Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1514 การลอบฆ่าอันพิสดาร
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1514 การลอบฆ่าอันพิสดาร
ที่นี่เป็นโลกลี้ลับแห่งหนึ่ง!
นี่ก็คือข้อสรุปที่จ้าวจิ่งเซวียนคิดได้
เพียงแต่ที่ทำให้นางไม่สบายใจที่สุดก็คือนางเสาะหามานานแล้ว กลับไม่อาจหาเจอว่าทางออกอยู่ที่ไหน หากออกจากที่นี่ไม่ได้ จะไม่ถูกขังในนี้ไปตลอดหรือ
สิ่งเดียวที่ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนใจชื้นได้เล็กน้อยก็คือ การฝึกปราณที่นี่ รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายมหามรรคที่พัดเข้ามา
แจ่มชัดปานนั้น เหมือนจริงปานนั้น ราวกับใช้มือสัมผัสได้!
สุดท้ายจ้าวจิ่งเซวียนก็ทอดถอนใจในใจ สลัดความคิดยุ่งเหยิงในสมองทิ้งไป แล้วกลับสู่การนั่งสมาธิอีกครั้ง
……
บรรยากาศในป่าหลอมจิตช่วงนี้ชอบกลนัก
นี่เป็นข้อสรุปที่ผู้แข็งแกร่งโลกมารโลหิตมากมายสรุปออกมา
บุคคลขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณนามหลินสวินรอดชีวิตได้อย่างปาฏิหาริย์ถึงตอนนี้ จวบจนปัจจุบันยังไม่ถูกฆ่า เรื่องนี้ย่อมดูผิดปกติ
“จะหนึ่งเดือนแล้ว ไม่มีการเคลื่อนไหวสักนิดเสียอย่างนั้น ประหลาด”
“อริยะหลายคนยังฆ่าแพะสองขาตัวเดียวไม่ได้หรือ”
“คุณชายเซวี่ยชิงอีสั่งการลงมาว่าให้กำจัดศัตรูทั้งหมดในโลกมารโลหิตให้สิ้นซากภายในสามเดือน แต่เห็นได้ชัดว่าหลินสวินนั่นมันกระดูกเหล็ก ก็ต้องดูว่าใครจะฆ่ามันได้แล้ว”
หลังจากเล่อเซวี่ยซิวเข้ามาในป่าหลอมจิต เขาได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายตลอดทาง ล้วนเกี่ยวข้องกับผู้แข็งแกร่งจากดินแดนรกร้างโบราณนามว่าหลินสวินคนนี้ทั้งนั้น
แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ
เขามาคราวนี้เพียงแต่ต้องการรับเล่อมู่จิ้นไปเท่านั้น
ส่วนแพะสองขาที่ยังไม่บรรลุอริยะคนหนึ่ง ยังไม่ควรค่าให้เขาสนใจ
เล่อเซวี่ยซิวรูปร่างสมส่วน ร่างกายสง่าผ่าเผย มีผมยาวสีเขียวอ่อนทั้งศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยความหยิ่งผยองอันเป็นเอกลักษณ์
แม้กลิ่นอายเขาจะราบเรียบ แต่กลิ่นอายระดับอริยะที่แผ่กระจายทั่วร่างกลับปิดไว้ไม่อยู่ ทุกที่ที่ผ่าน ทำเอาผู้แข็งแกร่งตัวแข็งทื่อเหมือนเห็นวิญญาณเทพไปไม่รู้เท่าไร!
ขวับ!
