Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1495 คลื่นลมปั่นป่วนตลอดทาง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1495 คลื่นลมปั่นป่วนตลอดทาง
ในความมืดแสงธรรมจุดหนึ่งสว่างขึ้นมา
จากนั้นภิกษุที่เงาร่างผอมตอบ คิ้วขาวลู่ลงข้างใบหน้าคนหนึ่งเดินออกจากความมืด
ก้าวเดียวก็มาถึงตำแหน่งที่ห่างจากตรงหน้าหลินสวินสิบจั้ง
“ฝ่าหลินอารามกษิติครรภ์ มาขอพบสหายน้อย”
ภิกษุที่รูปลักษณ์ผอมซูบพนมมือ ไม่ดีใจหรือเสียใจ
ผมดำทั้งศีรษะของหลินสวินพลิ้วไหวทั้งที่ไร้สายลม เสื้อผ้าโบกสะบัด พลังขับเคลื่อนรอบตัวพลันเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
มีเพียงสีหน้าที่นิ่งสงบ เอ่ยว่า “ภิกษุเฒ่า เจ้าจะทำอะไรอีก”
“สหายน้อยกำลังจะมุ่งหน้าสู่สมรภูมิเก้าดินแดน ไม่สู้ใช้โอกาสนี้ทิ้งคัมภีร์มหาครรภ์จุติและไม้โพธิ์ไว้ จะได้ไม่สูญหายในสนามรบ”
ภิกษุเฒ่าฝ่าหลินเอย่เรียบๆ
“สูญหายหรือ เจ้าคิดว่าข้าไม่มีทางรอดกลับมาจากสมรภูมิเก้าดินแดนได้หรือ”
ดวงตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ
อารามกษิติครรภ์!
เขาจะลืมสำนักนี้ได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้เขาถูกผู้แข็งแกร่งสำนักนี้ตามฆ่ามาไม่น้อย อย่างกู่ฝอจื่อ สิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์ หรืออย่างอริยะฝ่าเจิ้ง
เหตุผลง่ายมาก อารามกษิติครรภ์มองหลินสวินเป็นคนนอกรีต หมายจะกำจัดให้สิ้นซาก!
“รอดหรือไม่ใครก็บอกแน่ชัดไม่ได้”
ฝ่าหลินสีหน้านิ่งสงบ ท่าทางเคร่งขรึม
ตอนที่พูดฟ้าดินผืนนี้พลันเปลี่ยนไป เหมือนแก้ฟ้าเปลี่ยนดิน แปรเปลี่ยนเป็นแดนลับที่ตัดขาดจากโลกภายนอก
ที่แห่งนี้แสงธรรมไพศาล เสียงสวดดังก้อง
ฝ่าหลินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับมุนินทร์มาเยือนโลก ทั่วร่างแผ่ความเคร่งขรึมอันยิ่งใหญ่ไร้จำกัด
“สหายน้อย วางดาบลงจึงจะตื่นรู้อย่างแท้จริง”
เขาเอ่ยท่องธรรม เสียงราวกับระฆังบรรพกาลปลุกใจคน
เปลี่ยนเป็นคนอื่นคงถูกสะเทือนไปนานแล้ว จิตใจเสียการควบคุม กระวนกระวายใจ
แต่หลินสวินไม่ใช่
“อริยสงฆ์ตู้จี้เคยพูดว่า ‘หากข้าเป็นมาร ก็จะเป็นมารที่เหนือกว่าพุทธองค์ทั้งปวงในใต้หล้า หากข้าเป็นพระ ใต้หล้าต้องไร้มาร’ ตอนนี้ข้าอยากลองดูว่าจะสามารถโปรดสัตว์ภิกษุอย่างเจ้าได้หรือไม่”
สีหน้าของหลินสวินราบเรียบยิ่งขึ้น
ฝ่าหลินเป็นบุคคลระดับอริยะคนหนึ่ง อีกทั้งกลิ่นอายที่แผ่ออกมาน่าหวั่นหวาดเสียยิ่งกว่าระดับอริยะ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นบุคคลน่าสะพรึงระดับมหาอริยะ
แต่หลินสวินยังคงไม่กลัว
เหมือนอย่างที่ชายชราชุดดำแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ การที่หลินสวินกล้าเดินทางเพียงลำพัง ย่อมมีที่พึ่งซึ่งสามารถรับมือกับทุกสิ่งนี้
