Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1483 มรรคแห่งหินสลัก
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1483 มรรคแห่งหินสลัก
หมอกฝนพร่าเลือน ดอกซิ่งขาวราวก่อจากหิมะ
บนท้องถนนที่เก่าแก่เงียบสงบ หลินสวินย่างก้าวเนิบช้า
เสียงตกตะลึงแผ่วต่ำพลันดังขึ้น ก็เห็นด้านหน้ามีต้นข่าวสารอยู่ต้นหนึ่ง มีผู้คนกำลังล้อมอยู่ข้างหน้า ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่
หลินสวินก้าวเข้าไป พิจารณาเล็กน้อยก็เข้าใจ
‘นครหยกขาว… แขกต่างถิ่นอย่างเจ้าช่างเลือกสถานที่เป็นจริงๆ’
หลินสวินส่ายศีรษะแล้วไม่ใส่ใจอีก
เขาไม่มีเจตนาดูถูกลั่งเชียนเหิง หากแต่เห็นว่าสถานที่ต่อสู้ที่อีกฝ่ายเลือกนี้ดูไร้ยางอายไปหน่อย
แต่นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นจากอีกด้านหนึ่งว่า อีกฝ่ายน่าจะไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะได้อย่างสิ้นเชิง
ไม่อย่างนั้นจะสิ้นเปลืองความคิดไปกับเรื่องสถานที่นัดประลองทำไม
สิ่งที่ทำให้หลินสวินใคร่รู้อย่างแท้จริงคือ สำหรับดินแดนรกร้างโบราณ ลั่งเชียนเหิงเป็นตัวแทนของค่ายศัตรูต่างดินแดน
ในเมื่อสำนักกระบี่เทียมฟ้าทนให้ลั่งเชียนเหิงนัดประลองกับตนในนครหยกขาวได้ แล้วจะทนเห็นเขามุ่งหน้าไปรับคำท้าได้หรือไม่
หลินสวินอยากลองดูเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้
แค่การนัดประลองครั้งหนึ่งเท่านั้น สำหรับหลินสวินไม่ถึงขั้นเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ต๊อกๆๆ
เสียงเคาะทึบหนักระลอกหนึ่งดังขึ้นมาจากร้านเก่าแก่เตี้ยๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ริมถนน
สายตาของหลินสวินเหลือบมองไปโดยไม่ตั้งใจ เห็นว่าบนร้านค้าแขวนป้ายไว้ป้ายหนึ่ง…
หอคัดศิลา
ภายในร้านมีชายหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ มือถือมีดสลักเล่มหนึ่ง กำลังเจียระไนหินก้อนหนึ่งในมือ
หินก้อนหนึ่งที่ใหญ่เท่าฝ่ามือ ไม่นานก็ถูกสลักออกมาเป็นรูปเหมือนคนผู้หนึ่ง
หลินสวินก้าวเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองดูก็เห็นว่าในร้านมีรูปปั้นหินเล็กใหญ่หลายหลากวางเรียงเป็นระเบียบ
มีเทพคนภูตผี ปีศาจสัตว์ประหลาด สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายแหล่ ต้นไม้ใบหญ้ามัจฉาแมลง ล้วนเหมือนมีชีวิตจิตวิญญาณ
สิ่งที่ทำให้หลินสวินตกตะลึงคือ ในบรรดารูปปั้นหินพวกนั้นยังมีไม่น้อยที่แม้แต่เขายังไม่รู้จัก แต่ดูไปแล้วก็เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตและอาหารที่อยู่บนโลก
อย่างปลาที่แหวกว่ายอยู่ในหมอกเมฆ ยามสะบัดหางจะราวกับสยายปีกเริงระบำ กินหมอกดื่มน้ำค้าง
“คุณชายโปรดรอสักครู่”
ชายชุดผ้ากระสอบในร้านเงยหน้ายิ้มรับ หน้าตาอบอุ่น จากนั้นเขาก็ก้มหน้าจดจ่ออยู่กับการแกะสลัก
