
“ไม่ได้ จำเป็นต้องสู้” สืออวี่ส่ายหน้า
หลินสวินนิ่งเงียบทันที
“ฆ่า!”
ฮวาหลิวหงสีหน้าเย็นเยียบปานน้ำค้างแข็ง ทันทีที่เหยียบบนแท่นก็กลายร่างเป็นเงามายาสายหนึ่ง พุ่งกระโจนเข้าใส่เสวียนหลัวจื่อ
ชิ้ง!
กระบี่เทพแดงฉานเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางคิ้วของนาง ฟาดฟันออกไป
“ข้าบอกแล้ว เจ้าไม่ไหว!”
สายตาเสวียนหลัวจื่อเยียบเย็น สายฟ้าพลุ่งพล่านทั่วร่างของเขา สว่างระยับดุจเงิน ทวนยักษ์สำริดในมือเคลื่อนขวาง พัดพาม่านน้ำตกสายฟ้าน่าสะพรึงขึ้น หอบม้วนทั่วฟากฟ้า
ศึกใหญ่ปะทุขึ้นเช่นนี้ ฮวาหลิวหงทุ่มชีวิตลืมตาย โถมออกไปสุดกำลัง สู้ศึกกับเสวียนหลัวจื่อ สำแดงสิ่งที่ตนได้เรียนรู้ทั้งหมดออกมา
ต่อให้เป็นหลินสวินก็ยังไม่อาจไม่ชื่นชม พลังต่อสู้ของฮวาหลิวหงไม่ธรรมดาอย่างที่สุด
น่าเสียดายที่คู่ต่อสู้ของนางแข็งแกร่งยิ่งกว่า
ไม่ทันไรหัวใจของผู้แข็งแกร่งค่ายจักรวรรดิต่างจมลงมา ดูออกว่าสถานการณ์ของฮวาหลิวหงน่าเป็นห่วง นางกำลังสู้สุดชีวิต งัดฝีมือทั้งหมดออกมา แต่เห็นได้ชัดว่าเสวียนหลัวจื่อกลับดูสงบเยือกเย็นหาใดเปรียบ คล้ายแมวหยอกหนู
ตอนที่ผ่านไปร้อยกว่ากระบวนท่า ฮวาหลิวหงก็ตระหนักถึงความไม่เข้าที สำแดงทักษะก้นกรุที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด ตั้งท่าจะแผดเผาอีกฝ่ายให้มอดไหม้ตกตามกันทั้งคู่
“จบสักทีเถอะ!”
และเวลานี้เอง เสวียนหลัวจื่อสำแดงท่าไม้ตาย ทวนยักษ์บรรจุพายุสายฟ้าน่าสะพรึง บดขยี้แหวกห้วงอากาศเข้ามา ทำให้ฟ้าดินไร้สีสัน ลักษณ์ประหลาดต่างๆ ปรากฏขึ้นถี่ๆ อย่างเช่นดาวใหญ่แหลกลาญ เทพผีโหยไห้เป็นต้น
ตูม!
ในการปะทะสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงร้องโหยหวนสายหนึ่งดังขึ้น จากนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางฝุ่นควันคละคลุ้ง
ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
ฮวาหลิวหงพ่ายแพ้ ถูกทวนศึกของเสวียนหลัวจื่อเสียงจ้วงร่างอรชรแขวนอยู่กลางอากาศ เลือดสดไหลหลั่งออกมาจากบริเวณอกของนางราวกับน้ำตก
“ไม่…!” ฝั่งค่ายจักรวรรดิคนส่วนใหญ่ดวงตาแทบถลน ส่งเสียงร้องโศกเศร้าปนเดือดดาล
นัยน์ตาฮวาหลิวหงอ่อนแสง ทอดมองทางค่ายจักรวรรดิ ริมฝีปากสั่นระริกน้อยๆ คล้ายกับอยากพูดอะไร น่าเสียดายที่ไม่มีแรงเอ่ยออกมา
ทวนศึกของเสวียนหลัวจื่อไม่เพียงบดขยี้หัวใจของนาง กระทั่งจิตวิญญาณของนางก็ยังถูกบดแหลก
“บอกแล้วว่าเจ้าไม่ไหว และเจ้าก็ไม่ไหวจริงๆ!”