ทันใดนั้นเล่อเซวี่ยซิวหยุดเดิน
ผึ้งมารลายดำที่มีเปลือกสีดำขลับตัวหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังเขา มันขนาดเท่าหัวแม่โป้งเท่านั้น แต่กลับแผ่กลิ่นอายระดับอริยะออกมา น่าตื่นตะลึงถึงที่สุด
“ใต้เท้าเล่อ เกิดเรื่องฉุกเฉิน จำเป็นต้องให้ท่านไปช่วยหนุน” ผึ้งมารลายดำเอ่ยเสียงเคารพนบนอบ
เล่อเซวี่ยซิวนิ่วหน้า “เรื่องอะไร”
“ในหุบเขาลมน้ำแข็งที่ห่างออกไปแปดหมื่นสามพันลี้มีมกุฎอริยะจากดินแดนรกร้างโบราณปรากฏตัว ตอนนี้โลกมารโลหิตของข้ามีอริยะถูกฆ่าตายแล้วสิบเก้าคน”
“ตามข่าวบอกว่าคนผู้นั้นมีนามว่ารั่วอู่ มาจากเผ่าวิหคชาด ไม่ว่าจะเป็นพลังพรสวรรค์หรือพลังต่อสู้ในตัวล้วนน่ากลัวเป็นที่สุด”
“ตอนนี้มีมกุฎอริยะเช่นเดียวกับท่านสามคนกำลังรุดหน้าไปหุบเขาลมน้ำแข็งจากที่ต่างๆ”
“หลังจากคุณชายเซวี่ยชิงอีรู้ข่าวนี้ ก็สั่งการลงมาว่าจะไม่ยอมให้หญิงสาวนามรั่วอู่คนนี้รอดชีวิตออกจากโลกมารโลหิต”
ผึ้งมารลายดำพูดเร็วๆ บอกเล่าสถานการณ์ทีละอย่าง
เมื่อได้รู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ เล่อเซวี่ยซิวพูดอย่างประหลาดใจว่า “เฮอะ สถานที่ทรุดโทรมเหมือนสวะอย่างดินแดนรกร้างโบราณ ยังมีมกุฎอริยะถือกำเนิดขึ้นด้วยหรือนี่”
ผึ้งมารลายดำเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่น่าเชื่อจริงๆ”
เล่อเซวี่ยซิวนิ่งคิดแล้วพูดว่า “รอข้ารับเล่อมู่จิ้นกลับไป ค่อยไปหุบเขาลมน้ำแข็งเป็นอย่างไร”
ผึ้งมารลายดำกล่าง “สถานการณ์ฉุกเฉิน จะล่าช้าไม่ได้แม้แต่เค่อเดียว ท่านน่าจะรู้ดีว่าหากมกุฎอริยะคนหนึ่งหนีไปได้ คิดจะสังหารเขาเป็นเรื่องยากเย็นปานไหน ขอให้ใต้เท้าเล่อรีบไปโดยไวด้วย”
เล่อเซวี่ยซิวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ได้ ข้ารับปาก แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งให้เจ้าทำ”
ผึ้งมารลายดำพูดว่า “ขอใต้เท้าบัญชา”
“เจ้าใช้วิธีใดก็ได้พาเล่อมู่จิ้นกลับเมืองอารักษ์มรรค ยามแดนลับนรกโลกันตร์เปิดออก ข้าต้องการเห็นเขาเข้าไปในนั้นทันที”
พูดจบเงาร่างของเล่อเซวี่ยซิวไหววูบ เคลื่อนตัวไปในอากาศ
ตรงที่เดิมผึ้งมารลายดำทอดถอนใจในใจ ‘คุณชายเล่อมู่จิ้นตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ถ้าข้าบอกข่าวนี้ให้ท่านทราบ จะต้องทำให้เรื่องตามล่ารั่วอู่คนนั้นล่าช้าออกไปแน่…’
……
“อะไรนะ เล่อเซวี่ยซิวไปแล้วหรือ”
ที่ข้างหุบเหว พวกติงซานเหอใจเต้นระส่ำราวกับขจัดหินก้อนยักษ์ที่กดดวงใจเอาไว้
“นี่เป็นข่าวที่ผู้อาวุโสเผ่าข้าส่งมา ไม่ผิดแน่”
เฟิงผิงจื่อที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าเอ่ย “ข้าแนะนำว่าถือโอกาสที่เล่อเซวี่ยซิวยุ่งเกินกว่าจะสนใจเรื่องนี้ ต้องฆ่าหลินสวินนั่นให้ได้”
“ใช่ๆๆ”
ติงซานเหอพยักหน้าต่อเนื่อง แววดุร้ายผุดขึ้นในดวงตา “ยังต้องรบกวนเจ้าครั้งหนึ่ง เรียกรวมตัวผู้แข็งแกร่งเผ่างูมารทองคำทั้งหมดมา อีกอย่าง จับแพะสองขามาอีกหน่อย”
“คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ให้ไอ้สวะตัวจ้อยมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว!”