เศษหินปลิวว่อน ในมือเรียวยาวและกว้างหนานั้นของเขา มีดสลักเล่มหนึ่งกวัดแกว่งแคล่วคล่อง ปลายมีดไม่ถึงขั้นน่าอัศจรรย์ แต่กลับมีเสน่ห์ที่พาให้คนรู้สึกเหมือนเมฆลอยสายน้ำไหล ดุจอาชาสวรรค์จรผ่านอากาศ
หลินสวินดูเพลินจึงไม่ได้รีบจากไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่งรูปปั้นเด็กขี่วัวชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นภายใต้มีดสลักของชายชุดผ้ากระสอบ เด็กน้อยดูน่าหลงใหล วัวเขียวดูกำยำบึกบึนทรงพลัง
รูปสลักที่ดูธรรมดากลับมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนว่ามัน ‘ยังมีชีวิตอยู่’ ราวกับว่าต่อจากนั้นเด็กน้อยจะขี่วัวเขียวจากไปอย่างสง่างาม เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ
หลินสวินเอ่ยปากชม “น่าสนใจ”
ชายชุดผ้ากระสอบยิ้ม วางมีดสลักในมือลงกล่าว “ก็แค่ของเล่นเท่านั้น”
หลินสวินคิดไปคิดมาแล้วกล่าว “ให้ข้าลองดูได้หรือไม่”
ชายชุดผ้ากระสอบยิ้ม ส่งมีดสลักในมือให้แล้วกล่าว “หากจะลอง หินพวกนี้ก็ไม่คิดเงิน”
หลินสวินรับมีดสลักมาแล้วสุ่มเลือกหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง เงียบไปเล็กน้อยก็เริ่มลงมือ
ต๊อกๆๆ!
เสียงแกะสลักทึบหนักดังขึ้น เศษหินพลิ้วลอยล่อง ไม่นานภาพเด็กสาวคนหนึ่งก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
เด็กสาวร่างเพรียวบาง สวมหมวกปีกกว้างบดบังใบหน้า มือถือทวนเล่มหนึ่ง
เป็นซย่าจื้อ!
พูดได้ว่าตอนแรกหลินสวินแค่สนใจอยากลองดูหน่อย แต่เมื่อจิตใจดื่มด่ำอยู่กับการแกะสลัก ก็เหมือนความรู้สึกในใจเองก็จดจ่ออยู่กับมันโดยไม่รู้ตัว
ก่อนที่แดนมกุฎจะมาเยือน ซย่าจื้อก็จากไป ตอนนี้ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ยามปกติต่อให้หลินสวินนึกถึงซย่าจื้อก็จะเก็บความรู้สึกไว้ในก้นบึ้งจิตใจ
แต่เวลานี้กลับปรากฏขึ้นในใจอย่างเป็นธรรมชาติ
ตอนนี้หลินสวินถึงได้รู้ว่าเขาคิดถึงซย่าจื้อจริงๆ
‘หลินสวิน ก่อนที่ข้าจะกลับมา เจ้าห้ามตายนะ’
หลายปีก่อนยามซย่าจื้อถูกราชินีแห่งรัตติกาลพาตัวไป เคยพูดกับตนเช่นนี้ด้วยสีหน้าราบเรียบ
‘นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้า เรื่องอื่นข้าลืมไปหมดแล้ว’
ปีนั้นซย่าจื้อตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลของ ‘จุตินพชาติ’ ลืมสิ้นทุกอย่าง มีเพียงหลินสวินที่ไม่เคยลืม
‘ต่อไปถ้ามีของดีๆ อย่าเก็บไว้กินคนเดียว’
‘ไม่ว่าอย่างไร ในอนาคตหากเจ้าจะแต่งงานก็ต้องผ่านด่านข้าก่อน’
‘เพราะถ้าอยากให้ใครอีกคนนอกเหนือจากเจ้ามาอยู่ในโลกของข้า… จะยากมาก’
…
กระทั่งครั้งสุดท้ายที่จากกัน ซย่าจื้อกล่าวเพียงแค่สี่คำ ‘รอข้ากลับมา’
ชายเสื้อของนางพลิ้วไหว ในมือถือทวนกระดูกขาว ก้าวย่างเพียงคราเดียว กลางอากาศพลันปรากฏมรรคาที่เหมือนควบรวมจากความมืดสายหนึ่งเชื่อมต่อตรงไปบนผืนฟ้า
ไม่หันกลับ ไม่ลังเล ก้าวเข้าไปในบานประตูที่มืดมิดบนส่วนลึกของเวิ้งฟ้า
แครก!