ฝ่าหลินเชยตามองหลินสวินแล้วกล่าว “สหายน้อย ในใจมีความยึดมั่นก็กลายเป็นมารแล้ว ถูกกำหนดให้หันกลับไม่พบฝั่ง โปรดไตร่ตรองให้รอบคอบ”
เขาท่าทางเคร่งขรึม
ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้หลินสวินรังเกียจ ลาเฒ่าหัวโล้นแห่งอารามกษิติครรภ์พวกนี้ กระทั่งปล้นกันยังสามารถพูดจาได้สง่าผ่าเผย มั่นอกมั่นใจเช่นนี้ ช่างไร้ยางอายถึงขีดสุด
เขาขมดวคิ้วพูด “หันกลับไม่พบฝั่งก็ไม่ต้องหันไป เด็ดเดี่ยวหน่อย จะปล้นก็ลงมือมาตรงๆ ก็พอ”
ฝ่าหลินถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง จากนั้นยื่นมือข้างหนึ่งออกไปตั้งกลางอากาศ
การกระทำเรียบง่ายหนึ่งเดียวนี้ทำเอาหลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัว สังเกตเห็นอันตรายรุนแรง เขาออกแรงโดยไม่ลังเลสักนิด กำลังจะบีบป้ายคำสั่งที่ซ่อนอยู่ในมือตั้งแต่แรก
แต่ตอนนี้เอง
ตำแหน่งที่ห่างออกไปหมื่นลี้ เหนือห้วงอากาศมีเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน
“เร่ง!”
แสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกมากะทันหัน ราวกับดาวหางที่ดึงลากรุ้งศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งออกมา กรีดห้วงอากาศจนขาดเป็นหมื่นลี้
ปราณกระบี่แพร่กระจายเป็นวงกว้าง เฉือนท้องฟ้าภูผาธาราฝั่งหนึ่งจนขาด
จากนั้นสลายแดนลับที่ปกคลุมนี้!
และแสงกระบี่ที่ลากออกมาตอนปราณกระบี่โฉบพุ่งก็กรีดรอยยาวบนท้องฟ้า เนิ่นนานไม่จางหาย
คิ้วขาวของฝ่าหลินขมวดมุ่น แดนผนึกนี้เขาเป็นคนเปิด เป็นตัวแทนอานุภาพแห่งอริยมรรคของเขา แต่ตอนนี้กลับถูกเฉือนทำลายอย่างง่ายดาย
ทันใดนั้นเขาก็หรี่ตาสังเกตเห็นความน่ากลัวของเจตจำนงที่ประทับอยู่ในกระบี่นี้ หากไม่ใช่เพราะเขาใช้พลังขับเคลื่อนของตนป้องกัน ตรงตำแหน่งที่ยืนอยู่คงถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดและยุบสลายไปตั้งนานแล้ว
จากนั้นฝ่าหลินพูดเสียงขรึม “อารามกษิติครรภ์ของข้ากำลังจัดการเรื่องราว สหายยุทธ์คนใดกล้าแทรกแซง ไม่รู้กฎสังหารผู้บุกรุกในแดนผนึกหรือ ”
“ลาเฒ่าหัวโล้น ไอสังหารรุนแรงเกินไปไม่สมกับเป็นนักบวชเลยนะ”
มีเสียงหัวเราะลั่นดังมาจากไกลๆ แต่เสียงเพิ่งจะดังขึ้นก็มีชายชราในชุดนักพรตคนหนึ่งขี่ลาเขียวมาปรากฏตัว ณ ที่แห่งนี้
ลาเขียวผอมซูบเกียจคร้าน จามอยู่ตลอดเวลา ใช้ดวงตาลาคู่หนึ่งเหลือบมองฝ่าหลิน ริมฝีปากพลิกออก เผยให้เห็นฟันลาที่ขาวราวกับหิมะ เหมือนเป็นการเย้ยหยัน
ชายชราซึ่งนั่งอยู่บนหลังลาเขียวหนวดเคราเผ้าผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้าสกปก สีหน้าเมามาย ดูเกียจคร้านและมอมแมม
ในมือเขาถือน้ำเต้าเปลือกเหลืองใบหนึ่ง ทันทีที่มาถึงปราณกระบี่สีเขียวสายนั้นก็ประหนึ่งปลาแหวกว่าย เคลื่อนเข้าไปในน้ำเต้าเปลือกเหลืองอย่างร่าเริง
“เฒ่ากระบี่เมา?”