พูดจนถึงตอนท้าย เสียงของติงซานเหอก็เจือความชิงชังที่ไม่ปิดบังแล้ว
“ได้!”
เฟิงผิงจื่อพยักหน้า
……
ในแดนลับวังใต้ดิน หลินสวินค่อยๆ ตื่นขึ้นจากการนั่งสมาธิ
“นายท่าน เสี่ยวเทียนปลุกอภินิหารพรสวรรค์แล้ว เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาอย่างหนึ่ง หลบเร้นชั่วพริบตาอีกอย่างหนึ่ง!”
ไกลออกไปเสี่ยวอิ๋นมาแจ้งข่าวดีด้วยสีหน้าตื่นเต้น “เช่นนี้แล้วขอเพียงข้ากับเสี่ยวเทียนร่วมมือกัน ก็จะไปลอบจู่โจมอริยะได้!”
หลินสวินเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
เสี่ยวอิ๋นชี้หน้าตัวเอง พูดอย่างอหังการอย่างยิ่งว่า “นายท่าน อย่าลืมสิขอรับ ข้าเป็นราชันหนอนเผ่าหนอนกินเทพ ขอเพียงถูกข้าเจาะเข้าไปในจิตวิญญาณ ต่อให้เป็นอริยะก็สกัดการจู่โจมของข้าไม่อยู่!”
“แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ความระแวดระวังกับการตอบสนองตามสัญชาตญาณของอริยะน่ากลัวเกินไป หากข้าเคลื่อนไหวชั่วพริบตาสู้อริยะไม่ได้ ก็ไม่อาจเข้าไปในจิตวิญญาณของพวกเขาได้”
พูดถึงตรงนี้เสี่ยวอิ๋นก็ยิ้ม “แต่มีเสี่ยวเทียนก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาสามารถใช้อภินิหารเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาพาข้าไปจู่โจมด้วยกันได้ หนำซ้ำวิชาหลบเร้นชั่วพริบตาของเขาก็มหัศจรรย์หาใดเทียบ สามารถปิดบังคลื่นพลังตอนเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาได้ เช่นนี้แล้วหากพวกเราร่วมมือกัน แม้แต่การโจมตีอริยะคนหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน”
หลินสวินถึงได้เข้าใจในตอนนี้ กล่าวชื่นชมว่า “เสี่ยวเทียนสมกับเป็นลูกหลานเผ่าผีเสื้อมารแยกฟ้า ทันทีที่อภินิหารตื่นขึ้นก็ร้ายกาจปานนี้”
เสี่ยวอิ๋นอึ้งไป สีหน้าพลันอึมครึมขึ้นมา พูดว่า “นายท่าน รอเมื่อข้าบรรลุมกุฎอริยะ เกรงว่าแม้แต่ท่านยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
“จริงหรือ”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว ยามเผ่าหนอนกินเทพของข้าบรรลุอริยะ อภินิหารอย่างหนึ่งนามว่า ‘พิฆาตจิต’ ก็จะตื่นขึ้น ประลองกับระดับเดียวกันแทบไม่มีใครสู้ได้!”
เสี่ยวอิ๋นสองมือกอดอก พูดอย่างหยิ่งผยอง
หลินสวินร้องอ๋อ ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “ไป ลองอานุภาพของการร่วมมือกันระหว่างเจ้ากับเสี่ยวเทียนเสียหน่อย”
เสี่ยวอิ๋นไอสังหารพลุ่งพล่านเอ่ยว่า “น่าจะทำเช่นนี้ตั้งนานแล้ว ถูกขังไว้ที่นี่ ในใจข้ารู้สึกคับข้อง”
……
นอกหุบเหว
อริยะทั้งสามอย่างพวกติงซานเหอ จี้ชิ่งต่างยืนอยู่ห่างจากหุบเหวเป็นร้อยจั้ง หันหน้าเข้าหาหุบเหว ระแวดระวังอยู่เสมอ
“เอ๊ะ เจ้าสวะตัวจ้อยนี่ถึงกับโผล่หัวออกมาเองแล้ว!”