ทันใดนั้นรูปปั้นหินในมือแตกละเอียดเป็นส่วนๆ
หลินสวินตกใจได้สติ สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ครู่ใหญ่จึงสูดหายใจลึกค่อยๆ สงบสติอารมณ์กลับมา
ข้างๆ ชายชุดผ้ากระสอบยิ้มอบอุ่น หยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วส่งให้หลินสวิน “ลองอีกครั้ง”
หลินสวินกล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง
ครั้งนี้เขานั่งลงบนเบาะรองนั่ง หน้าตาจดจ่อ เงียบไปครู่ใหญ่จึงเริ่มแกะสลักใหม่อีกครั้ง
มีดสลักธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
ก้อนหินก็ธรรมดาเป็นอย่างมาก
แต่หลินสวินรู้ดีว่าคิดจะสลักรูปปั้นหินที่น่าพอใจออกมาชิ้นหนึ่งนั้นไม่ง่าย!
ชายชุดผ้ากระสอบนั่งลงข้างๆ หยิบม้วนตำราซีดจางม้วนหนึ่งออกมาแล้วพลิกอ่านตามอารมณ์ ท่าทางราบเรียบนิ่งสงบ มองดูหลินสวินบ้างเป็นครั้งคราว
นอกร้านหมอกฝนพร่าเลือน ท้องฟ้าสลัวราง ตรอกถนนเก่าแก่เงียบสงบกว้างใหญ่
ภายในร้านตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งพลิ้วไหว รูปปั้นหินแต่ละตัวเหมือนมีชีวิตจิตวิญญาณ อาบไล้ด้วยแสงโคมลายพร้อย ดูประหนึ่งเทพผู้เคร่งขรึมมากมายยืนตระหง่านอยู่ในกาลเวลา ทอดมองสรรพชีวิตหลากรูปแบบ
แครก!
ไม่ทันไรก้อนหินที่ใกล้จะเป็นรูปเป็นร่างแตกร้าวอีกครั้ง กลายเป็นเศษหินกองหนึ่งกลางฝ่ามือ
หลินสวินอึ้งงัน สีหน้าเดี๋ยวมืดทะมึนเดี๋ยวกระจ่าง
“ลองอีกครั้ง”
หินก้อนหนึ่งยื่นมาตรงหน้า ชายชุดผ้ากระสอบสีหน้าอบอุ่น
หลินสวินรับมาไว้ในมือแล้วกล่าว “ขอบคุณมาก”
เขานั่งเงียบอยู่คนเดียวนานพอควร จากนั้นจึงเริ่มลงมือ
เพียงแต่เทียบกับสองครั้งก่อน แรงและความเร็วที่เขาใช้ยามแกะสลักเปลี่ยนเป็นช้าลงมาก หน้าตาเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นและจริงจัง
แครก!