ฝ่าหลินสีหน้าครัดเคร่งขึ้นมาแล้ว
เมื่อนานมาแล้วมีอริยะกระบี่ที่โดดเด่นคนหนึ่ง ขี่ลาเขียวแขวนน้ำเต้ากระบี่ท่องไปทั่วหล้า บุกแดนเร้นอริยะสิบสามแห่ง เอาชนะกลุ่มผู้มากสามารถในมรรคกระบี่ทั้งมวล ไม่มีใครเทียบได้
คนผู้นี้เสพติดกระบี่ เสพติดเหล้า และเสพติดการต่อสู้ อุปนิสัยบ้าคลั่ง ทำอะไรตามอำเภอใจ ทว่ากลับไม่มีใครรู้ที่มาของเขา รู้เพียงว่ามรรคกระบี่ของเขาสามารถใช้คำว่า ‘ไพศาลดั่งท้องฟ้า คมไม่อาจต้านทาน’ มาเปรียบเทียบ
ในฐานะเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่อยู่มาไม่รู้นานเท่าไหร่เช่นเดียวกัน ฝ่าหลินย่อมเคยได้ยินเรื่องราวของเฒ่ากระบี่เมา
ชายชราชุดนักพรตเรอ ตาปรือพร่ามัว นั่งส่ายไปมาอยู่บนลาเขียว หัวเราะอย่างไร้เสียงแล้วพูดว่า “ลาเฒ่าหัวโล้นก็รู้จักข้าด้วยหรือ เช่นนั้นย่อมดีที่สุด ข้าจะได้ไม่ต้องร่ำไรอีก ประโยคเดียว รีบจากไปซะ ไม่เช่นนั้นกระบี่ของข้าไม่มีตานะ”
แม้เขาจะข่มขวัญแต่น้ำเสียงกลับเกียจคร้าน อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ไม่มีความน่าเกรงขามเลยสักนิด
ทว่าฝ่าหลินกลับเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ สีหน้ายิ่งดูจริงจัง พนมมือพูด “ได้ยินว่าความสำเร็จบนมรรคกระบี่ของเฒ่ากระบี่เมาเป็นอันดับหนึ่งในยุคสมัยหนึ่ง อาตมาปรารถนาจะรับคำชี้แนะสักครั้ง”
ชายชราชุดนักพรตขานรับว่าอ้อคราหนึ่ง หันมองหลินสวินแล้วยิ้มกล่าว “เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าเดินหน้าต่อไปได้เลย ภูตผีปีศาจมารระหว่างทางล้วนไม่จำเป็นต้องสนใจ”
คิดๆ แล้วเขาก็พูดอีกว่า “บนโลกนี้มีคนอยากให้เจ้าตายแทบแย่ ไม่ยอมให้ที่ยืนกับเจ้า แต่ก็มีคนไม่ยอมปล่อยให้เจ้าตาย เจ้าต้องเชื่อว่าคนดีก็มีมากมาย อย่างเช่น… นักพรตเฒ่าอย่างข้า ฮ่าๆๆๆ”
เขาหัวเราะลั่นขึ้นมา “คนดี… คนดีหรือ แค่สองคำนี้ข้าก็ต้องดื่มให้สะใจสักยก”
นักพรตเฒ่ายกน้ำเต้าเปลือกเหลืองขึ้นมาดื่มอย่างบ้าคลั่งยกหนึ่ง
“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก”
หลินสวินเก็บป้ายคำสั่งในมือ ประสานหมัดพูด
“ไปเถอะๆ เดินหน้าอย่างกล้าหาญเถอะ!”