ทันใดนั้นแววตาน่าหวาดผวาปะทุออกมาจากดวงตาของติงซานเหอ ไอสังหารน่ากลัวแผ่กระจายออกมาทั่วกาย
ในขณะเดียวกัน พวกจี้ชิ่งก็เห็นว่าในหุบเหวมีเงาร่างของหลินสวินปรากฏตัวออกมา
“ถึงกับยังไม่หนีไป ไอ้แก่อย่างพวกเจ้าสามคนใจกล้าดีจริง”
หลินสวินวาจาเจือความเหยียดหยาม
เดิมทีเขาคิดจะลอบจู่โจมจริงๆ แต่หลังจากเห็นท่าทางเฝ้าระวังเต็มที่ของอริยะทั้งสามก็ล้มเลิกไปในทันใด
“เจ้าสวะตัวจ้อย คิดจริงๆ หรือว่าพวกเราจะทำอะไรเจ้าไม่ได้”
ติงซานเหอสีหน้าโหดเหี้ยม “จะบอกเจ้าให้ เป็นเพราะเจ้า ตอนนี้แพะสองขาที่กระจายตัวอยู่ในโลกมารโลหิตล้วนกำลังประสบเภทภัยทั้งนั้น อ้อ จริงด้วย อีกไม่นานก็จะมีแพะสองขากลุ่มใหม่มาส่ง ถึงตอนนั้นเจ้าผู้เป็นวีรชนใจกล้าจะยังลงมือช่วยพวกมันหรือไม่”
“เป็นถึงอริยะ กล้าแค่เอาเรื่องนี้มาข่มขู่หรือ ถ้าข้าเป็นพวกเจ้าคงปาดคอฆ่าตัวตายไปนานแล้ว”
หลินสวินแววตาเย็นเยียบ พูดจบเขาก็หันตัวเคลื่อนเขาไปในหุบเหว
ไปแล้วหรือ
พวกติงซานเหอต่างตะลึงงัน แต่พวกเขายังไม่คลายความระมัดระวังลง การประมือครั้งก่อนๆ ทำให้พวกเขารู้แน่แล้วว่าแม้หลินสวินยังไม่บรรลุอริยะ แต่กลับครอบครองวิชาลับเย้ยฟ้า เพียงพอจะคุกคามระดับอริยะให้ถึงชีวิตได้
จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ จี้ชิ่งจึงเอ่ยปากว่า “ดูท่าจะไปแล้วจริงๆ”
ติงซานเหอเอ่ยเตือนว่า “อย่าชะล่าใจไป ไอ้สวะตัวจ้อยนั่นเหลี่ยมจัด เจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่แน่ว่าจะกลับมาโจมตีกะทันหัน”
จี้ชิ่งกับอริยะอีกคนหนึ่งต่างพยักหน้า
ความจริงแล้วในใจพวกเขาก็รู้สึกอดสูหาใดเทียบ
ต่อกรกับมดตัวเดียวเท่านั้น กลับทำเอาอริยะสามคนอย่างพวกเขาระแวดระวังเต็มที่ดั่งศัตรูใหญ่มาเยือน ต้องระวังว่าจะถูกลอบโจมตีอยู่ตลอด เรื่องนี้หากแพร่ออกไปต้องกลายเป็นตัวตลกแน่
ไม่นานนักเสียงเฟิงผิงจื่อดังขึ้นไกลออกไป “ทุกท่าน ข้ากระจายข่าวไปแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานผู้แข็งแกร่งเผ่างูมารทองคำมากมายจะมุ่งหน้ามา”
เฟิงผิงจื่อหยุดไปแล้วเอ่ยต่อว่า “นอกจากนี้เรื่องจับแพะสองขายังต้องรอสักพัก พวกท่านก็รู้ ในโลกมารโลหิตตอนนี้ คิดจะจับแพะสองขาตัวเป็นๆ ไม่ง่ายนัก”
พวกติงซานเหอพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ
ตูม!