ในเสียงหัวเราะชั่วช้า เสวียนหลัวจื่อขยับมือคราหนึ่ง ร่างฮวาหลิวหงที่ถูกเสียบแขวนบนทวนศึกก็ระเบิดเป็นจุณ กลายเป็นเศษเลือดเนื้อสาดกระเซ็น ทั้งกายและดวงจิตล้วนดับสลาย
หญิงสาวที่เป็นยอดสตรีไม่น้อยหน้าบุรุษในค่ายจักรวรรดิ เดิมทีมีอนาคตสดใสอย่างที่สุด แต่ตอนนี้กลับตายเสียแล้ว!
ซ้ำยังตายด้วยวิธีอเนจอนาถหาใดเปรียบ!
ใครก็ไม่อาจลืมเลือน นัยน์ตาหม่นแสงที่นางทอดมองมาก่อนสิ้นใจคล้ายกำลังบอกลา และคล้ายกับละอายแก่ใจที่ไม่อาจคว้าชัยชนะมาได้…
คนมากมายต่างขอบตาแดงก่ำ สองหมัดกำแน่น
นัยน์ตาดำของหลินสวินสุขุมเย็นเยียบ นิ่งเงียบไม่พูดจา สภาพอารมณ์ภายในใจกลับยากจะสงบนิ่ง
ก่อนหน้านี้เขาเคยคาดการณ์ศึกถกมรรคระดับนี้เอาไว้ ว่าต้องนองเลือดและโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างแน่นอน
แต่พอได้เห็นหญิงสาวงดงามอย่างฮวาหลิวหงถูกศัตรูจ้วงแทงร่างอย่างป่าเถื่อน กลายเป็นเศษเลือดเนื้อเกลื่อนพื้นกับตาตัวเอง หลินสวินถึงได้รู้ว่ารสชาตินี้ช่างยากจะรับไหวจริงๆ!
“นี่ก็คือศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค ถ้าไม่ชนะก็ต้องตาย”
เสียงต่ำลึกของจ้าวซิงเย่ดังขึ้นข้างหูหลินสวิน
“ตามกฎศึกถกมรรค ข้าชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ยังสามารถอยู่ต่อและสู้ต่อไปได้! หวังว่าครั้งนี้จะได้เจอคนที่พอเข้าตาข้าสักคน อย่าทำให้ข้าผิดหวังอีก”
ในสนามประลองเสวียนหลัวจื่อกล่าวกลั้วหัวเราะเผยเรียวฟันขาวสว่าง เหยียดหยันเลือดเย็น
ฝั่งค่ายจักรวรรดิต่างสีหน้ามืดทะมึน ในใจโกรธจัดหาใดเปรียบ
“ลงสนามแบบไม่เรียงตามลำดับได้หรือไม่”
นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก ระงับไอสังหารภายในใจไม่อยู่แล้ว ปล่อยให้พวกขี้แพ้ในปีนั้นเหิมเกริมลอยหน้าลอยตาอยู่เบื้องหน้า ทำให้เขารู้สึกแน่นในอกเหมือนกัน
“ไม่ได้ นี่คือกฎ เว้นเสียแต่มีปัญญาทำลายกฎ หาไม่ก็คงทำได้แค่ปรับตัว” จ้าวซิงเย่ถอนใจเบาๆ
“ก็ยังเหมือนเมื่อก่อนอยู่ดี น่ามองแต่ไร้ประโยชน์”
“ความเห็นข้า ต่อจากนี้ไปจักรวรรดิของพวกเจ้าคงต้องถอนตัวออกจากศึกถกมรรคเสียแล้ว เลี่ยงไม่ให้มาหาว่าพวกเรารังแกพวกเจ้า”
ไกลออกไปผู้แข็งแกร่งพันธมิตรหมื่นเผ่าหัวเราะเยาะ ต่างพากันลำพองตนและเหยียดหยามอย่างยิ่ง
“น่าชังนัก!”
พวกสืออวี่ต่างกัดฟันกรอด ฮวาหลิวหงถูกฆ่าตายอย่างไร้ปรานี ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายดูถูกหมิ่นเกียรติ ใครเล่าจะทนกับความรู้สึกนี้ไหว
“ทุกคนใจเย็นอย่าวู่วาม ข้าจะล้างแค้นให้ฮวาหลิวหงเอง!”