นักพรตเฒ่าสะบัดแขนเสื้อ
หลินสวินมองฝ่าหลินแวบหนึ่ง อีกฝ่ายสีหน้าคร่ำเคร่ง จ้องเพียงชายชราชุดนักพรตเท่านั้นประหนึ่งเผชิญหน้าศัตรูฉกาจ ไม่มีกะจิตกะใจสนใจตนเลย
ในใจเขากระจ่างทันที ฝ่าหลินเจอกระดานเหล็ดเข้าแล้ว
“ผู้อาวุโส เฒ่ากระบี่เมาคือนามของท่านจริงหรือ”
ก่อนไปหลินสวินอดถามไม่ได้
“ผิดแล้ว เป็นเพียงแค่ฉายาเท่านั้น เป็นอย่างไร รู้สึกน่าเกรงขามมากใช่หรือไม่”
นักพรตเฒ่าท่าทางย่ามใจ
“เลวที่สุด? ปากเลว[1]! ฉายานี้น่าเกรงขามจริงๆ…”
หลินสวินพึมพำคำหนึ่งแล้วหมุนตัวออกไป
นักพรตเฒ่าที่เมามายอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นใบหน้าชราก็ง้ำลง มืดมนราวกับก้นหม้อ คำรามว่า
“แม่งเอ๊ย มิน่าเจ้าเฒ่าพวกนั้นถึงชอบเรียกฉายาของข้า! ที่แท้แม่งก็กำลังล้อข้าทั้งนั้น!”
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันใด จ้องฝ่าหลินอย่างไม่เป็นมิตร ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “เมื่อครู่นี้ตอนเจ้าเรียกฉายาข้า ก็กำลังเย้ยหยันข้าใช่หรือไม่”
ไม่รอฝ่าหลินเปิดปาก นักพรตเฒ่าก็ลุกขึ้นจากหลังลาเขียวแล้ว “ข้าจะตีลาอย่างเจ้าให้ตาย”
ตูม!
บนร่างกายของเขาปราณกระบี่ท่วมฟ้าพุ่งออกมา ฉีกกระชากม่านรัตติกาล ส่องสว่างภูผาธาราหมื่นลี้
ห่างออกไปไกลโพ้น หลินสวินหันมาเห็นภาพนี้ก็ตกใจจนเหงื่อแตก ในใจลอบพูดว่า เฒ่ากระบี่เมานี่แม้ฉายาไม่รื่นหู แต่ปราณกระบี่ทั่วตัวน่าสะพรึงกลัวนัก
เขาคิดไปพลางมุ่งหน้าต่อไปด้วย ในใจใคร่ครวญคำพูดเมื่อครู่ของเฒ่ากระบี่เมาอย่างละเอียด
มุ่งหน้าอย่างกล้าหาญ ไม่ต้องสนใจภูตผีปีศาจมารระหว่างทางหรือ
หลินสวินเดาอะไรบางอย่างได้รางๆ ในใจรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมาระลอกหนึ่งอย่างหาได้ยาก
เขาเดินหน้าต่ออย่างไม่ลังเลอีกต่อไป
หนึ่งวันหลังจากนั้น
ในเมืองหนึ่ง หลินสวินกำลังพักเท้าที่หอน้ำชาแห่งหนึ่ง โต๊ะข้างๆ ก็ปรากฏเด็กหนุ่มรูปลักษณ์งดงามในชุดแขนเสื้อกว้างหมวกสูงคนหนึ่ง
“ข้าตามเจ้ามาตลอดทาง และเห็นการต่อสู้ของเฒ่ากระบี่เมากับมหาอริยะฝ่าหลินแห่งอารามกษิติครรภ์แล้ว ระหว่างทางมีคนลอบขัดขวางข้า แต่น่าเสียดายที่เจ้าหมอนั่นไม่สามารถขวางข้าไว้ได้”
เด็กหนุ่มแขนเสื้อกว้างท่าทางสง่า ยิ้มบางๆ มองหลินสวิน “ตอนนี้เหมือนว่าจะไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว ไปกับข้าสักหน่อยดีหรือไม่”
“แล้วเจ้าเป็นใครอีก” หลินสวินถาม
“เจ้าไปกับข้าก็จะรู้เอง”
เด็กหนุ่มพูด ยกมือขวาขึ้นจะคว้าแขนหลินสวิน