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป รูปปั้นหินแตกร้าวอีกครั้ง
ครั้งนี้หลินสวินหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาด้วยตัวเอง แล้วจดจ่อกับการแกะสลักอีกครั้ง
และนับตั้งแต่ครั้งนี้ไป การเคลื่อนไหวของเขานานเข้าก็ยิ่งช้าลง มีดสลักเล่มหนึ่งที่เบาเหมือนขนห่าน ยามอยู่ในมือเขากลับดูประหนึ่งหนักมหาศาล
นอกหน้าต่างฝนตกพรำๆ ท้องฟ้ามืดสลัวยิ่งกว่าเดิมแล้ว
ชายชุดผ้ากระสอบยืนขึ้นกางร่มกระดาษ เดินไปบนถนนซื้อเหล้าดอกซิ่งบ่มใหม่มาครึ่งชั่ง เมื่อกลับมาถึงร้าน เห็นหลินสวินจดจ่ออยู่กับการแกะสลักไม่รับรู้อะไร ก็อดยิ้มอย่างเข้าใจในทีไม่ได้
ชายชุดผ้ากระสอบนั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่รบกวน หยิบจอกไม้สองใบออกมาแล้วรินเหล้าใสเย็นโชยกลิ่นหอมลงไป จอกหนึ่งเก็บไว้ให้หลินสวิน ส่วนตนก็ยกอีกจอกขึ้นมาละเลียด
จากนั้นเขาค่อยเปิดม้วนตำราซีดจางออก อักษรแถวหนึ่งในนั้นสะท้อนเข้าสู่ครรลองสายตา ‘จิตใจไร้กังวล ก้าวเดินนั่งนอนล้วนสบายใจ’
ชายชุดผ้ากระสอบยิ้มแล้วดื่มสุราลงไป
จนถึงยามดึก นอกหน้าต่างรัตติกาลมืดมิดมาเยือน ชายชุดผ้ากระสอบลุกขึ้นปิดประตูร้านและหน้าต่าง เหลือบมองหลินสวินเล็กน้อยแล้วยังคงไม่พูดอะไรมาก
ช่วงเวลาต่อจากนั้น ภาพเช่นนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
รุ่งเช้าชายชุดผ้ากระสอบเปิดร้าน ยามดึกปิดร้าน ยามว่างอ่านหนังสือร่ำสุรา เวลายุ่งก็ทักทายแขกที่เข้ามาในร้านอย่างเบิกบาน
หลินสวินกลับเหมือนไม่รับรู้อะไร แกะสลักไปอย่างต่อเนื่อง
ข้างกายเขาค่อยๆ มีเศษหินกองทับถม
…
โลกภายนอกคลื่นลมโหมซัด
‘เทพมารหลินจะรับคำท้าแล้วมาประลองหรือไม่’
นี่คือประเด็นหลักที่คนนับไม่ถ้วนจับตามอง
นครหยกขาวยามนี้กลายเป็นแหล่งรวมคลื่นลม ดึงดูดสายตาให้จับจ้องมาไม่รู้เท่าไร
ด้วยนัยสำคัญของศึกนี้ ไม่ธรรมดาเกินไป!
ฝ่ายหนึ่งเป็นบุคคลแห่งยุคที่มาจากต่างดินแดน แข็งแกร่งหาใดเปรียบ ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณก็ซัดกวาดคู่ต่อสู้ตลอดทาง ไม่เคยแพ้สักครั้ง ทำให้ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณล้วนเงยหน้าไม่ขึ้นอยู่บ้าง
อีกฝ่ายก็คือหลินสวินที่ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้านานแล้ว ตัวตนที่ราวกับตำนาน บุคคลที่เหมือนผู้นำในมกุฎมรรคา
การประลองเช่นนี้ใครเล่าจะไม่สนใจ
หากหลินสวินแพ้ก็จะมอบการโจมตีอย่างหนักหน่วงแก่ดินแดนรกร้างโบราณ ส่งผลต่อขวัญกำลังใจ
ในทางตรงข้ามหากหลินสวินชนะ ก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ฝึกปราณทั้งใต้หล้า
เพียงแต่สำนักกระบี่เทียมฟ้ากลับรู้สึกหัวหมุนอยู่บ้าง
ด้วยสถานที่นัดประลองอยู่ในอาณาเขตของพวกเขา หากเป็นไปได้พวกเขาย่อมอยากจะฉวยโอกาสนี้สังหารหลินสวินเป็นธรรมดา
แต่ปัจจุบันศึกนี้ได้รับความสนใจจากทั่วหล้า หากพวกเขากล้าทำเช่นนั้น จะต้องกลายเป็นทำเรื่องผิดมหันต์ในสายตาผู้คน และตกเป็นเป้าโจมตีแน่
ถึงอย่างไรหากหลินสวินรับคำท้า ก็จะเป็นการประลองในฐานะตัวแทนของดินแดนรกร้างโบราณ!