คนที่สองที่ลงสนามคือซ่งอู๋เชวีย เขาย่างเท้าออกมาหนึ่งก้าวก็มาถึงสนามประลอง ทำให้ทุกสายตาต่างจับจ้องบนร่างเขาเป็นจุดเดียว
“พี่ซ่ง ต้องฆ่าเขาให้ได้!
“ต้องระวังด้วย!”
ผู้แข็งแกร่งจากจักรวรรดิต่างส่งเสียง ล้วนหวังว่าซ่งอู๋เชวียจะชนะ สังหารเสวียนหลัวจื่อ ล้างแค้นให้ฮวาหลิวหง
“ข้ารู้จักเจ้า ชื่อซ่งอู๋เชวีย ก็ถือเป็นพวกร้ายกาจคนหนึ่งทางฝั่งจักรวรรดิ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
เสวียนหลัวจื่อกระชับทวนยักษ์พลางส่งเสียงเย็นเยียบ
“เต่าทมิฬเป็นพวกสารเลวอย่างหนึ่งในทะเลกระมัง”
ซ่งอู๋เชวียกล่าวเนิบนาบ
“สารเลว!”
สีหน้าเสวียนหลัวจื่ออึมครึม พุ่งทะยานออกไป
ตูม!
ทวนยักษ์ระเบิดปะทุ เสวียนหลัวจื่อและซ่งอู๋เชวียประมือกัน พลังต่อสู้ของทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน สถานการณ์การต่อสู้เห็นได้ชัดว่าดุเดือดหาใดเปรียบ การห้ำหั่นตรงนั้นทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี สุริยันจันทราอับแสง
รัศมีเทพน่าสะพรึงที่แผ่ออกมาจากทั้งคู่บดขยี้ห้วงอากาศจนปั่นป่วน ลักษณ์ประหลาดปานจะล้างผลาญอุบัติขึ้น สั่นสะเทือนฟ้าดิน
ไม่ว่าจะเป็นค่ายจักรวรรดิหรือผู้แข็งแกร่งพันธมิตรหมื่นเผ่าต่างเริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดกันอีก สายตาเพ่งความสนใจไปยังการต่อสู้
การต่อสู้ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าดุเดือดเป็นพิเศษ ไม่ทันไรเสวียนหลัวจื่อและซ่งอู๋เชวียต่างได้รับบาดเจ็บ ร่างกายล้วนมีเลือดไหลกันทั้งคู่
แต่ทั้งคู่กลับดูเหมือนไม่รู้สึกรู้สาสักนิด แต่ละคนโหดเหี้ยมกินกันไม่ลง
สิ่งนี้ทำให้ฝั่งจักรวรรดิรับไม่ได้ ซ่งอู๋เชวียเป็นถึงบุคคลอันดับต้นๆ ของพวกเขา แต่จนถึงป่านนี้กลับยังโค่นเสวียนหลัวจื่อไม่ได้!
เรื่องนี้ก็ทำให้ฝั่งพันธมิตรหมื่นเผ่าตกใจเช่นกัน คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าซ่งอู๋เชวียจะถึงขั้นเทียบชั้นกับเสวียนหลัวจื่อได้จริงๆ
ตูม!
หลังผ่านไปหลายร้อยกระบวนท่า เสวียนหลัวจื่อส่งเสียงคำรามลั่นออกมา เรียกมรกตเขียวที่ดุจดั่งหยกชิ้นหนึ่งออกมา เสียบทะลวงแผ่นหลังซ่งอู๋เชวียอย่างทารุณ ฝ่ายหลังกระอักเลือดออกมาทันที เงาร่างซวนเซ ทรุดล้มลงกับพื้น
แต่พร้อมกันนั้นเสวียนหลัวจื่อก็ถูกดาบศึกของซ่งอู๋เชวียฟันกลางอก อกแหวกท้องปริ เลือดสดๆ หลั่งไหลออกมาราวกับน้ำตก
ทั้งคู่ต่างได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีครั้งนี้!