ก็ในตอนนี้เอง เสียงดังลั่นจนหูแทบดับเสียงหนึ่งดังขึ้น
ในหุบเหวที่อยู่ไกลออกไปหลินสวินพุ่งตัวออกมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบได้ เขาดึงคันธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ยิงศรแห่งนภาครามออกไป เสียงโครมครามน่าหวาดหวั่นนั้นเกิดจากลูกศรส่งเสียง
แต่กลับเห็นว่าพวกติงซานเหอพากันยิ้มเหี้ยม พวกเขาที่ระวังตัวมาตลอดแล้วต่างเงาร่างไหววูบ หลบการลอบโจมตีนี้ได้อย่างปลอดภัย
“มุกเก่าเล่นซ้ำ ความสามารถขี้ปะติ๋วเท่านี้หรือ”
ติงซานเหอแสยะยิ้ม ไม่ปิดบังความชิงชังและดูถูกสักนิด
จี้ชิ่งกับอริยะอีกคนหนึ่งก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน
สวะตัวจ้อยสมควรตายผู้นี้ยังคิดว่าพวกเขาจะตกหลุมพรางเดิมๆ หลายครั้งงั้นหรือ
“อ๊าก…! ไม่…!”
แต่ก็ในตอนนี้เองอริยะที่อยู่ข้างกายจี้ชิ่งคนนั้นพลันเอาสองมือกุมศีรษะ ร้องเสียงดังเจ็บปวดเหมือนสัตว์ป่าร้องคำราม
ทันใดนั้นร่างของเขาเกร็งกระตุกโดยพลัน แล้วเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อหาใดเทียบ ลูกตาโปนออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ตื่นตะลึงและไม่ยินยอม
จากนั้นเสียงตุ้บดังขึ้น ร่างของเขาตรงแน่วไปหมด ไร้ซึ่งลมหายใจ!
นี่…
ติงซานเหอกับจี้ชิ่งใจสั่นระรัว หลบหนีไปไกลๆ ตามจิตใต้สำนึก เหมือนกระต่ายที่ถูกทำให้แตกตื่น
พิสดารเกินไปแล้ว!
หลบการโจมตีของไอ้สวะตัวจ้อยนั่นได้แล้วชัดๆ แต่พวกพ้องข้างกายพวกเขากลับตายกะทันหันคาที่อย่างไม่มีเค้าลางสักนิด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วขณะนี้ทำให้ติงซานเหอกับจี้ชิ่งต่างร้องเสียงหลงออกมา
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ไกลออกไปหลินสวินยืนอยู่กลางหุบเหว หัวเราะร่าขึ้นมา “นี่มันอริยะสองคนที่ไหน ตั๊กแตนเฒ่าสองตัวชัดๆ!”
ติงซานเหอกับจี้ชิ่งสีหน้าไม่น่าดูถึงที่สุดแล้ว โกรธจนเส้นเอ็นบนขมับปูดโปน
พวกเขาระวังตัวมากพอแล้ว แต่กลับยังคิดไม่ถึงว่าจะถูกโจมตีอีกครั้ง ทำให้พวกพ้องคนหนึ่งตายไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ด้านเฟิงผิงจื่อที่มารายงานข่าวก็งุนงงไปหมดแล้ว อริยะตายอีกคนหนึ่งแล้วหรือ
ทั้งหมดนี้ก็เหมือนความสยองขวัญครั้งใหญ่เข้าปกคลุมหัวใจนาง ทำให้นางตัวสั่นระริกขึ้นมาเพราะหวาดผวา
เจ้าหมอนั่น เป็นคนน่ากลัวเช่นไรกันแน่
——