ในเวลานี้หากสำนักกระบี่เทียมฟ้าทนเห็นศัตรูต่างดินแดนมาท้าประลองในอาณาเขตของตนได้ แต่กลับไม่อาจทนให้หลินสวินรับคำท้าล่ะก็ เช่นนั้นคงได้ถูกกล่าวหา ถูกผู้คนถ่มน้ำลายด่าประณาม ชื่อเสียงถูกทำลายลงในพริบตาเป็นแน่
ดังนั้นช่วงนี้สำนักกระบี่เทียมฟ้าจึงป่าวประกาศทั่วหล้า ว่าจะไม่มีทางสอดมือเข้าไปทำลายการประลองนี้
ทันทีที่ข่าวแพร่ออกไป ใต้หล้าต่างฮึกเหิม ชมว่าสำนักกระบี่เทียมฟ้ามีคุณธรรมสูงส่งกันไม่หยุด
แต่สำนักกระบี่เทียมฟ้ากลับไม่ดีใจสักนิด!
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าหลินสวินระบายความแค้นในใจมากแค่ไหน แต่ช่วยไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์ตรงหน้า พวกเขาก็ได้แต่ต้องยอมรับแล้ว
สำหรับเรื่องนี้หอฤทธิ์เทพก็ยกย่อง กล่าวว่าสำนักกระบี่เทียมฟ้าสมเป็นสำนักใหญ่แห่งหนึ่งของดินแดนรกร้างโบราณ มีความรับผิดชอบ เป็นโชคของสรรพชีวิตทั่วหล้า
ภายใต้คำชมที่สูงส่งนี้ สำนักกระบี่เทียมฟ้าตัดใจเรื่องจัดการหลินสวินอย่างสมบูรณ์ ถึงขั้นเริ่มเป็นห่วงว่าหลินสวินอย่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นในนครหยกขาวเด็ดขาด
มิฉะนั้นเจ้าโถขี้นี้ได้ลงกบาลสำนักกระบี่เทียมฟ้าของพวกเขาแน่!
นี่ก็คือแนวโน้มกระแส
เมื่ออยู่ต่อหน้ากระแสแห่งใต้หล้า ต่อให้เป็นสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็ไม่อาจไม่ก้มหัว
เนื่องเพราะเมื่อเปรียบเทียบกับศัตรูต่างดินแดนพวกนั้น ต่อให้หลินสวินไม่เป็นที่ชื่นชอบแค่ไหน ท้ายที่สุดก็เป็น ‘คนกันเอง’
โลกภายนอกอึกทึกครึกโครม ทุกอย่างนี้หลินสวินไม่รับรู้อะไรเลย
ผ่านไปครึ่งเดือน ยามดึก
หลังจากปิดร้าน ชายชุดผ้ากระสอบเพิ่งเปิดม้วนตำรา ขณะกำลังคิดจะเริ่มอ่าน การกระทำในมือกลับพลันหยุดลง สายตาเหลือบมองไปยังหลินสวิน
ก็เห็นว่าในมือเขา รูปปั้นหินที่เหมือนมีชีวิตหนึ่งค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง
ต๊อก!
เมื่อมีดสลักสุดท้ายเฉือนลงไปยังชิ้นส่วนท้ายสุด รูปปั้นหินนั้นก็ราวกับมีจิตวิญญาณขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกในพริบตา เหมือนว่ามีชีวิต
…………….