แต่ระหว่างนั้นแขนของเขากลับถูกฝ่ามือขาวผ่องเรียวยาวข้างหนึ่งสกัดเอาไว้ ไม่สามารถเดินหน้าได้อีกเลยแม้แต่น้อย
“เขาชื่อเซียวเหยา มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ เฒ่าสารเลวที่ไม่รู้อยู่มานานเท่าไหร่ แต่กลับแต่งกายเหมือนเด็กหนุ่ม จากจุดนี้ก็เห็นแล้วว่าคนผู้นี้หน้าไม่อายแค่ไหน”
เสียงใสเย็นและไพเราะน่าฟังดังขึ้น ก็เห็นหญิงแต่งงานแล้วที่งดงามผมขาว สวมชุดเขียวคนหนึ่งไม่รู้ปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่
ชายที่ถูกเรียกว่าเซียวเหยาอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วเผยยิ้มขื่น “ข้ายังนึกว่าไม่มีคนแล้วเสียอีก ไม่คิดว่าแม้แต่ย่าทวดของผู้นำลัทธิไร้สวรรค์ก็เคลื่อนไหวแล้ว เอาเถอะ ข้ายอมแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้เลย”
หญิงผมขาวพูดเสียงเย็น “อยากไปตอนนี้หรือ สายไปแล้ว ไม่เล่นงานเจ้าสักยก จะคุ้มกับที่ข้าตามมาไกลถึงที่นี่หรือ”
ในขณะที่พูดนางก็คว้าคอเสื้อของเซียวเหยา เมื่อเงาร่างพริบไหว ทั้งสองก็หายไปแล้ว
หลินสวินมองทั้งหมดนี้อย่างอึ้งๆ ครู่ใหญ่ค่อยถอนหายใจยาว พึมพำกับตนเองว่า “เฒ่ากระบี่เมานั่นพูดถูก คนดีบนโลกนี้ไม่น้อยเลยจริงๆ…”
“พี่ชาย สองคนเมื่อครู่นี้เล่นกลหรือ หายวับในพริบตาเลย มหัศจรรย์มาก”
ในหอน้ำชาเด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งมา สีหน้าตกใจเต็มประดา
หลินสวินยิ้มพูดว่า “มหัศจรรย์ใช่ไหม เช่นนั้นข้าก็จะเล่นกลให้เจ้าดูด้วย!”
พูดจบเงาร่างของเขาพริบไหว หายไปด้วยอีกคน
กลับไม่รู้ว่าหลังจากเด็กหญิงคนนั้นตะลึงไปครู่หนึ่งก็ปล่อยโฮออกมา “นี่ไม่ใช่เล่นกลแล้ว ท่านแม่ เพราะข้าเคยโกหกท่านถึงทำให้ข้าเจอผีในวันนี้หรือ แล้วยังเจอสามตนในคราวเดียว น่ากลัวเกินไปแล้ว ฮือๆๆ…”
และเวลานี้หลินสวินได้ออกจากเมืองเล็กแล้ว
ช่วงเวลาหลังจากนั้นเขาเดินทางผ่านภูผาธารา มุ่งหน้าไปยังอาณาเขตที่ทะเลหมากดาราตั้งอยู่
ตลอดทางคลื่นลมสงบเงียบ
แต่หลินสวินรู้ว่าในระหว่างที่ตนเดินทาง ในที่ลับซึ่งตนไม่สามารถสังเกตเห็นได้ จะต้องเกิดเรื่องผิดปกติมากมายอย่างแน่นอน
มีคนจะเล่นงานตน
และมีคนกำลังปกป้องตน
ส่วนที่ว่าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
หลินสวินพอจะเดาได้ในระดับหนึ่งแล้ว
………………………..
[1] คำว่า กระบี่เมา ในภาษาจีนออกเสียงว่า ‘จุ้ยเจี้ยน’ (醉剑) พ้องเสียงกับ ‘จุ้ยเจี้ยน’ (最贱) ที่แปลว่า เลวที่สุด และออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่า ‘จุ่ยเจี้ยน’ (嘴贱) ที่หมายถึงปากไม่ดี ปากเลว