ทั่วลานส่งเสียงร้องอุทาน ไม่ว่าฝ่ายตนหรือศัตรูต่างอดตึงเครียดขึ้นมาไม่ได้
“ไปตายซะ!”
ซ่งอู๋เชวียกัดฟัน ตะเกียกตะกายหยัดตัวขึ้น โบกแขนเสื้อคราหนึ่งแสงดาบคมกริบหาใดเปรียบสามสายก็โฉบออกไป กลายเป็นค่ายกลรูปทรงอักษรผิ่น (品) กดสังหารออกไป
นี่คือวิชาก้นกรุของเขา!
“เป็นไปไม่ได้!”
เสวียนหลัวจื่อสีหน้าบิดเบี้ยว โบกทวนยักษ์ราวกับเดิมพันด้วยชีวิต ปลุกพลังเฮือกสุดท้ายทั้งร่างกายพุ่งทะยานขึ้นมา
ทั้งคู่ปะทะกัน ในเสียงก้องกระหึ่มน่าสะพรึงร่างของเสวียนหลัวจื่อแตกเป็นเสี่ยง ล้มตึงลงกับพื้นเสียงดังโครม ลมหายใจรวยริน
อีกด้านหนึ่งซ่งอู๋เชวียก็กระอักเลือดทรุดลงพื้น หว่างคิ้วแตก ได้รับบาดเจ็บสาหัสหาใดเปรียบ
ทว่าขณะนี้ก็ไม่รู้ว่าเขาเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ฝืนหยัดตัวขึ้น เดินไปทีละก้าวมาหยุดข้างตัวเสวียนหลัวจื่อ
ท่าทางแน่วแน่นั้นทำให้ทุกคนฝั่งค่ายจักรวรรดิต่างรู้สึกทั้งสั่นสะเทือนทั้งหวั่นวิตก
และฝั่งพันธมิตรหมื่นเผ่าก็ตกใจหน้าถอดสียกใหญ่ ร้องตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “เสวียนหลัวจื่อ รีบลุกขึ้น รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า!”
ฉัวะ!
สุดท้ายเสวียนหลัวจื่อก็ไม่สามารถหยัดตัวขึ้นมาได้ ถูกซ่งอู๋เชวียฟันหัวขาดในดาบเดียว ก่อนสิ้นใจดวงตายังเบิกกว้าง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น
ซ่งอู๋เชวียทรุดนั่งลงกับพื้นเสียงดังพรึ่บ สีหน้าซีดเซียว กระอักเลือดรุนแรง แต่เขากลับทอดสายตามองไปทางฝั่งค่ายจักรวรรดิราวกับยกภูเขาออกจากอก กล่าวว่า “ข้า… ข้าชนะแล้ว…”
พูดจบตัวเขาก็หมดสติไป ล้มลงกับพื้น
การต่อสู้ครั้งนี้ปิดฉากลงด้วยวิธีที่น่าเศร้าและน่าเวทนาเป็นพิเศษ ซ่งอู๋เชวียฆ่าศัตรู แต่ตัวเขาเองก็หมดสติเนื่องจากอาการบาดเจ็บสาหัส ทำให้ผู้คนวิตกกังวล ไม่อาจดีอกดีใจได้
ฝ่ายจักรวรรดิแต่ละคนล้วนสีหน้าเต็มไปด้วยแววโศกเศร้าระคนโกรธแค้น ขอบตาแดงก่ำ
ซ่งอู๋เชวียแข็งแกร่งปานใด แต่ถึงกับคว้าชัยชนะมาด้วยวิธีเช่นนี้ ช่างน่าสลดเหลือเกิน ทำให้พวกเขาออกจะรับไม่ได้ไปพักหนึ่ง
ในใจหลินสวินก็ทอดถอนใจเช่นกัน นัยน์ตายิ่งลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ
ด้านพันธมิตรหมื่นเผ่า ผู้แข็งแกร่งแต่ละคนสีหน้าเย็นเยียบ ในใจเกิดความเคียดแค้นขึ้นมาเช่นกัน
“แค้นนี้ ข้าจะช่วยเสวียนหลัวจื่อเอาคืนเอง!”
ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนลั่นปานฟ้าคำราม หนิวทุนเทียนที่เงาร่างสูงใหญ่กำยำ อานุภาพดั่งภูเขายักษ์ก็พุ่งเข้าไปในสนามประลอง
ทั่วร่างเขาแสงทมิฬพวยพุ่งประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยว นัยน์ตาเยียบเย็นดั่งสายฟ้า ส่องประกายดุดัน แค่ยืนง่ายๆ อยู่ตรงนั้นก็มีกลิ่นอายเผด็จการ ประหนึ่งมีแต่ตัวข้าที่ยิ่งยง
ชั่วอึดใจบรรยากาศในลานก็เปลี่ยนเป็นบีบคั้นขึ้นมา
หลินสวินลูบสลากหยกในฝ่ามือ ด้านบนเขียนอักษร ‘หก’ เอาไว้ ทำให้ในใจเขารู้สึกอัดอั้น
ไม่กลัวว่าคู่ต่อสู้บ้าคลั่งดุดัน เพียงหวั่นว่าจะไม่มีโอกาสเหยียบย่างสนามประลอง!
รสชาตินี้น่าอดสูเกินไป!
ฝั่งจักรวรรดิ คนที่สามที่ก้าวขึ้นไปบนสนามประลองคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อไฉเหวินซาน มาจากสำนักศึกษามฤคมรกตของจักรวรรดิ
แม้จะเจอกับหนิวทุนเทียนเขาก็ไม่หวั่น เป็นฝ่ายบุกโจมตี ใช้พลังแข็งแกร่งที่สุดในชีวิต
ที่น่าเสียดายคือหนิวทุนเทียนแข็งแกร่งเกินไป น่ากลัวยิ่งกว่าเสวียนหลัวจื่อเสียอีก เพียงออกกระบวนท่าไม่กี่สิบหน ไฉเหวินซานก็ถูกสังหาร
ศีรษะถูกหนิวทุนเทียนตบแหลกด้วยฝ่ามือเดียว ร่างลอยคว้างออกไปและระเบิดกลางอากาศ
ละอองเลือดพร่างพรม หนิวทุนเทียนสีหน้าเลือดเย็น ริมฝีปากพ่นคำพูดออกมาไม่กี่คำเนิบๆ “อ่อนแอเกินไป ข้ายังไม่ทันอุ่นเครื่องเลย คนต่อไป!”
ฝั่งค่ายจักรวรรดิกำหมัดแน่น สีหน้าทั้งเศร้าทั้งเคืองขุ่นอดสู พวกพ้องถูกฆ่า เดิมทีก็ทำให้คนเจ็บปวดรวดร้าวพอแล้ว ตอนนี้ยังถูกคนหมิ่นเกียรติถึงเพียงนี้อีก ทำเอาผู้คนแค้นจวนจะบ้าคลั่ง
คนที่สี่ที่ลงสนามคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อเหลียงเซ่า เป็นชายหนุ่มเปี่ยมพรสวรรค์จากกองทัพจักรวรรดิ ตามปกติแล้วเก็บตัวอย่างที่สุด
แต่ทันทีที่เหยียบย่างสนามประลอง กลับระเบิดอานุภาพชวนตกใจออกมา
ที่น่าเสียดายคือหลังจากหนึ่งร้อยกว่ากระบวนท่า เหลียงเซ่าก็ถูกบีบให้ตกสู่สถานการณ์อันตราย และพ่ายอย่างน่าอนาถ
แต่ที่เหนือความคาดหมายคือในยามเข้าตาจน เหลียงเซ่าถึงกับสำแดงวิชาลับระเบิดชีวิตตนแผดเผาศัตรูให้มอดไหม้ตกตามกันทั้งสองฝ่ายออกมา ถึงแม้ตัวเขาจะตาย แต่ก็ทำให้หนิวทุนเทียนบาดเจ็บสาหัสในคราเดียว!
“หวังเพียงชาติหน้าจะได้ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ กลืนเลือดศัตรูพร้อมเสียงหัวเราะกับทุกคนอีก!”
นี่คือเสียงหัวเราะกึกก้องที่เหลียงเซ่าเปล่งออกมาก่อนตาย เบิกบาน เด็ดเดี่ยว และมองการตายเหมือนการกลับคืนถิ่นเดิมอย่างบอกไม่ถูก!
…………………